Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 24 คนตัดฟืนกับคนแจกเงิน
หน้าหนาวของเขตมณทลเหอเป่ยตะวันออก เพราะก่อนหน้านี้ประสบคลื่นคนอพยพ เปลือกไม้ต้นหญ้าล้วนถูกขุดจนเกลี้ยง เวลานี้ยิ่งแลดูเปล่าเปลี่ยวทรุดโทรม
แต่ดีเลวก็ไม่น่าหวาดหวั่นอย่างก่อนหน้านี้แล้ว บนถนนใหญ่พลุกพล่านเอะอะทั้งยังครึกครื้น
ที่หมู่บ้านเล็กแห่งหนึ่งนอกเมืองต้าหมิงไม่ไกลพอดีเป็นงานวัด ชาวบ้านใกล้ไกลล้วนเร่งเดินทางมาขายและหาซื้อฟืนข้าวสารำน้ำมันเกลือรวมถึงของป่าชนิดต่างๆ
“การค้านี่ทำไม่ง่ายนะ”
“ชีวิตวันนี้ล้วนไม่มั่งคั่ง”
“ใช่แล้ว เพิ่งผ่านสงครามวุ่นวายมา”
คนตัดฟืนหลายคนนั่งยองอยู่ที่ประตูเมือง มือสอดไว้ในแขนเสื้อรอทำการค้าไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง
ในหมู่พวกเขา บุรุษวัยสามสิบกว่าปีคนหนึ่งเงียบงันยิ่งนัก
“น้องชายคนนี้ฟืนไม่น้อยนี่” มีคนเป็นฝ่ายเอ่ยสานสัมพันธ์
เขาขานรับ สีหน้าเขินอาย
“น้องชายก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็น” คนตัดฟืนอีกคนยื่นศีรษะมาเอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
หมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหญ่ คนตัดฟืนคนขายฟืนที่ไปๆ มาๆ มักเป็นคนกลุ่มนี้เสมอ มากน้อยก็คุ้นหน้ากันอยู่บ้าง
“อ้อ ข้ามาครั้งแรก” บุรุษแปลกหน้าเอ่ยขึ้น
คนทั้งสองฝั่งล้วนหัวเราะแล้ว ล้วนเป็นสำเนียงถิ่นเดียวกันคุ้นเคยนัก
“เว่ยเตี้ยนหรือ?” คนก่อนหน้านั้นเอ่ยถาม
บุรุษแปลกหน้าขานอืมพยักหน้า
“ฟืนนี่ของเจ้ามากเหลือเกิน” คนด้านข้างชี้อย่างกระตือรือร้น “ไม่น่าตัดมาเยอะเช่นนี้ เยอะไปยิ่งไม่ได้ราคา”
“แต่ ก็ไม่แน่นะ ข้าได้ยินว่าพักนี้มีคนรับฟืนจำนวนมาก” มีคนเอ่ยขึ้นบ้าง “เต๋อเซิ่งชางของเมืองต้าหมิง”
นั่นเป็นถึงตระกูลร่ำรวยแห่งหนึ่ง ทุกคนล้วนสงสัยใคร่รู้ขึ้นมาทันที
“เต๋อเซิ่งชางตระกูลเช่นนั้นจะต้องการฟืนมากมายเช่นนั้นไปทำอันใดเล่า?”
“นอกจากทำอาหาร พวกเขาก็ไม่เผาฟืน ล้วนใช้ถ่าน”
สำหรับชาวบ้านทำงานหนักอดมื้อกินมื้อเหล่านี้ ชีวิตที่คนรวยใช้กันล้วนยากจะจินตนาการได้
“พูดขึ้นมาแล้วก็ค่อนข้างน่าขำ” คนผู้นั้นเอ่ย ส่งสัญญาณให้ทุกคนมารวมตัวกันหน่อย
บุรุษจากเว่ยเตี้ยนคนนั้นก็ท่าทางสงสัยใคร่รู้เบียดเข้ามาด้วย
“เต๋อเซิ่งชางกำลังแยกตระกูลทุกคนได้ยินมาแล้วสินะ?”
บางคนเคยได้ยิน บางคนไม่รู้ อย่างไรสำหรับพวกเขาแล้ว ทั้งชีวิตล้วนไม่มีโอกาสยุ่งเกี่ยวกับร้านแลกเงิน
คนผู้นั้นเล่าเรื่องสั้นๆ
“ดังนั้นตอนนี้คนของคุณหนูทั้งสองกับคนของนายน้อยจึงแบ่งร้านแลกเงินที่เมืองต้าหมิงกัน ล้วนเป็นมือเก๋ามากผู้คร่ำหวอด คนหนึ่งฉลาดกว่าอีกคนหนึ่ง นายน้อยฟางด้านนี้เพื่อให้พวกเขารีบไสหัวออกไปหน่อย จึงจงใจซื้อฟืนมาเผาไฟสร้างความอบอุ่น ทั้งจวนไฟลุกควันสุม แต่ละคนๆ ข้างในไอกันไม่หยุด น่าขำแทบตายจริงๆ”
เรื่องนี้ค่อนข้างน่าขำจริงๆ
“ทำจนกลายเป็นเช่นนี้ออกจะน่าอาย”
“เจ้าเข้าใจอะไร พี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีให้ชัด คนรวยเหล่านี้แบ่งกันชัดที่สุดแล้ว”
ทุกคนหัวเราะวิพากษ์วิจารณ์ จนกระทั่งเสียงกีบเท้าม้าหยุดข้างกาย
“เฮ้ย พวกเจ้ามีฟืนเท่าไร? ข้าเอาหมด” พร้อมกันนั้นก็มีเสียงบุรุษยโสเสียงหนึ่งเอ่ยถาม
ไม่มีทางกระมัง หรือว่าจะจริง…
เหล่าคนตัดฟืนมองไปอย่างไม่อยากเชื่อ
“แต่ต้องส่งไกลสักหน่อย ไปที่เต๋อเซิ่งชางเมืองต้าหมิง” เขาเอ่ย “แน่นอน ส่งฟืนจะคิดเงินให้พวกเจ้าต่างหาก”
เป็นเต๋อเซิ่งชางจริงๆ โชคดียิ่งแล้ว คนตัดฟืนทั้งหลายฉับพลันฮือฮาขึ้นมา รีบลนลานตอบรับไปพลาง รีบลนลานเก็บฟืนของตนเองไปพลาง
เมืองต้าหมิงคุ้มกันเข้มงวดกว่าก่อนหน้านี้มาก ผู้ดูแลของเต๋อเซิ่งชางที่ก่อนหน้านี้เคยตรงดิ่งเข้ามาในเมืองต้าเมิงได้ก็ไม่อาจไม่รับการตรวจค้น คนตัดฟืนเหล่านี้ยิ่งไม่ใช่ข้อยกเว้น ฟืนล้วนถูกหอกยาวรุมแทงพักหนึ่ง
“ไม่ใช่ไม่ทำสงครามแล้วหรือ? เข้มงวดเช่นนี้ทำไม?” คนตัดฟืนอดไม่ได้เอ่ยถามเสียงเบา
“พวกเจ้ายังไม่รู้รึ” ชาวบ้านที่ถูกตรวจค้นเหมือนกันด้านข้างเอ่ยเสียงเบา “เฉิงกั๋วกงคิดกบฏกลัวโทษหลบหนี ตอนนี้กำลังจับพวกเขาทั้งครอบครัวอยู่แน่ะ”
ชื่อเสียงของเฉิงกั๋วกงทุกคนล้วนรู้ คนตัดฟืนทั้งหลายฉับพลันลืมตาโต
“เฉิงกั๋วกงคิดกบฏได้อย่างไร?” พวกเขาอดไม่ได้หลุดปากตะโกน
ชาวบ้านรอบด้านตกใจรีบโบกมือให้พวกเขา
“อยากตายรึ พวกเจ้าอยากถูกจับในฐานะพรรคพวกเดียวกันรึ?” พวกเขาเอ็ดเสียงเบา
คนตัดฟืนทั้งหลายเงียบเสียงไม่กล้าเอ่ยเสียงดัง สีหน้าหวาดกลัว
“แต่เฉิงกั๋วกงคิดกบฏได้อย่างไรเล่า?” มีคนยังคงทนไม่ได้เอ่ยขึ้นเสียงเบา
นี่ไม่ใช่คำถาม นี่คือการปฏิเสธ
คำนี้ทำให้ทุกคนล้วนเงียบงันไปครู่หนึ่ง สำหรับชาวบ้านแดนเหนือแล้ว เฉิงกั๋วกงเป็นตัวตนประหนึ่งเทพ
“เรื่องของเบื้องบนพวกเราจะรู้ได้อย่างไร” มีคนถอนหายใจเสียงเบา
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว เข้าเมืองเถอะ” คนด้านหลังเอ่ยเร่ง “สนแต่เรื่องตนเองให้ดีเถอะ”
พวกเขาชาวบ้านเบี้ยน้อยหอยน้อยเหล่านี้ ชีวิตตนยังยาก ไหนเลยจะยุ่งกับเรื่องใหญ่เบื้องบนเหล่านี้ได้
ความหม่นหมองที่ประตูเมืองสลายไปอย่างรวดเร็วยิ่งพร้อมกับที่เห็นอักษรเต๋อเซิ่งชางสามคำ
“ข้าว่านะคนเว่ยเตี้ยน ครั้งนี้เจ้ารวยแล้ว โชคดียิ่ง” มีคนเอ่ยขึ้น มองบุรุษที่กองฟืนสูงที่สุดมากที่สุดในหมู่คน
บุรุษยิ้มขัดเขินอย่างซื่อๆ แม้ไม่พูดอะไร ในดวงตากลับเปล่งประกายระยิบระยับ
“เจ้าคนที่ไหนน่ะ?” ผู้ดูแลของเต๋อเซิ่งชางมองพวกเขาแบกฟืนเดินเรียวแถวเข้ามาไปพลาง เหมือนจะถือโอกาสเอ่ยถามคุยเล่นไปพลาง
คนตัดฟืนทั้งหลายตอบทีละคนๆ เมื่อผลัดถึงบุรุษคนนี้ เขาก็มองผู้ดูแลของเต๋อเซิ่งชางเพิ่มหลายที
“คนเว่ยเตี้ยนขอรับ” เขาเอ่ย ชะงักนิดหนึ่ง “บ้านเมียข้าอยู่หรู่หนาน”
คนชนบทตื่นเต้นแล้วจะไม่พูด แต่ก็มีที่ตื่นเต้นแล้วพูดมากด้วย การที่บุรุษคนนี้แจ้งว่าภรรยาของตนเป็นคนที่ไหนออกมาด้วย ผู้ดูแลจึงไม่ได้แปลกใจอะไร เพียงขานอ้อคำหนึ่ง
เขาก้มศีรษะแบกกองฟืนจะเข้าไป ผู้ดูแลคนนั้นกลับเงยหน้าขึ้นขานเรียกคำหนึ่งอีกหน
“ฟืนนี่ของเจ้าไม่น้อย” เขามองประเมิน “กำลังไม่น้อยนี่”
บุรุษขัดเขิน
ผู้ดูแลชี้ไปด้านใน
“พอดี ด้านในมีฟืนไม่น้อย เจ้าไปช่วยขนไปในห้อง” เขาเอ่ย “คิดค่าแรงต่างหากให้เจ้า”
งานดีจริงๆ คนตัดฟืนคนอื่นทำหน้าอิจฉามองบุรุษคนนี้ บุรุษเอ่ยขอบคุณแบกฟืนตามพนักงานคนหนึ่งเข้าไปในเรือนด้านใน
ในเรือนจุดไฟสุมควันจริงๆ เรือนหลังค่อนข้างดีหน่อย ผู้เฒ่าสวมเสื้อไหมคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงทางเดินดื่มชา
“อย่างไรก็เป็นที่นี่เงียบสงบ ข้าใกล้จะถูกรมตายแล้ว เจ้าคนกลุ่มนี้กลับยังทำงานได้ไม่ไป” เขาบ่นกับเด็กรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหน้า “ไปซื้อฟืนมาอีก เผา เผาให้เหี้ยมๆ”
เด็กรับใช้ยิ้มขานรับ ผู้เฒ่าดื่มชาคำหนึ่งเห็นบุรุษที่เดินเข้ามา
“นายท่านโจวให้เข้ามาขนฟืนขอรับ” พนักงานเอ่ยแนะนำ
ผู้เฒ่ามองประเมินบุรุษคนนี้
บุรุษก้มศีรษะตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ท่านลุงชอบเล่นหมากไหม?” เขาพลันกัดฟันทีหนึ่งเอ่ยถาม
นี่คือไม่มีเรื่องคุยหาเรื่องคุยใช่ไหม? พนักงานทั้งหลายขำอยู่บ้าง
ผู้เฒ่าก็หัวเราะด้วยแล้ว
“เจ้าคนชนบทคนนี้เล่นหมากเป็นด้วยรึ?” เขาเอ่ยถาม แล้วหยุดชะงักนิดหนึ่ง “เจ้าเคยได้ยินหมากหมูไหม?”
หมากหมูคือหมากอันใด?
พนักงานทั้งหลายหัวเราะอีกครั้ง บนโลกมีหมากหมูอะไรที่ไหน ผู้ดูแลใหญ่เฒ่านี่หลอกคนชนบทแล้ว
“เคยได้ยินขอรับ” บุรุษกลับเงยหน้าขึ้นเอ่ยอย่างตั้งใจ “บ้านเมียข้าเป็นคนหรู่หนานจึงเล่นเป็นอยู่”
มีจริงด้วยรึ?
พนักงานทั้งหลายคิดไม่ถึงอยู่บ้าง ผู้ดูแลใหญ่เฒ่าหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ไม่เลวไม่เลว เป็นวิธีการเล่นของทางนั้นจริงๆ” เขาเอ่ยพลางโบกมือ “ไปเถอะ ไปเถอะ ไปทำงานไป”
บุรุษเดินจากไปตามคำบอก
“ทำดีๆ เงินรางวัลนี่เจ้าเอาไปหาสุรากิน” ผู้ดูแลใหญ่เรียกเขาอีกหน ถือโอกาสปลดถุงเงินที่เอวโยนมา
ถุงเงินร่วงตรงเท้าของบุรุษ เขาเห็นชัดยิ่งทว่าตกใจไม่กล้าหยิบ ยังเป็นพนักงานคนหนึ่งเก็บขึ้นมายัดให้เขา
“น้ำใจของผู้ดูแลใหญ่ของพวกเรา อย่าเกรงใจรับไปเถอะ” เขาเอ่ยอย่างไม่สนใจ
สำหรับคนตัดฟืนคนหนึ่งเศษเงินถุงหนึ่งมากนัก แต่สำหรับผู้ดูแลใหญ่เฒ่าของเต๋อเซิ่งชางแล้วประหนึ่งเศษดินทรายอย่างแท้จริง
เขาเอ่ยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดวงหน้าซื่อๆ ปิดบังรอยยิ้มไม่อยู่ รอยยิ้มนี่คงอยู่จนกระทั่งออกจากเต๋อเซิ่งชาง
คนตัดฟืนที่ร่วมทางมาด้วยกันมองถุงเงินหนักอึ้งที่ห้อยอยู่ตรงเอวเขาแล้วอิจฉายิ่งนัก
เที่ยวนี้เขาได้เงินมามากที่สุด แต่ก็ช่วยไม่ได้ผู้อื่นขายแรงงานแล้ว
การตรวจตราที่ประตูเมืองยังคงเข้มงวดนัก ออกจากเมืองก็ไม่เว้น แต่ละคนๆ ตรวจค้นอย่างละเอียด นอกจากเงินคนเหล่านี้ก็ไม่ได้พกสิ่งอื่นออกมาอีก เงินนี่ไม่มีปัญหาอย่างไรก็ขายฟืนแลกมา
ทหารเฝ้ายามทั้งหลายรีบโบกมือให้พวกเขาผ่านไป
เขาไม่ได้เดินตามคนตัดฟืนเหล่านี้ไปไกลนัก บอกว่าจะไปเยี่ยมญาติคนหนึ่งแล้วจากไป เดิมก็เป็นคนที่พบพานด้วยความบังเอิญ ทุกคนจึงไม่ถือสาต่างแยกย้ายกันไป
เขาเดินตามทางไปเงียบๆ เดินจนกระทั่งค่ำมืด เข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตรงเข้าไปในเรือนหลังหนึ่ง
ในเรือนโคมไฟสว่าง มีเสียงสตรีทอผ้าดังกึกกักลอยมา เงียบสงบเฉกเช่นครอบครัวชาวบ้านชนบททั้งหมด
เขาผลักประตูเข้าห้องไป ในห้องเล็กๆ คนสิบกว่าคนบ้างนั่งบ้างยืนอยู่ ประตูถูกปิดลง
“พี่ใหญ่ ได้มาแล้ว” เขามองบุรุษหนวดเคราเต็มหน้าที่ก้มศีรษะอยู่คนหนึ่งในนั้น แล้วเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นชูถุงเงินขึ้น
บุรุษหนวดเงยหน้าขึ้น ใบหน้าชราอยู่บ้าง แต่สองตาเยาว์วัยทั้งยังสุกสกาว
“มีจริงหรือ?” เขาเอ่ยถาม
“ใช่ขอรับ เต๋อเซิ่งชางประกาศว่าต้องการฟืนเช่นนี้ รอพี่ใหญ่อยู่จริงๆ” บุรุษเอ่ยอย่างตื่นเต้น “คำที่ท่านให้ข้าพูดล้วนตรงเผง เหมือนกับคุยกันไว้เรียบร้อยจริงๆ”
นั่นแน่นอน หัวใจเชื่อมถึงกัน คำนี้ไม่ได้พูดขึ้นมั่วๆนะ
หน้าของบุรุษหนวดแย้มรอยยิ้ม ยื่นมือปลดหนวดลงมาเผยใบหน้าเจิดจ้าและสว่างไสวของจูจั้น
“นางจัดการหรือ?” เขาเอ่ยถาม
เขาส่ายศีรษะ
“ไม่ได้เอ่ยถึงคน ก็ไม่รู้ว่านี่เป็นการจัดการของคุณหนูจวินหรือไม่” เขาเอ่ยเสียงเบา
รอยยิ้มบนหน้าของจูจั้นหม่นลง จากนั้นก็พยักหน้า
“สหายน้อยนั่นหัวไวนัก” เขาพึมพำกับตนเอง “แต่ก็ยังคงเป็นนางร้ายกาจ หากไม่ใช่นาง เจ้าหนูนั่นต้องจับข้าไปแลกเงินแน่”
ไม่ผิด เจ้าลูกกระต่ายแซ่ฟางไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด นั่นน่ะเดิมก็เป็นคนไร้หัวใจคนหนึ่ง
เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง ไม่มีข่าวก็คือข่าวดี เขาปลุกใจยื่นมือออกไป
เงินในถุงเงินถูกเทลงบนโต๊ะ บุรุษหลายคนใช้มือหยิบเศษเงิน หลังชั่วครู่เศษเงินไม่น้อยถูกแหวกออก ถึงกับเป็นเงินกลวง แต่ทุกคนกลับไม่ได้โกรธแค้นที่ติดกับถูกหลอก ตรงกันข้ามสีหน้ากลับตะลึงยินดี ดึงแถบกระดาษน้อยแผ่นแล้วแผ่นเล่าออกมาจากตรงกลาง
อาศัยไฟโคมเห็นว่าที่เขียนอยู่ด้านบนล้วนเป็นชื่อตำแหน่งที่ตั้งสถานที่
แถบกระดาษถูกทยอยวางลงบนโต๊ะ มากมายถี่ยิบมีถึงสิบกว่าแผ่น
จูจั้นยืนอยู่หน้าโต๊ะ นิ้วลูบแถบกระดาษทีละแผ่น หลังจากนั้นยกมือขึ้น
“ไป ไปรับเงิน” เขาเอ่ย ตนเองหยิบแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วตรงไปข้างนอก
บุรุษทั้งหลายที่เหลือ ต่างถือขึ้นมาแผ่นหนึ่งเช่นเดียวกับเขาจากนั้นเดินเรียงแถวออกจากห้องหายไปท่ามกลางราตรี
ยามท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว หน้าประตูเมืองสี่ด้านของเมืองต้าหมิงต่างมีรถม้าหลายคันขับมา
เห็นสัญลักษณ์ของเต๋อเซิ่งชางบนรถ เหล่าทหารเฝ้าประตูกลับไม่ได้ตั้งคำถามกลับเปิดประตูเมือง ติดจะหัวเราะขำขันอยู่บ้างด้วย
“ในที่สุดก็ทนถูกรมไม่ไหวจากไปแล้วรึ?” มีทหารเฝ้าประตูเมืองหัวเราะเอ่ย
ผู้ดูแลที่เป็นหัวหน้าของเต๋อเซิ่งชางยิ้มพลางส่ายศีรษะ
“ทนไม่ไหวกันหมดแล้ว” เขาเอ่ย “ก็คงเป็นประมาณนี้กระมัง”
ทหารเฝ้าประตูเมืองส่ายศีรษะ
“คนนี่ยิ่งมีเงินยิ่งชอบคิดเล็กคิดน้อย” เขาเอ่ย
ผู้ดูแลก้าวเข้าไปส่งเงินหนักอึ้งถุงหนึ่งให้เขา ทหารเฝ้าประตูเมืองไม่หลบเลี่ยงสักนิดรับไป
“แต่ ที่ควรตรวจก็ยังต้องตรวจ” เขาเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
ผู้ดูแลหัวเราะแล้ว เบี่ยงกายหลีกทาง
“นั่นแน่นอน ใต้เท้าท่านตรวจแล้วพวกเราก็บริสุทธิ์ เดินทางทำธุระสะดวก” เขาเอ่ย
แม่ทัพโบกมือ นายทหารทั้งหลายที่รออยู่ชูดาบหอกเข้าไป รถหลายคันถูกเปิดออก เผยเงินแท่งขาวแวววาวที่วางไว้ข้างใน มองจนทุกคนตาลาย ทนแสบตาใช้ดาบหอกทิ่มในกองเงินแท่งอยู่พักหนึ่ง
ขนเสียเต็มเช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงซ่อนคนแล้ว กระทั่งแมลงวันก็ซุกเข้าไปไม่ได้ แม่ทัพโบกมืออย่างไม่มีน้ำอดน้ำทน นายทหารทั้งหลายเก็บอาวุธถอยออกมา
“ไปเถอะ” แม่ทัพเอ่ย
ผู้ดูแลยิ้มพลางคำนับเอ่ยขอบคุณ กระโดดขึ้นรถม้า
“ไป ไปส่งเงิน” เขาตะเบ็งเสียงเอ่ย
แม่ทัพมองรถม้าหนักอึ้งขับออกจากประตูเมืองแล้วส่ายศีรษะแค่นหัวเราะ
“ส่งเงินยังดีใจปานนี้” เขาเอ่ยแล้วไม่สนใจอีก ตรวจตราในนอกประตูเมืองอย่างเคร่งขรึมและเฝ้าระวัง “ดูให้ดี พบครอบครัวเฉิงกั๋วกงปุบ สังหารไม่เว้น”