Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 35 มีข่าว
แสงตะวันสว่างไสว แต่สายลมเดือนสองยังคงเย็นเยือก เฉินชียืนอยู่ตรงประตูโรงหมอจิ่วหลิง มองม่านประตูที่ม้วนขยับเป็นพักๆ
“เจ้าดูอะไรฮึ?” เสียงฟางจิ่นซิ่วดังขึ้นด้านหลัง
“ข้าไม่ได้ดู ข้ากำลังฟัง” เฉินชีเอ่ยพลางหันกลับมามองฟางจิ่นซิ่ว
ฟัง?
“…จริงแท้แน่นอน เฉิงกั๋วกงเป็นคนชักนำชาวจินเข้ามา…”
“…พูดเช่นนี้เฉิงกั๋วกงไปพึ่งพาชาวจินจริงๆ แล้วหรือ?”
“…เขาแบกโทษหลบหนี ใต้หล้าไม่มีที่ให้อยู่ ย่อมได้แต่พึ่งพาชาวจินแล้ว…”
“…ได้ยินว่าสบคบกับชาวจินตั้งนานแล้ว เขาครองแดนเหนือนานปานนั้น คงถูกชาวจินซื้อตั้งนานแล้ว…”
“…คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงกลับเป็นคนเช่นนี้…”
“…คนล้วนใจละโมบไม่รู้จักพอ เขามากความชอบรุ่มรวยอำนาจ…”
สายลมพัดคำวิพากษ์วิจารณ์นอกประตูลอยเข้ามาเป็นระยะๆ
“เหลวไหลทั้งเพ” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “นี่มีอะไรน่าฟัง”
เฉินชีผายมือ
“คนว่างงานก็คือคนว่างงาน” เขาเอ่ยพลางมองฟางจิ่นซิ่ว “เจ้าอยู่ที่หยางเฉิงเสียยังดีกว่า ที่นี่ก็ไม่มีเรื่องใดให้ทำ”
หลังได้รู้ว่าคุณหนูจวินถูกลู่อวิ๋นฉีจับตัวไป ฟางจิ่นซิ่วก็รีบกลับมา
“กลับมาเอาค่าจ้าง” นางเอ่ย
เฉินชีแค่นเสียงหัวเราะแล้ว ขณะที่กำลังจะเอ่ยวาจาเสียงวิพากษ์วิจารณ์นอกประตูก็ยิ่งดังขึ้น
“…รอประเดี๋ยว นั่นไยไม่ใช่ซวยแล้ว…เฉิงกั๋วกงร้ายกาจเช่นนี้ หากเขานำชาวจิน ไยไม่ใช่เหยียบราบทุกทิศ?”
“…ถูกต้องแล้ว ถูกต้องแล้ว คงบุกมาถึงเมืองหลวงได้กระมัง? พวกเรารีบเก็บของหนีเถอะ”
“….เจ้ารีบร้อนอันใด ฮ่องเต้ยังไม่หนีเลย…”
“…ไม่หรอกวางใจเถอะ ไม่มีเฉิงกั๋วกงยังมีชิงเหอปั๋วนะ พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่าเฉิงกั๋วกงเคยเป็นทหารในสังกัดใคร? ชิงเหอปั๋วไง!”
“…ถูกถูก ชิงเหอปั๋วร้ายกาจมากนะ หากไม่ใช่ตอนนั้นถูกคนใส่ร้ายว่าทหารก่อกบฏ บนโลกไหนเลยจะมีเฉิงกั๋วกง…”
ได้ยินถึงตรงนี้ ฟางจิ่นซิ่วก็แค่นเสียงเหอะ
“เหลวไหลทั้งเพ” นางเอ่ยอีกครั้ง หมุนตัวไปข้างใน
ชิงเหอปั๋วร้ายกาจก็เหลวไหลทั้งเพรึ? เฉินชีหัวเราะฮ่าฮาแล้ว กำลังจะหมุนตัวตามเข้าไปก็ได้ยินเสียงกีบเท้าม้ารีบร้อนพักหนึ่งบนถนน พร้อมกับเสียงด่าทอ
“ข่าวด่วน ข่าวด่วน”
เสียงนี้สองเดือนนี้ทุกคนล้วนคุ้นชินแล้ว นี่เป็นทหารส่งสารเกี่ยวกับสงครามที่มาจากแดนเหนือ
เฉินชีอดไม่ได้เลิกม่านมองออกไป เห็นฝูงชนที่คึกคักพลุ่งพล่านบนถนนหลีกเป็นทางเส้นหนึ่งพร้อมกับด่าทอ ม้าเร็วที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยฝุ่นนั่นควบเร็วรี่ผ่านไป
ไม่รู้ว่าครั้งนี้เป็นข่าวดีหรือว่าข่าวร้าย
……………………………………….
……………………………………….
ฮ่องเต้เหยียบเข้าในท้องพระโรง รอขุนนางใหญ่หลายคนที่นี่ค้อมกายคำนับ
“เรื่องอะไร? รีบร้อนลนลานเช่นนี้?” ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเอ่ยถาม
ขุนนางใหญ่หลายคนสบตากันทีหนึ่ง แววตาปัดความรับผิดชอบอยู่ครู่หนึ่ง ขุนนางใหญ่คนหนึ่งก็ก้าวออกมาอย่างจนปัญญา
“ฝ่าบาท” เขาเอ่ยเสียงสั่นเล็กน้อย “ชิงเหอปั๋วขาดการติดต่อไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตะลึง
“ขาดการติดต่อไปหมายความว่าอย่างไร?” พระองค์ตรัสถาม
……………………………………….
……………………………………….
ฉีโจวเดือนสองอากาศเหน็บหนาวทารุณ โดนเฉพาะเมื่อคืนวานหิมะตกรอบหนึ่ง แม้หิมะไม่หนัก แต่กลับจับตัวเป็นน้ำแข็งเป็นผืนที่พื้น มองไปท่ามกลางแสงตะวันสีขาวทำให้คนรู้สึกว่าเย็นเยือกเสียดแทงกระดูก
ชิงเหอปั๋วบนร่างห่อเสื้อคลุมขนแกะหนายืนอยู่บนป้อมปราการทั้งเช้า
“ท่านปั๋ว เข้าไปพักผ่อนสักครู่เถอะขอรับ” แม่ทัพข้างกายเอ่ยกล่อมเสียงเบา
“นานเท่าไรแล้ว?” ชิงเหอปั๋วสีหน้าผ่อนคลายลงบ้าง แต่สายตาที่มองด้านหน้ายังคงถมึงทึง
สิ่งที่เข้าสู่สายตาด้านหน้าคือความหนาวเย็นรกร้างผืนหนึ่ง ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นซากปรักหักพัง ต้นไม้บนพื้นถูกไฟเผาดำเกรียมเป็นแถบ หิมะถูกลมพัดขึ้นมาเผยคราบเลือดประปรายบนพื้นดิน
เห็นได้ว่าที่แห่งนี้เคยเกิดการรบดุเดือด
สายตารทอดไกลออกไปอีก เห็นธงทิวมากมายถี่ยิบอยู่เลือนราง
ธงไม่มีสิ่งใดน่ากลัว ที่น่ากลัวคือกำลังทหารใต้ผืนธง
“มาอีกเท่าไร?” ชิงเหอปั๋วเอ่ยถามอีกหน
ศีรษะแม่ทัพก้มลงเล็กน้อย
“ทางตะวันตกมาสามหมื่นขอรับ” เขาเอ่ย
“ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ที่ล้อมพวกเราอยู่ก็มีทหารม้าหนึ่งแสนแล้ว” ชิงเหอปั๋วพยักหน้าเอ่ย
หนึ่งแสน จำนวนนี้เอ่ยออกมาคล้ายเขาไม่ได้หวาดกลัวอันใด
แม่ทัพก้มศีรษะขานรับ
“กลัวแล้วรึ?” ชิงเหอปั๋วมองเขาแล้วเอ่ยขึ้น
แม่ทัพรีบยืดกายเหยียดตรง
“ผู้น้อยไม่กลัวขอรับ” เขาเอ่ยเสียงดัง
ชิงเหอปั๋วพยักหน้า
“ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว ชาวจินถนัดเล่นการรบล้อมขังเช่นนี้ที่สุด” เขาเอ่ย “เสบียงของพวกเราเพียงพอ กลัวพวกเขาทำอะไร”
“ท่านปั๋วฉลาดเฉลียว” แม่ทัพทำหน้านับถือเอ่ย
“ตอนนี้ในเมื่อแหวกวงล้อมส่งข่าวออกไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ประจันหน้าโจมตีโจรจินเหล่านี้ พอดีจะได้ให้ทหารกองหนุนดักโจมตีจากด้านหลัง” ชิงเหอปั๋วเอ่ย
แม่ทัพขานรับอีกครั้ง
คำพูดเอ่ยถึงตรงนี้ พื้นดินคล้ายสั่นสะเทือนส่งมา ชิงเหอปั๋วสองตาหรี่ลงเล็กน้อย
“ดูท่าโจรจินจะโจมตีแล้ว” เขาเอ่ยพลางสะบัดเสื้อคลุม
กลองศึกกระหน่ำ ทหารนับไม่ถ้วนรวมพลอีกครั้ง
แม่ทัพหลายคนที่ยืนอยู่บนป้อมปราการมองกำลังพลในเมืองแล้วถอนหายใจ จากนั้นมองไปยังชิงเหอปั๋วที่เดินลงมาอีกหน
“ฉลาดเฉลียว ฉลาดเฉลียว หากฉลาดเฉลียวจริง จะโดนกับดักของชาวจินได้อย่างไรเล่า” แม่ทัพคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยเสียงเบา
แม่ทัพด้านข้างรีบส่งเสียงชู่ใส่เขา
“เวลานี้แล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว” เขาเอ่ยกล่อมเสียงเบา
แม่ทัพคนก่อนหน้ายังคงขุ่นเคือง
“เวลานี้แล้วยังพูดไม่ได้ ก็เพราะพูดไม่ได้นี่ เขาถึงยิ่งยึดความคิดตัวเอง” เขาเอ่ย “จะต้องแบ่งทหารโจมตีประสาน ผลสุดท้ายเล่า ถูกชาวจินดักตัดล้อมขังอยู่ที่นี่”
แม่ทัพด้านข้างถอนหายใจ
“ยังดี แหวกวงล้อมออกไปแล้ว กองหนุนคงมาถึงอย่างรวดเร็วยิ่ง” เขาเอ่ย สีหน้าฮึกเหิม “ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็คือด่านซู่หนิง”
“ยังดีเขายังจำได้ว่าเขาเป็นแม่ทัพคนหนึ่ง” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่บ้าถึงขั้นกีดกันขับไล่กองทหารชิงซานไป ไม่เช่นนั้น…”
แม่ทัพหลายคนหันหลังกลับมองไปยังนอกเมือง ธงมากมายถี่ยิบมืดฟ้ามัวดินนั่นคล้ายยิ่งมากขึ้นทุกที ประหนึ่งเมฆดำม้วนตลบกดทับมาด้านนี้
……………………………………….
……………………………………….
ทหารกองแล้วกองเล่าวิ่งไปกลับรีบส่งต่อคำสั่งถอนค่าย
ในกระโจมหลักแม่ทัพหลายคนยังคงชี้มือชี้ไม้กับแผนผังจำลองยืนยันครั้งสุดท้าย
“เอาล่ะ ตามแผนที่ท่านปั๋วสั่งมา พวกเราเข้าจากตะวันตกที่นี่…” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ย “ค่อยหักไปทางเหนือ ตัดข้ามแม่น้ำผิงชวน ก็จะโจมตีทางตะวันออกของชาวจินตรงๆ ได้”
แม่ทัพทั้งหลายพยักหน้ารับคำสั่ง
“ดี ท่านปั๋วถูกล้อมขังอยู่ เรื่องราวส่งผลกับสถานการณ์ศึกโดยรวม ขอทุกท่านต้องร่วมแรงร่วมใจ…” แม่ทัพที่เป็นหัวหน้าสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย
แม่ทัพผู้ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดคนหนึ่งยืนอยู่ในแถวไม่ได้กำลังตั้งใจฟัง ฉับพลันรู้สึกว่ามีคนจิ้มข้อศอกของเขา
เขาผินหน้ามองไปก็เห็นทหารรับใช้คนหนึ่ง
ทหารรับใช้ไม่ได้มองเขา ยัดของสิ่งหนึ่งในมือเขาก็ลุกขึ้นขยับออกไปแล้ว
แม่ทัพสีหน้าประหลาดใจ มองนายทหารคนนั้นแล้วก้มศีรษะสัมผัสของในมือ
กระดาษแถบหนึ่ง
หมายความว่าอย่างไร?
แม่ทัพคิ้วขมวดเล็กน้อย ลังเลแล้วลังเลอีกยกมือขึ้นลูบหนวด สายตาเหล่ลงไปมอง ฉับพลันสีหน้าตะลึง เอามือปิดปากโดยไม่ทันรู้ตัว
“เหล่าเวินเจ้ากินอะไรน่ะ?” แม่ทัพด้านข้างสังเกตจึงเอ่ยถามเสียงเบา
แม่ทัพเวินหัวเราะแห้งๆ หลายที
“ไม่มี ไม่มี กลืนน้ำลาย” เขาเอ่ยเสียงเบา
แม่ทัพคนนั้นยิ้มแล้ว
“กลัวแล้วรึ?” เขาเอ่ยเสียงเบา
แม่ทัพเวินรีบส่ายศีรษะ
“จเป็นไปได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไร” เขาเอ่ย
ทั้งสองคนสนทนาถึงตรงนี้ เสียงของแม่ทัพด้านหน้าก็กระแอมหนักๆ ทีหนึ่ง
“… ทุกคนล้วนฟังเข้าใจแล้วไหม?” เขาเอ่ย สายตามองไปทางสองคนที่สนทนากันอยู่ด้านนี้
แม่ทัพในห้องที่เหลือก็ล้วนมองมาด้วย สีหน้าเย็นชารวมถึงไม่พอใจอยู่บ้าง
ถูกเรียกว่าคนสนิทของเฉิงกั๋วกงแล้วยังนำทหารได้ก็ไม่เลวแล้ว พวกเจ้าต้องถนอมโชค
แม่ทัพทั้งสองคนหน้าแดง
“ฟังเข้าใจแล้วขอรับ” พวกเขาเอ่ยเสียงดัง
“ถ้าเช่นนั้นต่างคนกลับไปถอนค่ายออกเดินทาง” แม่ทัพเอ่ย
ผู้คนในกระโจมขานรับเสียงพร้อมเพรียง ไม่รีรอสักนิดหมุนตัวออกไป แม่ทัพเวินแม้ยืนอยู่ด้านนอกสุด แต่กลับไม่ได้ออกไปคนแรก ทว่าหลีกไปด้านข้าง มองแม่ทัพทั้งหลายเดินเรียงกันออกไป เขาสีหน้าสับสน
“ใต้เท้าเวินยังมีเรื่องอันใดหรือ?” แม่ทัพที่ยืนอยู่หน้าแผนผังจำลองเอ่ยถาม
แม่ทัพเวินมองไปหาเขา
“ใต้เท้าจง เจตนาของท่านปั๋วต้องการให้พวกเราข้ามแม่น้ำผิงชวนหลังจากนั้นลอบโจมตีชาวจินทางตะวันออกสินะ?” เขาเอ่ย
ใต้เท้าจงขมวดคิ้วนิดหนึ่ง
“คำที่ข้าพูดเมื่อครู่ เจ้าไม่ได้ฟังรึ?” เขาเอ่ยถาม
แม่ทัพเวินลังเลนิดหนึ่ง
“ไม่ใช่ขอรับ ผู้น้อยคิดว่า บางที…” เขาเอ่ย ท้ายที่สุดก็กัดฟัน ค้อมกายก้มศีรษะต่ำ “ผู้น้อยรับบัญชา”
พูดจบก็ก้าวยาวถอยออกไป
ใต้เท้าจงยืนอยู่หน้าแผนผังจำลองสีหน้าดูแคลน แต่ไม่ได้พูดสิ่งใดอีก ก้มศีรษะมองแผนผังอย่างจริงจัง
แม่ทัพเวินขี่ม้าควบกลับมายังสถานที่ประจำการของตนเอง แม่ทัพทั้งหลายใต้บังคับบัญชารอคอยอยู่นานแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?”
พวกเขาเห็นชัดว่ารู้ข่าวที่กองทัพใหญ่ของชิงเหอปั๋วถูกล้อมแล้ว แล้วก็รู้ว่าครั้งนี้รวมพลก็เพื่อมุ่งหน้าไปช่วยเหลือ
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าชิงเหอปั๋วจะโดนกับดักเข้าแล้ว”
“ชาวจินกำลังมากก็ช่วยไม่ได้”
“ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะช่วยจากแม่น้ำผิงชวน”
“ไม่ถูก ข้าคิดว่าน่าจะไปลอบโจมตีที่เก็บเสบียงของชาวจิน ท่านกั๋วกงเคยพูดว่าชาวจินแท้จริงขี้ขลาด รวมพลมากดูยิ่งใหญ่ แต่หากขวัญทหารสั่นคลอนก็พังทลายง่ายดายอย่างที่สุดเช่นกัน”
“ใครจะรู้ว่าเสบียงของพวกเขาอยู่ที่ไหนเล่า พวกเราถูกเห็นความสำคัญแล้วบอกหรือไม่ ให้แต่วิ่งตาบอด”
ไม่รอแม่ทัพเวินเอ่ยวาจา พวกเขาก็พากันโต้เถียง ท้ายที่สุดก็ไม่มีบทสรุป
“พวกเราต้องไปที่ไหนขอรับ?” พวกเขามองไปทางแม่ทัพเวินแล้วเอ่ยถาม “ท่านปั๋ววางแผนไว้อย่างไร?”
แม่ทัพเวินมองผู้คน ตรงหน้ากลับปรากฏกระดาษแผ่นนั้นที่ถูกกลืนลงไปเมื่อครู่
“พวกเรา” เขาเอ่ยช้าๆ ทีละคำๆ คล้ายคำนี้หนักเท่าพันตำลึงทอง “จากตะวันออกข้ามเขาสิงถ่า ไปซงหยวน”