Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 37 น้ำไฟไม่เข้ากัน
เมืองหลวงในเดือนสองลมราตรียังคงพาความหนาวเย็นมา แต่นี่ไม่อาจขวางความครึกครื้นของตลาดกลางคืนได้
เหลาสุราร้านน้ำชายามกลางวันปิดประตูไม่รับลูกค้าแล้ว แต่เหลาสุรายามค่ำคืนโคมไฟยังสว่างไสว พร้อมกับโคมไฟกลางคืน ทั้งถนนอบอวลด้วยกลิ่นสุราและกลิ่นหอมของแป้งฝุ่น ยิ่งมีสตรีทั้งหลายยิ้มงดงามเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่
บนถนนใหญ่ร้านค้าตั้งอยู่ทั่ว ไฟเตาร้อนฉ่า โคมไฟส่องสว่างแกว่งไกว ต่อให้เข้าใกล้เที่ยงคืนก็ยังดึงดูดคนไม่น้อยให้วนเวียนอยู่ข้างใน
ในเหลาสุราคนที่กินจนเมามายนั่งลงใต้เพิงน้ำแกงแพะริมทางอีกหน ดื่มน้ำแกงแพะร้อนๆ ไปพลาง ให้สายลมราตรีพัดให้ส่างเมาอย่างสบายใจยิ่งนัก
“พี่ใหญ่จ้าว พี่ใหญ่จ้าว” มีคนผ่านข้างตัวเขา คิดถึงอะไรได้ก็หยุดเท้าเอ่ยถาม “สงครามแดนเหนือเป็นอย่างไรแล้ว?”
เรื่องสงครามแดนเหนือตอนเดือนหนึ่ง ถดถอยไปหนึ่งเดือนกว่าก็ไม่ใช่เรื่องที่คนเมืองหลวงสนใจที่สุดอีกต่อไปแล้ว บางเวลาถึงขั้นยังลืมไปแล้วว่ากำลังทำสงครามอยู่
ขุนนางผู้น้อยในกรมขุนนางที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่จ้าวขานอ้อคำหนึ่ง คล้ายขบคิดอย่างตั้งใจนิดหนึ่งถึงคิดออก
“ไม่มีอะไร ยื้อกับชาวจินอยู่ที่ชายแดนน่ะ” เขาเอ่ย แล้วท่าทางเหมือนมองทะลุเรื่องทางโลกไม่สนใจไยดีอยู่บ้าง “ต้าจินกับต้าโจวนี่ข้าว่าก็คงเป็นเช่นนี้ ใครก็ทำอันใดใครไม่ได้ ทุกปีที่ชายแดนวุ่นวายนิดหนึ่งก็จบแล้ว”
ด้านข้างมีลูกค้าคนหนึ่งยกน้ำแกงแพะพยักหน้าร่วมด้วย
“นั่นน่ะสิ” เขาเอ่ย “แม้บอกว่าตอนนั้นชาวจินเคยเหยียบย่ำทุ่งราบภาคกลาง แต่พวกเราต้าโจวท้ายที่สุดก็ไม่เหมือนกับต้าฉี ต้าฉีดินแดนเล็กกันดารสูสีทัดเทียมกับต้าจินเช่นนั้นถูกทำลายไปก็ไม่แปลก ต้าโจวของพวกเราผืนดินใหญ่ปานนี้ แม้ชั่วขณะรับมือไม่ทัน แต่ไม่ใช่จะไม่มีกำลังสวนกลับ”
“ใช่แล้ว เลี้ยงทหารแม่ทัพมาสิบกว่าปีนี้อีก พวกเขาอย่างไรก็ไม่ได้กินข้าวไปเปล่าๆ” คนไม่น้อยก็พยักหน้าตาม สีหน้าสบายใจ “ตอนเฉิงกั๋วกงพามาเมืองหลวงพวกเราก็เห็นอยู่กับตาว่าเป็นทหารที่ดีจริงๆ”
ในถ้อยคำเอ่ยถึงเฉิงกั๋วกงปุบ บรรยากาศก็ชะงักปุบ
ได้ยินว่าเฉิงกั๋วกงกบฏหนีไปที่ดินแดนของชาวจินแล้ว นอกจากนี้ยังนำชาวจินบุกมาด้วย
ถ้าเช่นนั้นชมว่าเฉิงกั๋วกงร้ายกาจนี่ ไยไม่ใช่ชมว่าชาวจินร้ายกาจเล่า?
นี่ทำให้คนหัวใจหวาดหวั่นจริงๆ
“ทหารก็คือทหาร แม่ทัพก็คือแม่ทัพ” ขุนนางผู้น้อยแซ่จ้าวคนนั้นยิ้มทำนองว่าพวกเจ้าไม่เข้าใจอะไรเลย เอ่ยขึ้นอย่างอ้อยอิ่ง “เฉิงกั๋วกงชื่อเสียงเลื่องลือเช่นนี้ได้ก็เพราะทหารกล้า เขาหนีไปแล้ว ทหารไม่ได้หนี ไม่มีทหาร เขานับเป็นอันใดเล่า”
ไม่ผิด ไม่ผิด ผู้คนรีบพยักหน้าตาม
“อีกอย่าง ไม่ใช่ยังมีชิงเหอปั๋วอยู่รึ” เถ้าแก่ที่ขายน้ำแกงแพะยกกระบวยขึ้น คนหม้อไปพลางเอ่ยไปพลาง “พวกเจ้าคนอายุน้อย รู้จักแต่เฉิงกั๋วกง ลืมไปแล้วว่าตอนนั้นชิงเหอปั๋วก็ชื่อเสียงเลื่องลือเช่นกัน แค่ประจำการอยู่ทางใต้ ทุกคนเลยไม่ได้สนใจอย่างไรเท่านั้น”
คำนี้ยิ่งทำให้ทุกคนวางใจ
“ไม่ต้องสนเรื่องพวกนั้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้พวกเรากังวล” มีคนยิ้มพลางเอ่ย เมามายคว้าชามน้ำแกงแพะขึ้นมา “ย่อมมีใต้เท้าทั้งหลายอยู่ ฮ่องเต้ยังไม่ร้อนรนพวกเราร้อนใจอันใด พวกเราอยู่ใต้พระบาทโอรสสวรรค์ นี่เป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด”
ส่วนสถานที่อื่นพวกเขาย่อมสนใจไม่ไหว
ทุกคนล้วนยิ้มแย้ม ฉับพลันด้านข้างเสียงโหวกเหวกก็ลอยมา
“รีบมาดูเร็ว แม่นางเซียวเที่ยมชมแม่น้ำตอนกลางคืนล่ะ”
แม่นางเซียวคือแม่นางผู้โด่งดังที่สุดของในหมู่คนเข้าใหม่ของกรมสังคีตศิลป์วันนี้ ดึงดูดให้คุณชายนายน้อยนับไม่ถ้วนโยนทีหนึ่งพันตำลึงทองเพียงซื้อหนึ่งรอยยิ้มโฉมสะคราญ คนธรรมดาชาวบ้านเหล่านี้เช่นพวกเขายากนักจะพบหน้าสักครั้ง
ได้ยินว่านางล่องเรือสำราญท่องราตรี บนถนนฉับพลันก็ประหนึ่งน้ำเดือดในหม้อ พากันเบียดมาถึงริมแม่น้ำสองด้าน
เห็นเรือสำราญในแม่น้ำครึกครื้น สตรีทั้งหลายในนั้นสวมมุกประดับหยก ดีดเครื่องสายร้องรำทำแพลงประหนึ่งภูเขาเซียน คนริมแม่น้ำแออัด มีคนถูกเบียดร่วงลงแม่น้ำเสียงหัวเราะครืนดังขึ้นเป็นระยะ ยิ่งมีคนโยนดอกไม้ประดิษฐ์ โกฐหัวบัวไปยังเรือสำราญ
ถึงท้ายที่สุดไม่รู้คนรวยตระกูลไหนโยนเงินตะกร้าหนึ่งลงไปในแม่น้ำ พาให้คนนับไม่ถ้วนกระโดลงแม่น้ำไปแย่งชิง แทบจะขวางเรือสำราญที่ล่องไป บนเรือสำราญเสียงหวานหวีดร้องไม่หยุด ทำให้คนเมามายไม่รู้คืนนี้เป็นคืนไหน
เทียบกับตลาดกลางคืนนอกพะราชวัง ด้านในพระราชวังจมดิ่งสู่ความเงียบสงัดของราตรีประหนึ่งโลกสองใบ
แต่ด้านในตำหนักฉินเจิ้งเวลานี้โคมไฟกลับยังคงสว่างไสว
“ฝ่าบาท ฝ่าบาท”
ขุนนางคนหนึ่งวิ่งเหยาะตลอดทางก้าวเข้ามา
อำมาตย์และขุนนางตำแหน่งสำคัญห้าคนเช่นหวงเฉิงเป็นต้นด้านในตำหนักอดไม่ได้เดินเข้ามาหลายก้าว ฮ่องเต้บนพระที่นั่งก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน
“เป็นอย่างไร? มีข่าวแล้วไหม?” พระองค์รีบร้อนตรัสถาม
ขุนนางเหงื่อโชกเต็มศีรษะท่ามกลางค่ำคืนหนาวเย็นนี้ ไม่ทราบว่าวิ่งมาเร็วเกินไปหรือว่าร้อนใจ
“มีแล้วขอรับ มีแล้วขอรับ” เขาหอบหายใจเอ่ย “ทหารกองหนุนห้าทัพมาถึงผูอิ๋นแล้ว กำลังพลเกือบสิบหมื่น”
พวกหวงเฉิงโล่งออก
“คราวนี้ก็เรียบร้อยแล้ว”
“ทันเวลา ทันเวลา”
“พอต้านทาน พอต้านทานแล้ว”
ทุกคนพากันเอ่ย ฮ่องเต้ก็โล่งอกนั่งกลับไปบนพระที่นั่งเช่นกัน
“ชิงเหอปั๋วเล่า?” พระองค์คิดถึงอะไรได้เอ่ยถามอีก
ขุนนางลังเลนิดหนึ่ง
“ชิงเหอปั๋วไม่มีข่าวใหม่ในตอนนี้พ่ะย่ะค่ะ” เขากราบทูล
ข่าวเก่าก่อนหน้านี้คือไม่มีข่าว หรือก็คือไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
ไม่มีข่าวไหม? นั่นก็คือบอกว่ายังไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย?
คนที่อยู่ที่นั่นสีหน้าล้วนไม่น่าดูอยู่บ้าง
“แต่ฝ่าบาทไม่ต้องกังวลพระทัย” ขุนนางรีบร้อนเอ่ย “พร้อมกับที่ชิงเหอปั๋วส่งสัญญาณไฟเคลื่อนทหารก็จัดการวางแผนว่าทุกคนจะช่วยเสริมโจมตีอย่างไรด้วย เวลานี้ทัพต่างๆ ก็ประจำตำแหน่งแล้ว”
ถ้าเช่นนั้นก็ดี ถ้าเช่นนั้นก็ดี ต่อให้ถึงเวลาช่วยชิงเหอปั๋วออกมาไม่ได้ ศึกนี้ก็เพียงพอจัดการชาวจินแล้ว
ชาวจินป่าเถื่อนละโมบทรัพย์ทั้งยังขี้ขลาด มือหนึ่งตีให้พวกเขากลัว มือหนึ่งให้ผลประโยชน์อีกนิดหน่อยก็ไล่ไปได้แล้ว
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปทางหวงเฉิง
“ทูตของชาวจินติดต่อได้แล้วหรือยัง?” พะองค์ตรัสถาม
หวงเฉิงค้อมกายขานรับ
“ติดต่อได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ กำลังรอคำตอบอยู่” เขาไม่ลังเลสักนิดเอ่ยขึ้น
ฮ่องเต้พยักพระพักตร์
“ไม่ว่าเขาพูดอะไร ตอบรับไปก่อนค่อยเจรจา” พระองค์เอ่ย
ไม่ว่าต้องการเงื่อนไขอะไรล้วนตอบรับ? นี่ออกจะเสียอำนาจแคว้นเกินไปแล้ว มีขุนนางด้านข้างขมวดคิ้ว
“ฝ่าบาท” เขาอดไม่ได้อ้าปาก
ฮ่องเต้กลับรำคาญอยู่บ้างขัดเขา
“ก็ไม่ใช่จะตกลงทั้งหมด แค่หลอกเด็กน้อยชาวจินก่อนสักหน่อย ไม่ให้ประชาชนทั้งหลายลำบาก” พระองค์ตรัส
ดูท่าคงเป็นเพราถูกสงครามกะทันหันนี่ทำให้กลัวจนเคร่งเครียดร้อนรนวิตก ฮ่องเต้จึงเผด็จการยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ นอกจากนั้นกับขุนนางที่เสนอความเห็นค้านก็ไม่เกรงใจอย่างยิ่ง บอกจะลงโทษก็ลงโทษ
เอาเถอะ ลองดูศึกปิดล้อมครั้งนี้ของชิงเหอปั๋วว่าเป็นอย่างไรก่อนเถอะ ขุนนางค้อมกายขานรับ
ฮ่องเต้มองขุนนางตำแหน่งสำคัญหลายคนในตำหนัก
“อีกอย่างเรื่องชิงเหอปั๋วถูกล้อม ทุกคนต้องเก็บเป็นความลับ” พระองค์ตรัส “มีเพียงพวกเจ้าไม่กี่คนรู้ ไม่อาจเล่าต่อ”
ขุนนางทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง
เรื่องใหญ่เช่นนี้จะปิดบังหรือ?
“ข่าวเช่นนี้ตอนนี้แพร่ออกไปไม่ได้ เพื่อไม่ให้กระทบกำลังใจทหารทำให้หัวใจประชาชนว้าวุ่น เกิดความวุ่นวายให้ชาวจินฉวยโอกาสได้ง่าย” ฮ่องเต้ตรัส
ที่สำคัญยิ่งกว่าคือชิงเหอปั๋วเป็นคนที่พระองค์เลือกใช้ เป็นตัวไร้ประโยชน์รบปุบก็ถูกล้อมเช่นนี้ย่อมลากพระองค์ให้ถูกด่าเป็นตัวไร้ประโยชน์ไปด้วย
“ใช่แล้ว” พระองค์ถอนพระปัสสาสะ “ในเดือนแรกของปีใหม่ปล่อยให้ประชาชนทั้งหลายหวาดกลัวเช่นนี้ ในใจข้าละอาย”
เอ่ยเช่นนี้ก็มีเหตุผลอยู่บ้าง แต่บางครั้งความหวาดกลัวก็เป็นการเตือนแบบหนึ่ง
ขุนนางหลายคนสีหน้าสับสน หวงเฉิงด้านนี้ก็ชิงค้อมกายอย่างเคารพ
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ย เอ่ยจบก็มองคนหนุ่มที่ยืนอย่ด้านข้างทีหนึ่งอย่างไม่ทันรู้ตัว
ประชุมสำคัญเช่นนี้คนที่เดิมที่ไม่ควรอยู่ก็ยังอยู่แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้พูดออกมาก่อนว่าฝ่าบาททรงพระปรีชา เพียงยืนอยู่ด้านข้างจดบันทึกสิ่งที่ได้ยินอย่างตั้งใจและจดจ่อเท่านั้น
แต่ฮ่องเต้เวลานี้ไม่มีพระทัยจะสนใจว่าพระองค์เองทรงพระปรีชาหรือไม่ทรงพระปรีชา ก็ไม่ใช่เรื่องมีหน้ามีตาอันใด ใครก็ไม่โง่ เวลานี้ทรงพระปรีชาอันใด
พระองค์โมโหอยู่บ้างถลึงตาใส่หวงเฉิงครั้งหนึ่ง
“ก็แค่ไร้หนทางปรับกลยุทธ์ตามสถานการณ์เท่านั้น” พระองค์ตรัส
ขุนนางคนอื่นก็ไม่สะดวกพูดสิ่งอื่นอีก ค้อมกายขานรับ
หนิงอวิ๋นเจาหยุดพู่กันก้มศีรษะนิดหนึ่ง ซ่อนแววตาเสียดสีและถมึงทึงในดวงตาไป
……………………………………….
……………………………………….
ผืนดินใกล้เขตเมืองหลวงเทียบกับแดนเหนืออุ่นกว่ามากนัก บนพื้นดินมีหญ้าน้อยหยั่งเชิงทะลวงออกมาใต้แสงอรุณขมุกขมัว ยื่นร่างสีเขียวอ่อนเหยียดออกอย่างระมัดระวัง
กีบเท้าอาชากำยำเหยียบย่ำผ่านไปทีหนึ่ง ทิ้งหลุมแห่งหนึ่งไว้ ฝุ่นดินฟุ้งขึ้นมา หญ้าสีเขียวถูกย่ำเละ
คนบนม้ารั้งม้าอย่างแรง อาชาหยุดลงท่ามกลางเสียงร้อง ชุดเกราะบนร่างกระทบส่งเสียงดังเกรียวกราว
นี่คือนายทหารที่แต่งกายเป็นทหารสอดแนมสองคน เวลานี้สีหน้าประหลาดใจมองไปด้านหน้า
นี่เป็นถนนเส้นน้อยระหว่างหมู่บ้านเส้นหนึ่ง เวลานี้ท่ามกลางหมอกอรุณขมุกขมัวบนพื้นมีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ บนร่างยังสะพายตะกร้า
ที่นี่พวกเขาคุ้นเคยนัก ไม่ไกลออกไปก็เป็นหมู่บ้านตระกูลหลัว คนบนพื้นม้วนขดแม้มองไม่เห็นหน้า แต่ตะกร้านั่นรวมถึงไม้ง่ามเก่าที่ตกอยู่ด้านข้างพวกเขาจดจำได้
“นี่ไม่ใช่เจ้าง่อยหลัวหรือ?” ทหารสอดแนมคนหนึ่งเอ่ยขึ้น แล้วท่าทางสนใจอยู่บ้าง “ทำไมนอนอยู่บนพื้นเล่า? หรือครั้งนี้เก็บไม่ได้ขี้วัว แต่เป็นทอง?”
ตอนเขาพูดคำนี้ก็ตะเบ็งเสียงดังขึ้น แต่คนบนพื้นก็ยังคงนิ่งไม่กระดิกคล้ายหลับอยู่
เรื่องไม่ชอบมาพากล ทหารสอดแนมสองคนรีบทะยานม้าเข้าไปด้านหน้า
“เจ้าง่อยหลัวเจ้าป่วยรึ?” พวกเขาเอ่ยถาม เพิ่งเข้าใกล้ก็รั้งม้าแล้วส่งเสียงเรียกเบาๆ อีกหน
คนที่นอนอยู่บนพื้นไม่ได้ม้วนขดอยู่ ทว่าเดิมทีก็ไม่มีหัว
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ทหารสอดแนมสองคนกระโดดลงจากม้า สีหน้าตกตะตลึง
“หัว” ทหารสอดแนมคนหนึ่งตะโกน ชี้ต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง
บนง่ามกิ่งของต้นไม้แห้งหนีบศีรษะหัวหนึ่งไว้ ดูสภาพแล้วถูกโยนส่งๆ ขึ้นไป
วิธีการเช่นนี้โหดร้ายเกินไปแล้ว
ใครมีความแค้นใหญ่หลวงกับชาวบ้านพิการเก็บมูลวัวคนหนึ่งเช่นนี้?
“รอยปาดของดาบโค้ง” ทหารสอดแนมคนหนึ่งคุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้นมองดูลำคอของเจ้าง่อย หลังจากนั้นเอ่ยเสียงเบาแล้วกลืนน้ำลายคำหนึ่ง เงยหน้าขึ้น “ดาบเดียวตัดลงมา กำลังเช่นนี้ ดาบโค้งที่คมเช่นนี้ไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ…”
ใช่แล้ว กระทั่งในกองทัพของพวกเขาก็ไม่ใช้ดาบโค้งเช่นนี้ แต่กลับเคยเห็นดาบโค้งเช่นนี้
ทหารสอดแนมสองคนสีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว
ทหารม้าชาวจิน
……………………………………….
……………………………………….
หมู่บ้านด้านหน้าหลับใหลอยู่ท่ามกลางหมอกบาง เงียบสงบอย่างยิ่ง
เสียงกีบเท้าม้ากุบกับแลดูดังกังวานเป็นพิเศษ
“ช้าก่อน” ทหารสอดแนมคนหนึ่งหยุดม้า “สถานการณ์ไม่ชอบมาพากล”
เขากระโดดลงจากม้า ปลดอาวุธนานาชนิดบนหลังม้ามาแขวนไว้บนร่าง
ใช่แล้ว หมู่บ้านกับเมืองไม่เหมือนกัน ชาวหมู่บ้านทำงานแต่เช้า ไม่มีทางหลับจนถึงตะวันสายโด่ง นอกจากนี้กระทั่งเสียงไก่ร้องเสียงสุนัขเห่าก็ไม่มี
ทหารสอดแนมสองคนกลืนน้ำลายคำแล้วคำเล่า ทิ้งม้า กำทวนยาวในมือแน่น เดินไปในหมู่บ้านช้าๆ
ในหมู่บ้านเงียบกริบ
ประตูเรือนหลังหนึ่งที่ใกล้ที่สุดเปิดกว้าง ทหารสอดแนมสองคนเดินเข้าไป
“ตาเฒ่าเจ็ดหลัว”พวกเขาเอ่ยเรียก กดเสียงเบาอย่างไม่ทันรู้ตัว
ต่อให้กดเสียงเบาในห้องก็ยังได้ยินได้
แต่ไม่มีคนตอบรับ ทหารสอดแนมสองคนส่งสายตาทีหนึ่ง จับโดนประตู คนหนึ่งยืนอยู่ข้างประตู คนหนึ่งยกเท้าถีบไปทางประตู
เพิ่งแตะถูกประตูก็เปิดออก ทหารสอดแนมหวิดล้มลง ยังดีหยัดร่างมั่นคงได้ทันที ยืนอยู่ในห้องมองปุบก็เห็นคนที่นอนหมอบอยู่บนพื้น
คราบเลือดเปรอะเป็นลายพร้อย
ไม่เพียงบนพื้น บนเตียงก็มี สตรีคนหนึ่งกอดเด็กน้อยสองคนกองอยู่ เลือดย้อมทะลุฟูกเตียง
เกิดเรื่องแล้ว!
เสียงฝีเท้าดังขึ้นในหมู่บ้าน ประตูทยอยถูกเปิด ไม่มีข้อยกเว้น สิ่งที่เห็นล้วนเป็นคนตาย
บ้างอยู่ในลานบ้าน บ้างอยู่ในห้อง ทุกแห่งทุกแห่ง
ชั่วข้ามคืนทั้งหมู่บ้านก็ถูกสังหาร
ทหารสอดแนมสองคนยืนอยู่ในหมู่บ้าน สองขาสั่นเล็กน้อย ใบหน้าไร้สีเลือด
พวกเขาไม่ใช่ไม่เคยเห็นคนตาย แต่ภาพที่น่ากลัวเช่นนี้เพิ่งเคยเป็นครั้งแรก
นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“ใช่โจรภูเขากองโจรอาชาไหม?” ทหารสอดแนมคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ
ส่วนอีกคนหมุนตัว
“ไม่ว่าอย่างไร รีบไปแจ้งใต้เท้าเถอะ” เขาเอ่ย
ทั้งหมู่บ้านถูกสังหารเรื่องเช่นนี้ไม่อาจเพียงแจ้งทางการได้แล้ว กงอทหารประจำการในท้องที่ก็ต้องเข้ามายุ่งด้วย
เขาเพิ่งหมุนตัว ในสายตาพลันปรากฏคนผู้หนึ่ง
ทหารสอดแนมอดไม่ได้หลุดปากร้องตกใจ
เป็นใครเพิ่งเห็นคนตายมาครึ่งหมู่บ้านก็ต้องตกใจกลัวที่คนเป็นโผล่ออกมากะทันหัน
นี่เป็นคนที่เดินออกมาจากในตรอกแห่งหนึ่ง
ยังมีผู้รอดชีวิตหรือ?
ทหารสอดแนมโล่งอกอีกหน
“สหายร่วมบ้านเกิด เกิดอะไรขึ้น…” เขารีบร้องตะโกน
คำพูดเพิ่งออกจากปาก ก็ถูกทหารสอดแนมข้างกายคว้าแขนไว้ ข้างหูเสียงฟันกระทบกันของสหายดังลอยมา
“จิน…จิน…”
จินอะไร?
สายตาของทหารสอดแนมมองเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าชัดด้วยแล้ว
คนผู้นี้รูปร่างเตี้ยกำยำ สวมเกราะฝ้ายหมุดโลหะ มือกำดาบโค้งทำจากเหล็กเนื้อดีเล่มหนึ่ง ใบหน้าที่สวมหมวกเหล็กกำลังเผยรอยยิ้มประหลาด
ทหารจิน!
เขากำลังฝันอยู่หรือ?
ทหารจินทำไมปรากฏตัวที่นี่ได้?
ทหารสอดแนมเบิกตาโต กำลังจะชักศรหลังร่างออกมาด้วยสัญชาติญาณแต่ยังสายไปก้าวหนึ่ง ตรงหน้าแสงเย็นเยียบฉายวูบหนึ่ง ทหารจินคนนั้นโถมเข้ามาแล้ว ดาบโค้งเล่มยาวฟันเข้ามาตรงๆ
เลือดสาดกระจายรอบด้าน