Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 42 ใกล้ เพียงตรงหน้า
คุณหนูจวินไม่ได้พบหน้าลู่อวิ๋นฉีมาสองวันแล้ว
ได้ยินเสียงของนาง ใบหน้านิ่งสนิทของลู่อวิ๋นฉีพลันปรากฏรอยยิ้ม
“รู้ว่าข้าไม่ได้กลับมา” เขาเอ่ย
หากเขากลับมา จะต้องมาหานางที่นี่ ไม่ใช่คนอยู่ที่บ้านแต่ไม่ปรากฏตัว
นี่เป็นเรื่องแน่นอนของเขา ส่วนนางก็มั่นใจอย่างยิ่งเช่นกัน
มั่นใจไยไม่ใช่ความเข้าใจประเภทหนึ่ง
และความเข้าใจมีเพียงระหว่างคนที่คุ้นเคยเท่านั้นถึงจะมีอยู่
ดังนั้นที่สุดแล้วนางก็ยังคุ้นเคยกับเขา
“คุ้นเคยมีหลายแบบ” คุณหนูจวินเอ่ยอย่างเฉยชา
“ล้วนเหมือนกัน อย่างไรก็ได้” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยพลางนั่งลงตรงหน้านาง ไม่โต้เถียงประเด็นนี้ “เรื่องอะไร?”
“ข้าคิดดีแล้ว ตัวเลือกที่ก่อนหน้านี้เจ้าว่า” คุณหนูจวินเอ่ย “พาข้าไปพบจิ่วหลีเถอะ”
ตอนนี้นางเอ่ยข้อเรียกร้องอันนี้ออกมา ไม่ว่าเพราะทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ หรือมีแผนการอื่นใด ลู่อวิ๋นฉีล้วนส่ายศีรษะ
“ตอนนี้ไม่ได้แล้ว” เขาเอ่ยขึ้น “จิ่วหลิง ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าออกจากเมืองหลวง”
ออกจากเมืองหลวง?
“ทำไม?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
ลู่อวิ๋นฉีมองนาง
“ชาวจินบุกมาถึงเมืองหลวงแล้ว” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินผุดลุกขึ้นยืน สีหน้าไม่อยากเชื่อ
นางรู้ว่าการที่ฮ่องเต้ลงโทษเฉิงกั๋วกงย่อมชักนำให้แดนเหนือเกิดจลาจล ชาวจินฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย
แต่วุ่นวายอีกเท่าใดก็คิดไม่ถึงว่าจะวุ่นวายมาถึงขั้นนี้
“เมืองหลวง?” นางมองลู่อวิ๋นฉี อยากบอกว่าเขาล้อเล่นอันใด แล้วก็อยากพูดว่าเจ้าหลอกใครอยู่ แต่นางรู้ว่าบุรุษผู้นี้ไม่ล้อเล่นและไม่เอ่ยคำโกหก “มาถึงเมืองหลวงได้อย่างไร?”
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้ายังคงนิ่งสงบ คล้ายสิ่งที่พูดอยู่ไม่เกี่ยวข้องกับการล่มสลายของบ้านเมือง แต่เป็นเรื่องจำพวกวันนี้อากาศเป็นอย่างไร
“ชาวจินวางแผนให้ชิงเหอปั๋วติดกับ แล้วทำทีเป็นกองทัพใหญ่จะผนึกกำลังทั้งหมดโจมตีทีเดียว ดึงให้ชิงเหอปั๋วเคลื่อนทหารกองหนุนขนานใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารประจำการที่มณฑลจิงตง” เขาเอ่ย
“มณฑลจิงตงกำลังทหารกลวงเปล่าปุบ ชาวจินก็จู่โจมกะทันหันบุกทะลวงมา” คุณหนูจวินเอ่ย “ง่ายดายเช่นนี้?”
ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า
“ง่ายดายเช่นนี้” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินนั่งลงอีกหน
“ง่ายดายเช่นนี้” นางเอ่ยพึมพำ
ใช่แล้ว ฟังแล้วเหลือเชื่อ แดนเหนือกองทหารประจำการมากปานนั้น ระยะทางไกลปานนั้น ชาวจินบอกจะบุกก็บุกมาถึงตรงหน้า
แต่พูดไปแล้วก็ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ ยามที่รบชนะได้ชัดๆ กลับคุกเข่าลงเจรจาสงบศึก มอบโอกาสหายใจให้ชาวจิน ละโมบหวังคำลวงว่าจะก้มหัวสวามิภักดิ์ ยกสามเมืองให้ทำให้ชาวจินก้าวเดียวเหยียบย่างเข้ามาแผ่นดินด้านใน เคลื่อนทหารส่งแม่ทัพแห่มารุมล้อมถึงหน้าประตู แล้วยังปล้นอำนาจทหารของแม่ทัพใหญ่ เปลี่ยนคนใหม่ ผลุนผลันโยกย้ายทหารและแม่ทัพแดนเหนือจนตกสู่ความวุ่นวาย
ประตูแดนเหนือเปิดอ้ากว้าง ชาวจินย่อมหนึ่งเท้าถีบเปิด ราบรื่นไม่มีสิ่งใดขวางทรงพลังไม่อาจต้าน
ดังนั้นความดีความชอบสิบปีจึงย่อยยับเพียงหนึ่งวัน จากปราการแข็งแกร่งมาถึงอ่อนแอไม่ทานทนสักการโจมตีก็ง่ายดายเช่นนี้ แค่ชั่วความคิดหนึ่งของคน
“แม้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่ใช่ป้องกันไว้ไม่ได้ ใกล้ๆ เมืองหลวงมีทหารองครักษ์” นางเงยศีรษะขึ้นเอ่ยอีกครั้ง “แดนเหนือด้านนั้นทหารกองหนุนจะต้องมาแน่”
นางลุกขึ้นยืนครุ่นคิดพลางก้าวเดินสองก้าว
“ต่อให้บุกมาถึงตรงหน้าเมืองหลวง กำแพงเมืองของเมืองหลวงก็แข็งแกร่งยิ่ง ขอเพียงบนล่างรวมใจก็ไม่ใช่วันสองวันจะตีได้”
หลังจากย้ายเมืองหลวงมาที่นี่ครั้งกระโน้น เพราะเงาดำยามเมืองไคเฟิงแตกครั้งนั้น กำแพงเมืองของเมืองหลวงเนิ่นนานปีปานนี้จงซ่อมแซมเพิ่มความแข็งแกร่งมาตลอดไม่ขาด
“ก็อาจจะ” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย เห็นชัดว่าไม่สนใจ “แต่ฝ่าบาทจะเสด็จแล้ว”
ฝ่าบาทจะเสด็จแล้ว…
คุณหนูจวินมองไปหาเขาอย่างตกตะลึงอีกครั้ง
หมายความว่าอย่างไร?
“เสด็จนี่ น่าจะไม่ใช่เขาต้องการเผชิญศัตรูด้วยตนเองกระมัง?” นางเอ่ยถาม
ลู่อวิ๋นฉียิ้ม
“ย่อมไม่ใช่” เขาเอ่ย
ถ้าเช่นนั้นก็คือ…หนี
คุณหนูจวินยกเท้าเตะม้านั่งที่ลู่อวิ๋นฉีนั่งอยู่ล้มคว่ำ
“ขยะ” นางด่าอย่างโกรธเกรี้ยว “เวลานี้หนีได้อย่างไร? หนีปุบกำลังใจทหารพังทลาย เมืองหลวงก็รักษาไว้ไม่ได้จริงๆ แล้ว”
ลู่อวิ๋นฉียังคงสีหน้านิ่งสงบดังเดิม
“ไปเถอะ” เขาเอ่ย
หากฮ่องเต้ต้องการหนี ลู่อวิ๋นฉีย่อมต้องติดตาม ดังนั้นเขาจำต้องพานางไปด้วยแน่นอน
“จิ่วหรง จิ่วหลี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง ฮ่องเต้ไม่มีทางพวกเขาไปแน่ แต่ข้าจะให้คนจัดการอย่างดี” เขาเอ่ยต่อ
คุณหนูจวินกัดริมฝีปากล่าง หนึ่งก้าวมายืนตรงหน้าเขา คงเพราะอารมณ์พลุ่งพล่านไม่ทันระวังม้านั่งที่ตนเองเตะล้มถึงหวิดจะสะดุด ลู่อวิ๋นฉียื่นมือพยุงนางไว้
“เจ้าพาข้าไปพบฮ่องเต้ ตอนนี้หนีไม่ได้เด็ดขาด” คุณหนูจวินไม่สะบัดออกถอยหลัง แต่ร้อนรนเอ่ย
“เจ้ายังคิดจะโน้มน้าวเขาอีก?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยพลางก้มตัวยื่นมือจะจับม้านั่งมาวางด้านข้าง “อย่าไร้เดียงสาเลย…”
เสียงของเขามาถึงตรงนี้พลันหยุดไป ร่างกายแข็งทื่อ เงยศีรษะขึ้นช้าๆ มองสตรีที่ยืนอยู่ตรงหน้า
สองมือของคุณหนูจวินยังมัดอยู่ด้วยกัน เวลานี้อาศัยที่เขาค้อมกายก้มศีรษะอยู่วางลงบนลำคอของเขา
มือของนางมีกำลังมาก แต่คิดจะใช้สองมือนี้ตีเขาให้สลบเป็นไปไม่ได้
แต่…
ความเจ็บแปลบในลำคอยิ่งมากขึ้นทุกที
“จิ่วหลิง อย่าก่อเรื่อง” ลู่อวิ๋นฉีมองนาง เอ่ยขึ้นช้าๆ
คุณหนูจวินไม่พูดสักคำ สีหน้านิ่งสงบมองเขา ไม่มีความโกรธเกรี้ยวร้อนรนยามได้ยินว่าฮ่องเต้หนีก่อนหน้านี้
“ร้ายกาจจริงๆ” ลู่อวิ๋นฉีมองนางพลางอมยิ้มเอ่ย
คำชมนี้ไม่ได้เสียดสี เป็นการชื่นชมจากหัวใจเจ้าตัวอย่างจริงใจ แววตาของเขาถึงขนาดเปล่งประกาย นั่นคือความชื่นชมอย่างนับถือ
ในสภาพเช่นนี้ นางยังซ่อนของป้องกันตัวไว้ได้ นอกจากนี้ยังรอมานานปานนี้
“คืออะไร?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยถามต่อ “เข็มพิษหรือ? ซ่อนไว้ที่ไหน?”
เขาสงสัยว่าซ่อนไว้ที่ไหน ไม่ใช่เป็นหรือไม่เป็นเข็มพิษ แม้เข็มพิษนั่นจะแทงเข้ามาที่หลังคอของเขาแล้วก็ตาม
“บนตัวของเจ้าหรือ? ในผิวหนัง?” เขาคิดคำตอบได้เองอย่างรวดเร็วยิ่ง
จะซ่อนเข็มพิษไว้ในร่าง ก่อนอื่นก็ต้องเปลี่ยนตนเองเป็นเข็มพิษก่อน เช่นนี้ถึงไม่มีทางถูกเข็มพิษทำร้าย
หรือก็คือประโยคนั้นที่ว่าอยากสังหารผู้อื่นจงสังหารตนเองก่อน
ลู่อวิ๋นฉีมองคุณหนูจวินแล้วขมวดคิ้ว
“เจ็บนักเชียว” เขาเอ่ยขึ้น
สิ้นเสียง เสียงร่วงก็ดังตึงทีหนึ่ง เขาหลับตาล้มลงบนพื้น
จนกระทั่งนาทีนี้ คุณหนูจวินถึงพรูลมหายใจหนักๆ ขอบคุณฟ้าขอบคุณดิน
หากเป็นตามที่อาจารย์ว่า เข็มที่ซ่อนอยู่ในหนังเนื้อ ทรมานมากปานนั้นย่อมต้องเป็นหนึ่งการโจมตีถึงชีวิต แต่นั่นจำต้องบำรุงด้วยยาเนิ่นนานถึงทำได้ ร่างกายร่างนี้ของจวินเจินเจินมีเวลาน้อยเกินไป นางทันเพียงฝึกปรือยาที่ทำให้คนชาหมดสติเท่านั้น
แค่นี้ยังไม่มั่นใจเลย ดีที่ดูท่าฤทธิ์จะยังใช้ได้
ทว่าครู่หนึ่งที่หยุดไปนี้ มือของลู่อวิ๋นฉีที่นอนอยู่บนพื้นก็ขยับแล้ว
ฤทธิ์ยาไม่พอ เวลากระชั้นชิด คุณหนูจวินเก็บความคิดวุ่นวายยกเท้าก้าวข้ามเขาวิ่งไปด้านนอก
บ่าวหญิงคนนั้นหลังลู่อวิ๋นฉีมาจะออกไป แต่หากเป็นเวลาทานหารนางจะต้องรออยู่ข้างนอกเพื่อสะดวกฟังคำสั่งมาจัดการกล่องอาหาร แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทานอาหาร นางจะต้องออกไปแล้วแน่
คุกใต้ดินนี่นางเคยมา ไม่นานก็เหยียบขั้นบันไดพุ่งขึ้นไป เหนือศีรษะแผ่นไม้แผ่นหนึ่งปิดอยู่ คุณหนูจวินเขย่งเท้าชูมือขึ้นผลัก
แกร๊ง แผ่นไม้กลับไม่เปิดออกตามเสียง ตรงกันข้ามเสียงโซ่กระทบกันพลันดังขึ้น
ใบหน้าของคุณหนูจวินซีดขาวทันที
ถึงกับยังล่ามไว้ด้วย?
ถึงกับล่ามข้างนอกไว้ด้วย?
เพื่อขังนาง กระทั่งตัวเขาเองเขาก็ไม่เชื่อใจหรือ? ยังให้คนเอากุญแจมาขังเขาไว้ในนี้เหมือนกัน!
คนบ้าคนนี้!
คุณหนูจวินใช้มือที่ถูกมัดอยู่ผลักแผ่นไม้ แต่สิ่งที่ตอบกลับนางมีเพียงเสียงโซ่ขยับ
นางไม่รู้ว่าปกติให้คนข้างนอกเปิดประตูอย่างไร ตอนนี้ก็ไม่มีเวลาคิดแล้ว หากคนข้างนอกถาม นางก็จะบอกว่าลู่อวิ๋นฉีถูกนางสังหารแล้ว ดูสิว่าพวกเขาจะเปิดหรือไม่เปิดประตู
แต่ข้างนอกตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีคนถาม ส่วนด้านในเสียงม้านั่งโครมครามก็ลอยมาแล้ว
คุณหนูจวินหันกลับไปมอง เห็นลู่อวิ๋นฉีแม้ยังนอนหลับตาอยู่บนพื้น แต่มือกลับฉับพลันขยับ ชนบนม้านั่ง
ลู่อวิ๋นฉีบีบฤทธิ์ยาให้ถดถอยแล้ว ด้วยความสามารถของเขาไม่นานก็คงขยับได้
หากครั้งนี้หนีไม่รอด ด้วยความบ้าคลั่งของลู่อวิ๋นฉี ชีวิตนี้นางก็อย่าคิดมีโอกาสอีกเลย
คุณหนูจวินความคิดไม่เป็นลำดับอันใดแล้ว กำลังคิดว่าจะชนประตูต่อหรือจะกลับไปใช้ม้านั่งทุบลู่อวิ๋นฉีให้ตายก่อน ขณะที่กำลังนิ่งอึ้ง เหนือแผ่นไม้พลันมีเสียงเกรียวกราวดังขึ้น ตามติดมาด้วยแผ่นไม้ถูกเปิดออก แสงตะวันฉับพลันสาดเข้ามา สว่างจนแสบตา แต่คุณหนูจวินกลับไม่กล้าหรี่ตา นางต้องการมองให้ชัดว่าคนที่มาคือใครจะได้รับมือได้ นางออกแรงลืมตาเงยศีรษะมองไป ใบหน้าของสตรีดวงหนึ่งฝ่าเข้ามาในสายตา
คุณหนูจวินอึ้งแล้ว
สตรีที่มองเข้ามาข้างในก็อึ้งเช่นกัน
“ท่านพี่” คุณหนูจวินพึมพำอย่างไม่รู้ตัว