Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 51 ยืนหยัดป้องกันก็คือการช่วยเหลือ
บนทุ่งกว้างยามฤดูใบไม้ผลิรกร้างหนาวเย็น ดินหินเปล่าเหลือยไม่มีสีเขียวสักนิด ผืนดินสั่นสะเทือนประหนึ่งสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิฟาดลงมา กีบเท้าม้านับไม่ถ้วนย่ำผ่านจนดินหินลอยขึ้นมาอีกหน
เห็นทหารโจวมืดฟ้ามัวดินบีบเข้ามา ทหารจินด้านหน้าค่ายทัพพลันวุ่นวาย
“ใต้เท้า ใต้เท้า พวกผู้ชายยันไม่ไหวแล้วขอรับ”
แม่ทัพนับไม่ถ้วนก้าวเข้ามาเอ่ยกล่อม
“ถอยไม่ได้!” แม่ทัพจินตะโกนโกรธเกรี้ยว “ปีกสองข้างยังรบได้อีก”
สองตาของเขาแดงก่ำมองดูทหารโจวประหนึ่งเมฆดำด้านหน้า โดยเฉพาะพธงใหญ่อักษรคำว่าจูโดดเด่นสะดุดตานั่นใจกลางกองทัพ แล้วชิงชังจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
จูซานที่น่าตายคนนี้ ต่ำช้าหน้าไม่อาย หลอกล่อเขามาถึงที่นี่ ให้กำลังพลหมื่นกว่านายนิ่งรอ พวกเขาที่ไล่ตามมาทหารม้ากระจัดกระจายวุ่นวายทั้งกำลังพลยังเหนื่อยล้า กระทั่งเวลาจัดกำลังพลยังไม่มี
ทหารโจวประหนึ่งสายลมคลั่งสองปีกล้อมตีหลายครั้งหลายคราทะลวงทลายกำลังพลของเขา
เห็นทหารโจวกำลังพุ่งมาที่ปีกสองข้างอีกครั้ง กำลังคนของตนเองก็ไม่มีใจรับศึกแล้ว
แต่ตอนนี้ถอยไม่ได้ ถอยครั้งหนึ่งทลายพันลี้ ประจันหน้าไปรบแลกเลือดบางทีอาจยังแหวกทางหนีเส้นหนึ่งออกมาได้ รอทหารกองหนุนข้างหลังมาถึง
ทหารโจวพุ่งเข้ามาแล้ว ตะเบ็งเสียงสังหารสะเทือนฟ้า
ไม่รู้ว่าพุ่งสังหารกี่ครั้ง แม่ทัพมากมายฉับพลันค้นพบว่ากำลังพลข้างกายกลายเป็นหรอมแหรม รอบด้านศพระเกะระกะ ไกลออกไปยังมีม้าวิ่งกระจัดรกะจาย
ส่วนเบื้องหน้าทหารโจวที่พุ่งมาสังหารแล้วกลับไปเหล่านั้นวิ่งเข้าไปยังสองปีกหรือด้านหลังของกระบวนทัพทหารกองทัพโจวอย่างรวดเร็ว กระบวนทัพทั้งหมดเคร่งครัดอย่างยิ่ง คล้ายไม่มีคลื่นไหวสักนิด พาอำนาจกดดันน่าขนลุกจับจ้องทหารจินด้านนี้
กลองศึกผ่อนลง กระบวนทัพของทหารโจวก็เคลื่อนไหวผ่อนลง คลี่ออกประหนึ่งพัด แกนพัดประหนึ่งกระบี่เหล็ก
ว่าแล้วเชียวว่าไม่มีทางรบชนะเฉิงกั๋วกง
ชาวจินสู้ไม่ได้ ชาวโจวก็ดันจัดการเขาให้ตายไม่ได้
ไม่เพียงทำให้ตายไม่ได้ ตรงกันข้ามเขากลับกุมอำนาจทหารแดนเหนืออีกครั้ง เคลื่อนกำลังพลล้อมอุดพวกเขาไว้
“เจ้าหมอนี่ ไม่ใช่คน เป็นภูตผีไม่รู้จักตาย”
ความคิดแล่นผ่าน ไม่รู้แม่ทัพจินคนไหนหันหน้าหนีไปด้านหลังก่อน จากนั้นกองทัพจินทั้งหมดก็เริ่มวิ่งหนี พังทลายพันลี้
ทหารจินผู้ลำบากนักกว่าจะหนีจากทหารโจวผู้ไล่โจมตีด้านหลังมาถึงป้อมปราการที่ยึดครองอยู่ด้านหน้ากลับพบว่าที่นี่ก็ยังคงไม่มีทางรอด
ป้อมปราการทั้งหมดถูกทหารโจวล้อมไว้แล้ว
เห็นพวกเขา กำลังพลสองปีกของกระบวนทัพพลันออกมาประหนึ่งพัดใบลาน ทหารจินที่สูญเสียใจจะรบกระจัดกระจายอยู่ถูกสังหารอย่างรวดเร็วยิ่ง
กำลังพลเหล่านี้ เรื่องเหล่านี้ เฉิงกั๋วกงล้วนไม่สนใจ เขามองเพียงเมืองตรงหน้า
“โจมตีเมือง” เขาเอ่ย
พร้อมกับเสียงคำสั่งนี้ กระสุนหินนับไม่ถ้วนก็พาเสียงหวีดหวิวกระทบกำแพงเมืองประหนึ่งฝน
เสียงตะโกนเสียงร้องเจ็บปวด เสียงกำแพงเมืองปริแตกดังขึ้นไม่หยุด หลังผ่านกระสุนหินระลอกหนึ่ง กลองศึกพลันดังพร้อมเพรียง ด้วยการปกป้องของรถเกราะนายทหารแถวแล้วแถวเล่าแบกบันไดยาววิ่งไปยังกำแพงเมือง
น้ำในแม่น้ำคูเมืองถูกชักไปแล้ว ยามรถเกราะมาถึงย่อมมีนายทหารนำแผ่นไม้มาพาดบนคูเมืองให้นายทหารที่แบกบันไดยาวผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทหารจินบนกำแพงเมืองที่โชคดีเหลือรอดจากการโจมตีด้วยกระสุนหินกลับมาเป็นระเบียบยิงศรมา มีนายทหารล้มลงไม่หยุด แต่เมื่อบันไดพาดขึ้นมา นายทหารพลันปีนป่ายขึ้นบนกำแพงเมืองต่อเนื่องไม่ขาดสาย มองมาจากที่ไกลคล้ายเถาวัลย์เส้นแล้วเส้นเล่าปกคลุมกำแพงเมืองไว้ ทำให้คนตื่นตาทั้งยังทำให้คนใจสั่นขวัญสะท้าน
“ใจสั่นขวัญสะท้าน?” เฉิงกั๋วกงหันกลับมามองชิงเหอปั๋ว
ใจสั่นขวัญสะท้านแทนชาวจินหรือ?
เมืองแห่งนี้ตีแตกไม่ใช่ปัญหาแล้ว
บนหน้าชิงเหอปั๋วไม่มีสีหน้ายินดีสักนิด ตรงกันข้ามยิ่งเขียวขาว เส้นผมกับสีหน้าชราลงยิ่งกว่าตอนถูกล้อมขังไว้
“ข้ากำลังคิดว่า กำแพงเมืองของเมืองหลวงสูงหนากว่าที่นี่สักเท่าไร” เขาเอ่ย
แต่ต่อให้กำแพงเมืองสูงหนากว่าที่นี่ คนที่ป้องกันกำแพงเมืองของเมืองหลวงก็เทียบกับที่นี่ไม่ได้
สายตาของเขาทอดมองออกไปไกลโพ้น แม้เห็นทหารจินบนกำแพงนั่นไม่ชัด แต่ท่าทางดุร้ายก็ยังคงโถมเข้าใส่หน้า
แม้ตอนนี้ทหารจินที่ดุร้ายเหล่านี้กำลังกลายเป็นเหยื่อในมือกำลังพลของพวกเขา แต่คิดถึงความเหิมเกริมของทหารจินเหล่านี้ที่เมืองหลวง เขาก็อดไม่ได้ใจสั่นขวัญสะท้าน
“ไม่ต้องส่งกำลังพลไปช่วยเหลือเพิ่มอีกจริงหรือ?” เขาเร่งเสียงดังเอ่ย
คำนี้ไม่ได้เอ่ยครั้งแรก
เฉิงกั๋วกงรั้งสายตากลับมาไม่มองเขาอีก
“เวลานี้พวกเราอยู่ที่นี่ขวางทหารจิน ขวางกองทัพใหญ่ของชาวจินเดินทางลงใต้ก็เป็นการช่วยเหลือมากที่สุดแล้ว” เขาเอ่ย “แดนเหนือมีทหารจินแสนนายต้องการฝ่าวงล้อมของพวกเรา ในเขตแคว้นจินยังมีกำลังพลมากยิ่งกว่ารวมตัวอยู่อีก หากขวางไม่อยู่ ท่านคิดว่าต่อให้เราส่งกำลังมากกว่านี้ลงใต้ไปยังมีประโยชน์อันใดอีก?”
สีหน้าของชิงเหอปั๋วหม่นหมองชั่วครู่
“ครั้งนี้ชาวจินจะเอาให้ได้ยกกำลังทั้งแคว้นต้องการโจมตีคราวเดียวแล้ว” เขาเอ่ย
พูดเช่นนี้ก็คือพวกเขาถูกข้าศึกกระหนาบหน้าหลังแล้ว ครั้งนี้ยังขวางได้หรือ?
แต่คำพูดประโยคนี้ได้แต่แล่นผ่านในใจ แล่นผ่านในใจก็ทำให้เขารู้สึกอายแล้ว คล้ายนับแต่นาทีนั้นที่เฉิงกั๋วกงช่วยออกมา เขาก็ต่ำกว่าเขาหนึ่งขั้นแล้ว
เฉิงกั๋วกงหันกลับมามองเขาทีหนึ่ง
“ไม่ต้องกังวล” เขาเอ่ย “พวกเราใช้วิถีของผู้อื่นคืนสนองแก่ตัวผู้อื่นได้”
หมายความว่าอย่างไร? ชิงเหอปั๋วมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
“ที่ชาวจินยกพลใหญ่มาเช่นนี้ครั้งนี้ได้ เพราะล่อหลอกฝ่าบาทด้วยการเจรจาสงบศึกก่อน ค่อยยุยงพวกเราชาวโจวให้ภายในวุ่นวายจากนั้นถึงฉวยโอกาสลงใต้” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นพวกเราย่อมทำเช่นนี้ได้เช่นกัน”
ความวุ่นวายที่ว่าหมายถึงที่เขาคุมแดนเหนือแทนเขาหรือ? จูซานคนนี้วาจามักฟังแล้วไม่รื่นหูยิ่ง ชิงเหอปั๋วสีหน้าไม่น่าดูอยู่บ้าง ดังนั้นถึงบอกว่าเขาไม่อยากอยู่ด้วยกันกับจูซานคนนี้สักนิด
“ทำอย่างไร?” แต่เขายังคงอดไม่ได้เอ่ยถาม
เฉิงกั๋วกงมองไปทางทิศเหนือ ใบหน้าอ่อนโยนมีความกังวลจางๆ พาดผ่าน แต่จากนั้นก็ฟื้นกลับมาเด็ดเดี่ยว
……
……
“ท่านชาย เรื่องนี้ทำไม่ง่ายนัก”
ดวงตะวันลอยสูงบนท้องฟ้า แสงตะวันส่องสว่างส่องบนร่างให้อบอุ่น พากลิ่นอายฤดูใบไม้ผลิมา
แต่มองไปจากบนเนินลาด สิ่งที่ต้องสายตาก็คือผืนดินโล่งเตียน กระทั่งต้นไม้แห้งสักต้นก็ไม่เห็น
“เพื่อป้องกันการลอบโจมตี ชาวจินกระทั่งต้นไม้ใกล้ๆ เมืองล้วนตัดเกลี้ยงแล้ว”
หลังเนินเขาบุรุษคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา หมวกหญ้าแห้งที่สวมบนศีรษะแกว่งไกวตาม ประหนึ่งสายลมพัดผ่าน
พงหญ้าอีกด้านหนึ่งสั่นไหว เป็นคนผู้หนึ่งเงยศีรษะขึ้น บนหนวดดกเฟิ้มก็ติดหญ้าแห้งฟ่อนหนึ่งไว้เช่นกัน เผยออกมาเพียงดวงตาสุกใสสองข้าง
จูจั้นนั่นเอง
จูจั้นสบถทีหนึ่ง ถ่มหญ้าแห้งต้นหนึ่งที่คาบอยู่ในปากออกมา
“เรื่องที่ทำไม่ง่ายมากไป พวกเราไม่ใช่มาถึงแคว้นของชาวจินนี่แล้วหรือ” เขาเอ่ย
บุรุษหันกลับมองใต้เนินเขาทีหนึ่ง ในคูน้ำมองปราดแรกเห็นเป็นดินเหลืองไปหมด มองให้ละเอียดจะเห็นข้างในนั้นสูงๆ ต่ำๆ อยู่เลือนราง นั่นก็คือคนที่คลุมผ้าดินเหลืองซ่อนตัวอยู่ข้างใน
เดินทางมาถึงที่นี่ คนของพวกเขาก็เสียไปครึ่งหนึ่งแล้ว
นั่นยังเป็นแค่การฝ่าผ่านจุดที่การป้องกันบอบบางที่สุดของทหารจิน ตอนนี้เป็นถึงเมืองหลวงของแคว้นจิน เป้าหมายของพวกเขาคือฮ่องเต้ของแคว้นจิน
“ฮ่องเต้ของแคว้นจินไม่ได้หลบอยู่ในวังอย่างเดียว เพื่อเคลื่อนแม่ทัพทหารมากกว่าเดิม เขามักจะออกมาติดต่อกับเผ่าอื่นๆ เสมอ” จูจั้นเอ่ย พิงบนเนินลาดท่าทางผ่อนคลายอยู่บ้าง หรี่ตาลงมองดวงตะวันกลางท้องฟ้าประหนึ่งดื่มด่ำกับการอาบแดดอยู่
สิ้นเสียงคำพลันรู้สึกว่าผืนดินสั่นสะเทือน ทั้งสองคนร่างกายชะงักพร้อมกัน แนบไปกับเนินลาดมองไปด้านนอกอย่างระมัดระวัง
ในเมืองไกลออกไป กำลังพลแถวแล้วแถวเล่าแห่ออกมา ชุดเกราะสีแดงสดหมวกเกราะสีขาวมากมายถี่ยิบเหมือนกันหมด ทำให้คนมองแล้วตัวชา
เทียบกับทหารจินที่คุ้นเคยระหว่างทาง แม้มองใบหน้ากำลังพลเหล่านี้ไม่ชัด แต่ท่วงท่าแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
“นี่คือค่ายของฮ่องเต้แคว้นจิน เลือกทหารกล้าฝีมือเยี่ยมจากเผ่าต่างๆ มา แม้มีเพียงหกเจ็ดร้อยคน แต่ร้ายกาจอย่างที่สุด” บุรุษเอยเสียงเบา
จูจั้นมองเขาทีหนึ่งฉับพลันก็หัวเราะแล้ว
“กลัวแล้วรึ?” เขาเอ่ย “ตัดฟืนมาเจ็ดแปดปี เพิ่งเคยเห็นเจ้ากลัวครั้งแรก”
บุรุษยิ้มเฝื่อนทีหนึ่ง
“ฟืนที่ตัดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นของธรรมดา ครั้งนี้มาตัดฟืนชนิดนี้ ยากเลี่ยงตื่นเต้นอยู่บ้าง” เขาเอ่ยแล้วมองจูจั้นอีกหน “พี่ใหญ่ดูแล้วก็กลัวอยู่บ้างเหมือนกันนะ”
จูจั้นยิ้ม ไม่ปิดบังความหวาดกลัวในดวงตาสักนิด
“สิ่งที่ข้ากลัวไม่ใช่ข้าตาย” จูจั้นเอ่ยพลางยื่นมือเอื้อมไปด้านหลังร่าง “ตายก็ตาย ข้าเพียงกลัว…”
คำพูดที่เหลือของเขาไม่ได้เอ่ยออกมา แต่มองทางใต้ทีหนึ่ง
กลัวนางตายหรือ?
ไม่สมควร นาง ก็ไม่ใช่คนที่กลัวความตายเช่นกัน
“กลัวเวลาไม่พอ” จูจั้นเปลี่ยนคำพูดประโยคหนึ่งเอ่ยขึ้น เขาชักมีดสั้นออกมาจากเอว สายตามองกำลังพลด้านหน้าอย่างแน่วแน่ เห็นพระกลดใหญ่สีเหลืองด้านในได้อยู่เลือนรางแล้ว “พวกเราต้องเร็ว ไม่เช่นนั้นจะมีคนตายมากยิ่งนัก”
……
……
ลมใบไม้ผลิพัดผ่านวูบหนึ่ง ไม่ได้ไล้ใบหลิวแต่พาเสียงเกราะแหลมคมเร่งร้อนมา
สิ่งที่ตามติดมาก็คือเสียงกลอง เร่งร้อนมีพลัง ทำให้คนใจสั่นขวัญสะท้านลมหายใจหยุดชะงัก
นี่คือสัญญาเตือนว่าชาวจินมาแล้ว
หลายวันนี้ชาวบ้านทั้งหลายถูกทำให้คุ้นเคยกับความหมายของสัญญาณกลองสัญญาณเคาะไม้ชนิดต่างๆ แล้ว
ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้เป็นการจำลองฝึกซ้อมสัญญาณเตือนอีกแล้วหรือ?
นอกเมืองชาวบ้านทั้งหลายที่ยกเครืองมือนานาชนิดขุดคูคลองอยู่เงยหน้าขึ้น มองปราดเดียวก็เห็นควันสัญญาณที่ลอยขึ้นมาไกลออกไป
“รีบกลับเมือง!”
บนกำแพงเมืองมีเสียงตะโกนเร่งรีบลอยมาเช่นกัน
ครั้งนี้เป็นของจริง! ชาวจินมาจริงๆแล้ว!
ชาวบ้านที่เดิมทีทำงานอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ฉับพลันตกสู่ความวุ่นวาย โยนเครื่องมือเพาะปลูกในมือลงวิ่งทะยานไปในเมือง
ประตูเมืองไม่ได้รีบร้อนปิดลงเช่นนั้นอย่างที่พวกเขากังวลใจ แต่รอจนคนสุดท้ายวิ่งเข้ามาถึงปิดลง
นายทหารทั้งหลายที่ยืนอยู่บนกำแพงมองเห็นกำลังพลที่ปรากฏขึ้นไกลออกไปแล้ว มายมายถี่ยิบประหนึ่งเส้นเส้นหนึ่งกลิ้งมาจากขอบฟ้า
ในที่สุดก็มาแล้ว มาเร็วนัก
บนหน้าของทุกคนความหม่นหมองจางๆ แล่นผ่าน
ความหวังสายเล็กๆ สายสุดท้ายดับสลายแล้ว
เดิมทีฝากความหวังว่ากำลังพลที่ค่ายใหญ่ที่มณฑลจิงตงรวมถึงรอบๆ เมืองหลวงจะขวางทหารจินไว้ได้ แต่ตอนนี้ดูท่าพวกเขาคงพ่ายแพ้แล้ว
กำลังพลของกองทัพใหญ่เหล่านั้นล้วนพ่ายแพ้แล้ว พวกเราคนที่ส่วนใหญ่ไม่ใช่ทหารเหล่านี้จะปกป้องเมืองหลวงได้หรือ?
คนในเมืองหลวงทั้งหมดล้วนกลั้นลมหายใจ คล้ายได้ยินเพียงหัวใจเต้นระรัวของตนเอง