Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 53 สู้จนตัวตายก็คือโอกาสชนะ
การถอยไปของทหารจิน แม้มีคนตระเวนจับตาอยู่ บนกำแพงก็ยังมีเสียงโห่ร้องยินดีดังขึ้น
เหล่าขุนนางไม่น้อยเอ่ยชมและให้กำลังใจทหารและประชาชนทั้งหลาย
บนกำแพงกลายเป็นเอะอะอยู่บ้าง สตรีของกองทหารชิงซานมาห้ามปรามอย่างรวดเร็วยิ่ง ขุนนางทั้งหลายกลับไม่ได้โมโหเพราะเหตุนี้ แต่อมยิ้มจากไป
แล้วก็มีสตรีทั้งหลายยกอาหารขึ้นกำแพงมา นี่เป็นของที่เศรษฐีและพ่อค้าทั้งหลายในเมืองเตรียมให้ทุกคน เนื้อหม้อใหญ่ เดิมทียังมีสุราชามใหญ่ด้วย แต่เพราะตอนนี้เป็นยามรบไม่ได้จึงไม่ส่งมา
บนกำแพงบรรยากาศครึกครื้น ในเมืองมีนักเล่านิทานกลุ่มหนึ่งเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกเมืองเมื่อครู่ให้ชาวบ้านฟัง ความโหดร้ายของทหารจินรวมถึงการตายอย่างอนาถของชาวบ้าน ทำให้ประชาชนในเมืองที่ได้ฟังสีหน้าซีดขาว
“ดังนั้นชาวจินโหดร้าย พวกเราจะต้องปกป้องเมืองไว้ให้ได้ ไม่เช่นนั้นก็จะมีจุดจบเหมือนชาวบ้านนอกเมือง”
นี่ทำให้ชาวบ้านทั้งหลายเชื่อมั่นแน่วแน่อีกครั้ง
ในเมืองบนล่างรวมใจเป็นหนึ่ง เคร่งเครียดโศกเศร้าแต่ก็เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นจะต่อสู้
“กลัวไหม?”
คุณหนูจวินกับไหวอ๋องอยู่ในกระโจมหลังหนึ่งบนกำแพงเมืองตลอด ตอนที่ชาวจินโยนกระสุนหินมาก็ไม่ได้ถอยหลบ เป็นอย่างที่ไหวอ๋องเองเอ่ยเขาจะยืนหยัดปกป้องประตูเมือง ตายก็ไม่ถอย
ได้ยินคุณหนูจวินถามเช่นนี้ ไหวอ๋องก็ส่ายศีรษะ
“ไม่กลัว” ใบหน้าน้อยซีดขาวของเขาเอ่ยขึ้นแล้วหยุดครู่หนึ่งอีกหน “เพียงแต่มองเห็นประชาชนถูกเข่นฆ่าจึงเสียใจเท่านั้น”
คุณหนูจวินเดินไปข้างหน้าหลายก้าว มองไปนอกเมืองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น นอกเมืองระเนระนาดไปหมด ศพของทหารจินมากกว่าครึ่งถูกคนของอีกฝ่ายขนไปแล้ว ส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่คือศพของประชาชนต้าโจว ใต้แสงตะวันน่าเวทนาเป็นพิเศษ
“ดังนั้นเจ้าต้องจำไว้ คนเหล่านี้เป็นผู้ที่เข่นฆ่าประชาชนต้าโจวของพวกเรา ไม่อาจก้มหัวให้พวกเขาได้เด็ดขาด” นางเอ่ย
ไหวอ๋องพยักหน้าหนักๆ แม้หวาดกลัวมากแต่ก็เดินเข้ามามองนอกประตูเมืองอย่างตั้งใจเช่นกัน
“ข้าจำไว้แล้ว ข้าจะจำไว้ตลอดไป” เขาเอ่ย
หนิงเหยียนพาขันทีหลายคนเดินมา
“องค์ชายเสวยอาหารเถอะพ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ไหวอ๋องพยักหน้าให้หนิงเหยียนนิดหนึ่ง แล้วหมุนตัวเข้าไป
หนิงเหยียนไม่ได้ออกไป แต่ยืนอยู่ตรงหน้าร่างคุณหนูจวิน
“หัวใจประชาชนนับว่ามั่นคงแล้ว คุณหนูจวินคุณงามความชอบใหญ่หลวง” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มเฝื่อนนิดหนึ่ง
ครั้งนี้นางทำให้หัวใจประชาชนมั่นคงได้ด้วยอาศัยชื่อเสียงที่สั่งสมมาเนิ่นนาน เป็นหมอเทวดา รักษาฝีดาษ ผลักดันเผยแพร่หน่อฝี นำทหารช่วยประชาชนที่แดนเหนือ
ทว่าที่นางทำสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อใช้ในเวลานี้
“ความชอบเช่นนี้ ข้าไม่อยากถือครองหรอก” นางเอ่ย
หนิงเหยียนยิ้ม
“อวิ๋นเจาติดตามฝ่าบาทอยู่” เขาหยุดชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้น พูดจบก็เสียใจอยู่บ้างอีก เวลานี้นาทีนี้เขาเอ่ยเรื่องนี้ทำอะไรเล่า?
นอกจากนี้เขาพูดว่าติดตาม ไม่ได้พูดว่าหนี
ทุกคนล้วนรู้ว่าฮ่องเต้หนีไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นติดตามฝ่าบาทย่อมคือหนีไปแล้วเช่นกัน
“มีเขาติดตามฮ่องเต้อยู่ เป็นเรื่องดี” คุณหนูจวินเอ่ย
นางเอ่ยประโยคนี้อย่างไม่ลังเลสักนิด ถึงขนาดที่เด็ดขาดฉับไวกว่าตนเองยามได้ฟังข่าวครั้งแรกอีก
หนิงเหยียนตะลึงเล็กน้อย นางเชื่อใจอวิ๋นเจายิ่ง ส่วนอวิ๋นเจาไยไม่ใช่เป็นเช่นนี้กับนางเช่นกัน
หากตอนแรก…
หนิงเหยียนเงียบงันครู่หนึ่ง
“ตอกแรกบิดาของข้าไม่รักษาสัจจะ” เขาเอ่ย
คำพูดหนึ่งประโยคที่โพล่งออกมากะทันหันนี่ทำให้คุณหนูจวินตะลึง หลังจากนั้นถึงคิดตามทันว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องในอดีตระหว่างนายท่านผู้เฒ่าหนิงกับนายท่านผู้เฒ่าจวิน
“คนชีวิตหนึ่งนี้ยากเลี่ยงมีเวลาที่บุ่มบ่าม แล้วก็ยากเลี่ยงกระทำเรื่องผิดพลาด” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น “มีคำพูดประโยคนี้ของใต้เท้าหนิง เรื่องนี้ก็นับว่าผ่านไปแล้ว”
หนิงเหยียนยิ้ม บุตรไม่เอ่ยถึงความผิดพลาดของบิดา ไม่สะดวกพูดมากกว่านี้
“คุณหนูจวินเคยพบกับชาวจินที่แดนเหนือมาก่อน” เขามองไปทางนอกเมือง เห็นชาวจินเหล่านั้นอยู่ไกลๆ คล้ายกำลังตั้งกระโจมด้านนั้น “ท่านคิดว่าโอกาสชนะเป็นอย่างไร?”
สิ้นเสียงคำของเขาก็รู้สึกว่าคุณหนูจวินมองมาหาเขา
เขาก็หันหน้ามองมาด้วย เห็นสีหน้าพิลึกของคุณหนูจวิน
“โอกาสชนะ?” คุณหนูจวินเอ่ย “ใต้เท้า ไม่มีโอกาสชนะ”
ไม่มีโอกาสชนะ?
หนิงเหยียนสีหน้าอึ้งเล็กน้อย
เขาย่อมรู้ว่าทหารจินดุร้าย ครั้งนี้ปกป้องเมืองย่อมยากเย็นยิ่งนัก แต่ข้อแรกทุกคนรวมใจเป็นหนึ่ง ข้อสองกำแพงเมืองแข็งแรงสูงหนา ข้อสามยังมีอาวุธร้ายกาจของกองทหารชิงซาน อย่างไรก็มีความหวังอยู่หน่อยกระมัง?
คิดไม่ถึงคุณหนูจวินกลับบอกตรงๆ ว่าไม่มี
“มีเรื่องหนึ่งข้าไม่เคยพูด” คุณหนูจวินมองเขา “รถยิงกระสุนมีสี่คัน แต่มีกระสุนหินเพียงสองลูกเท่านั้น”
สองลูก!
หนิงเหยียนอึ้งจากนั้นพลันหดหู่
สองลูก ทั้งสังหารทหารจินตายได้ไม่เท่าไรแล้วก็ไม่อาจข่มขวัญพวกเขาให้ถอนทหารได้ ดังนั้น….
“ดังนั้นตอนนี้ที่พวกเราทำได้ คิดได้ คาดหวังได้ ไม่ใช่โอกาสชนะ แต่เป็นยืนหยัดได้นานเท่าไร” คุณหนูจวินพูดพลางมองไปยังที่ไกล “หากยืนหยัดได้จนกระทั่งทหารกองหนุนมาถึงก็นับว่าชนะแล้ว”
นางพูดถึงตรงนี้ก็มองไปหาหนิงเหยียน
“ใต้เท้าหนิง เรื่องนี้เก็บเป็นความลับนะ”
หนิงเหยียนยิ้มขมขื่นนิดหนึ่ง เรื่องนี้เขาย่อมเก็บเป็นความลับ ตอนเขาได้ยินประโยคนี้ขายังอ่อนอย่างห้ามไม่ได้ หากให้ชาวบ้านรู้เข้า ไม่ต้องให้ทหารจินโจมตีเมือง เมืองหลวงคงพังทลายทันที
“ปกป้องเมืองก็คือสู้จนตัวตาย” คุณหนูจวินเอ่ย “มีเพียงมุ่งสู่ความตายถึงสู้จนมีโอสกาสรอดสายหนึ่งได้”
ดังนั้นต่อให้เป็นการหลอกลวงก็ต้องสงบหัวใจของประชาชนไว้ เช่นนี้ถึงยังสู้ศึกหนึ่งได้ สู้เพื่อโอกาสรอดสายหนึ่งได้
หนิงเหยียนพยักหน้า
“วันนี้ชาวจินยกทหารประชิดเมืองแล้ว นอกจากปกป้องเมืองไม่มีทางเลือกอื่น ยังดีที่เมืองหลวงของเรากำแพงเมืองสูงหนาหนัก โจมตีแตกไม่ง่าย ในเมืองเสบียงอาหารน้ำอุดมสมบูรณ์ วันนี้ในเมืองบนล่างรวมใจเป็นหนึ่ง ทุกคนล้วนเป็นทหาร ทหารชาวบ้านแสนหลายหมื่นปกป้องเมืองสิบวันครึ่งเดือนไม่ใช่ปัญหา”
คุณหนูจวินอมยิ้มพยักหน้าด้วย
“ใช่แล้ว ขอแค่ป้องกันไว้จนทหารกองหนุนมาก็ใช้ได้แล้ว” นางเอ่ย
ใช่แล้ว หากปกป้องไว้ได้จริงๆ นอกจากนี้มีทหารกองหนุนมาจริงๆ
หนิงเหยียนมองไปนอกเมือง ในดวงตาความกังวลจางๆ พาดผ่าน แต่จากนั้นก็เด็ดเดี่ยวอีกหน
ต่อให้… ก็แค่ตายหนเดียวเท่านั้น
…
…
“เตรียมรถ เตรียมรถ”
ส่วนที่เป่ยหลิวหยางเฉิงเวลานี้ ในจวนตระกูลหนิงเสียงร่ำไห้ของนายหญิงใหญ่หนิงลอยมาจากในจวน
เสียงร้องไห้นี่ไม่นานก็เก็บกลั้นไป คนบ้านข้างเคียงได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวก็ถอยหายใจเบาๆ ปิดประตูใหญ่เรียบร้อย
แม้ทหารจินยังไม่บุกมาถึงหยางเฉิง แต่หยางเฉิงเป็นที่ซึ่งเฝ้าระวังตึงเครียดที่สุดในซานซีทั้งหมด เมืองทั้งหมดปิดสนิท บ้านเรือนปิดแน่นหนา
ไม่มีใครกล้าวิ่งไปข้างนอก นอกจากคนที่มีห่วงด้านนอก ตัวอย่างเช่นนายหญิงใหญ่หนิงแห่งตระกูลหนิง
“อวิ๋นเจายังอยู่เมืองหลวงเลยนะ นี่จะทำอย่างไร” นายหญิงใหญ่หนิงถูกหญิงรับใช้ประคองกลับไปในห้องแล้ว นางนั่งลงบนเตียงร่ำไห้จนหายใจไม่ทัน
เรื่องฮ่องเต้หนีออกไปจากนั้นเมืองหลวงปิดประตูเมืองถูกขังอยู่ในเมืองหลวง อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยอดเยี่ยมอันใด ขุนนางของเมืองหลวงห้ามส่งต่อข่าวนี้แล้ว
ดังนั้นผู้คนนอกเมืองหลวงจึงไม่รู้ว่าฮ่องเต้ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ดังนั้นคนตระกูลหนิงจึงไม่รู้เช่นกันว่าหนิงอวิ๋นเจาไม่อยู่ที่เมืองหลวงแล้ว
“ทำอย่างไรได้? เจ้าไปแล้วทำอย่างไรได้อีก?” นายท่านใหญ่หนิงโมโหตวาด
“ข้าไปก็ยังตายด้วยกันกับเขาได้” นายหญิงใหญ่หนิงร่ำไห้เอ่ย
นอกจากตาย แล้วทำอย่างไรได้อีก นายท่านใหญ่หนิงหดหู่นั่งลงบนเก้าอี้
“โลกใบนี้หนอ โลกใบนี้หนอ” เขาเอ่ยพึมพำ น้ำตาหลั่งรินลงมาเงียบๆ
…
…
หยางเฉิงก็ปิดประตูเมืองสนิทเช่นกัน บนถนนแม้ยังมีคนเดินทาง แต่ไม่รุ่งเรืองครึกครื้นเหมือนวันวานสักนิด
คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลฟางจากหนึ่งแบ่งออกเป็นสาม ประตูทางเดินที่เดิมทีเคยเชื่อมถึงกันก็ถูกปิดตาย ดังนั้นเมื่อฟางอวิ๋นซิ่วข้ามมาจึงเดินมาจากประตูใหญ่
“นายน้อยอยู่ไหม?
ฟางอวิ๋นซิ่วเข้าประตูมาก็เอ่ยถามก่อน
คนรับใช้ยังไม่ทันตอบ เสียงของฟางอวี้ซิ่วก็ดังขึ้นด้านใน
“เจ้ามาหาน้องเล็กมีธุระหรือ?” นางเอ่ยถาม
เห็นนางอยู่ด้วย ฟางอวิ๋นซิ่วโล่งอกเล็กน้อย ก้าวเร็วไวเดินเข้าไป
“ท่านย่ากับท่านแม่ยังสบายดีนะ?” นางเอ่ยถาม
ฟางอวี้ซิ่วจูงมือนางเข้าไป
“ดียิ่งเชียว เพิ่งชนะข้าตั้งหนึ่งร้อยตำลึงเงิน” นางเอ่ย
ชนะ? ถ้าอย่างนั้นพวกเขากำลังเล่นไพ่กันหรือ?
ฟางอวิ๋นซิ่วตะลึง มองไปด้านในก็เห็นโต๊ะเล่นไพ่ตั้งอยู่จริงๆ นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟาง นางหยวนกำลังนั่งอยู่ด้วยกันคุยเล่นอะไรอยู่ ในมือล้วนถือไพ่ไว้
“คุณหนูใหญ่ก็มาด้วย รีบมาร่วมวงเร็วเจ้าค่ะ” นางหยวนกวักมือเอ่ยเรียก
“พวกท่านยังเล่นไพ่กันอยู่ได้อย่างไร” ฟางอวิ๋นซิ่วยิ้มเจื่อนเอ่ยขึ้น “เรื่องเมืองหลวง…”
“เรื่องเมืองหลวงแล้วอย่างไรเล่า?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยเรียบๆ “สู้ตายปกป้องเมืองก็เท่านั้น”
นั่นก็ใช่ ฟางอวิ๋นซิ่วเงียบงันครู่หนึ่ง
“น้องเล็กเล่า?” นางเอ่ยถาม ฟางเฉิงอวี่ใส่ใจคุณหนูจวินที่สุด คุณหนูจวินเวลานี้อยู่ที่เมืองหลวง ถ้าเช่นนั้นเขาคงไม่ไปเมืองหลวงหรอกกระมัง
“พี่ใหญ่ท่านหาข้าหรือ?”
เสียงของฟางเฉิงอวี่ลอยมาจากด้านนอก คนก็เลิกม่านเข้ามาตาม ผ่านปีใหม่ไปเขาสูงขึ้นอีกแล้ว แต่ยังคงทำหน้าเจ้าเล่ห์เหมือนเดิม
“พี่ใหญ่คิดว่าเจ้าไปเมืองหลวงเสียแล้ว” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น “อย่างไรจวินเจินเจินก็ถูกขังอยู่ในเมืองหลวงนี่”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้ม ไม่เห็นสีหน้ากังวลสักนิด
“ท่านย่าบอกแล้วว่าเมืองกำลังป้องกันเมืองอยู่ เมืองแตกก็แค่ตายหนหนึ่งเท่านั้น” เขาเอ่ย “ไม่มีอันใด”
ตายแล้ว ก็ไม่มีอันใดแล้วสินะ
ฟางอวิ๋นซิ่วเงียบงัน
ใช่แล้ว คนอย่างไรก็ตายเพียงหนึ่งหน คนตายไปก็ไม่มีสิ่งใดแล้ว
…
…
เมืองทั้งหมดในมณฑลจิงตงปิดสนิท
ทหารรักษาการณ์บนกำแพงเมืองมองกำลังพลที่ปราฏในสายตาอย่างเคร่งเครียด
“มีชาวจินกองหนึ่งอีกแล้ว” ทหารเฝ้ายามเอ่ยเสียงสั่น
“ชู่ อย่าส่งเสียง” คนด้านข้างรีบเอ่ยเสียงเบา
คล้ายทำเช่นนี้ทหารจินเหล่านั้นจะหาไม่พบว่าด้านนี้มีเมืองอยู่
กลัวจนเสียขวัญไปแล้ว
“ไม่ใช่กลัวจนเสียขวัญ แต่พวกเราคนเหล่านี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาสักนิด” นายทหารอีกคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบาท่าทางละอายอยู่บ้าง
บนกำแพงเมืองเงียบงันพักหนึ่ง
“ทหารจินผ่านไปแล้ว” ฉับพลันคนผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้นเสียงเบา
ผู้คนอดไม่ได้โล่งอกรีบมองไป แต่จากนั้นสีหน้าก็หดหู่อีกหน
“ไปทางเมืองหลวงอีกแล้ว” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ “เมืองหลวงไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรแล้ว”
“จะเป็นอย่างไรได้อีก เมืองหลวงด้านนั้นไม่มีทหารสักเท่าไร” นายทหารอีกคนหนึ่งก้มศีรษะเอ่ย “นอกจากนี้ยังผ่านไปหลายวันปานนี้แล้ว ทหารจินยังเสริมหนุนมาไม่ขาด…”
สายตาของผู้คนอดไม่ได้มองไปยังทิศทางของเมืองหลวง
กลัวก็แต่เมืองหลวงจะถูกยึดแล้ว