Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 54 ล้วนไร้ทางถอย
เสียงแตรสัญญาณแหลมเสียงหนึ่งลอยมาจากท้องฟ้า เสียงแตรสัญญาณยิ่งมายิ่งถี่รัวทำให้คนใจผวา
นี่ไม่เหมือนสัญญาณกลองของชาวโจว นายทหารที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองมองไป เห็นรถคันแล้วคันเล่าแล่นออกมาจากในค่ายของชาวจินไกลออกไป ด้านหลังเป็นทหารจินแห่แหน
คูเมืองถมราบนานแล้ว พื้นดินที่ขรุขระก็ถ่วงความเร็วของรถเหล่านี้ไม่ได้อีก
รถเหล่านี้เวลานี้ไม่เหมือนกับรถเกราะก่อนหน้านี้ บนนั้นนอกจากเกราะที่ปิดบัง ยังติดบันไดยาวไว้ด้วย
เทียบกับบันไดที่ถูกทหารจินแบกก่อนหน้านี้ นี่เป็นอาวุธโจมตีเมืองที่ร้ายกาจยิ่งกว่า
กลองศึกบนกำแพงเมืองกระหน่ำดังบ้าง ชาวบ้านที่เกณฑ์มาแถวแล้วแถวเล่าหิ้วถังไม้พุ่งขึ้นกำแพงเมือง
พวกเขายืนอยู่ฝั่งนอกของกำแพง ไม่ต้องก้มหน้าก็มองเห็นทหารจินที่แห่มามากมายถี่ยิบ ได้ยินเสียงโหวกเหวกให้บุกสังหารดุร้ายเช่นกัน
บางทีเห็นมามากจนชินชาแล้วจึงไม่สีหน้าตระหนกเช่นนั้นอย่างก่อนหน้านี้
ทหารจินแห่มาถึงใต้กำแพงแล้ว แต่บนกำแพงไม่มีศรยิงมาพร้อมเพรียง ประการแรกเพราะรถที่บุกโจมตีคุ้มกันแน่นหนา ทหารจินมากมายหลบอยู่ด้านหลังรถ ศรพลังสังหารไม่พอ ประการที่สองคือไม่มีศรมากมายปานนั้นแล้ว
รถที่โจมตีเมืองเข้าใกล้กำแพงเมือง เสียงตึงๆ คล้ายสะเทือนกำแพงทั้งผืน
คนบนกำแพงยังคงไม่ตระหนกลนลาน
“เท!”
จนกระทั่งคำสั่งคำหนึ่งดังขึ้น
ชาวบ้านที่เกณฑ์มาทั้งหลายเทคว่ำถังไม้ น้ำมันนานาชนิดถูกสาดลงไปตามกำแพง หลังจากนั้นก็ชาวบ้านที่เกณฑ์มากลุ่มหนึ่งก็โยนคบเพลิงที่ติดไฟลงไป
ใต้กำแพงเปลวเพลิงลุกโชนพร้อมกับเสียงกรีดร้องของทหารจิน
“กลิ้งหิน!”
ชาวบ้านที่เกณฑ์มาทั้งหลายซึ่งนิ่งรออยู่อีกด้าน ทยอยผลักท่อนไม้ก้อนหินตรงหน้าลงไป
นอกประตูเมืองตกสู่ความโกลาหล ร่ำไห้โหยหวนครวญคราง
ชาวบ้านที่เกณฑ์มาทั้งหลายเทน้ำมันเสร็จก็ไม่ได้ชื่นชมสภาพอเนจอนาถของทหารจิน พวกเขารีบร้อนลงไปตามกำแพงเมือง ชาวบ้านที่เกณฑ์มาอีกชุดหนึ่งหิ้วถังไม้กำลังวิ่งขึ้น สองแถวเฉียดไหล่สวนกันไป
ใต้กำแพงเมืองคนนับไม่ถ้วนกำลังวิ่งอยู่ น้ำมันถังใหญ่ก็ถูกผลักออกมา ชาวบ้านที่เกณฑ์มาแถวแล้วแถวเล่าจัดแถวรอคอย
หิ้วน้ำมัน ขึ้นกำแพง วิ่งลง หิ้วน้ำมันอีก ขึ้นกำแพง ไปกลับสลับวนเช่นนี้
เสียงกรีดร้องนอกกำแพงเมืองดังขึ้นตรงนั้นตรงนี้ แต่ผู้คนกลับไม่ได้ยินเสียงหัวเราะลั่นเบิกบานเช่นนั้นอย่างหลายครั้งก่อนหน้า
แม้ไม่เข้าใจสงคราม แต่วันนี้กลับอาศัยกลิ้งท่อนไม้น้ำมันร้อนโจมตีทหารจินให้ถอย ชาวบ้านทั้งหลายในใจรู้สึกว่าเรื่องราวคล้ายไม่ดีปานนั้นแล้ว
ทำไมไม่ใช้กระสุนหินที่ร้ายกาจอันนั้นของกองทหารชิงซานเล่า?
กระสุนหินเคยใช้ไปหนึ่งครั้งแล้ว ไม่เพียงทำให้ชาวบ้านทั้งหลายเปิดหูเปิดตา ยังทำให้ชาวจินกลัวจนสองวันไม่กล้าโจมตีเมือง นอกจากนี้ถอยค่ายออกไปยี่สิบลี้
แต่ครั้งนี้ชาวจินโจมตีเมืองอีกครั้ง กลับไม่ใช้กระสุนหินแล้ว
“กระสุนหินเหมาะกับระยะไกล ชาวจินมาถึงใต้กำแพงแล้ว ดังนั้นกระสุนหินจึงไม่มีประโยชน์” ชาวบ้านคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา นี่เป็นคำอธิบายที่ทหารให้มา
คล้ายมีเหตุผลยิ่ง แต่ก็มีตรงไหนไม่ถูกต้องอีก
หนึ่งวัน สองวัน การโจมตีของชาวจินยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที กระสุนหินก็ไม่ได้ใช้อีกเลย
“คงไม่เหมือนธนู ไม่พอใช้หรอกกระมัง?” ชาวบ้านอีกคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ
คำพูดประโยคนี้ออกจากปาก คนที่ได้ยินรอบด้านรู้สึกเหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งขณะที่อยู่กลางเดือนสามฤดูใบไม้ผลิอันอบอุ่นนี้ ทั้งร่างหนาวยะเยือก
นอกเมือง แม่ทัพกลุ่มหนึ่งมองทหารจินที่ไม่อาจไม่ถอยกลับมาเพราะน้ำมันร้อนกับท่อนไม้ สีหน้าโมโหอย่างยิ่ง
“เดิมทีคิดว่าสามสี่วันก็โจมตีเมืองได้แล้ว สิบกว่าวันแล้วกลับยังตีไม่ได้” แม่ทัพจินคนหนึ่งเอ่ยเสียงโมโห
“เมืองที่มีหารไม่ถึงพันคนเท่านั้นแห่งหนึ่ง ถึงกับบีบให้พวกกเรากองทัพใหญ่หลายหมื่นทำสงครามล้อมเมืองหรือ?” แม่ทัพจินอีกคนหนึ่งขมวดคิ้วเอ่ย
ในเมืองหลวงข้าวสารเสบียงน้ำดื่มไม่ขาดแคลน หากล้อมเมืองหนึ่งปีครึ่งก็ยังทนได้
ชาวบ้านที่เมืองหลวงทนได้ พวกเขากลับทนไม่ได้ ที่นี่อย่างไรก็เป็นที่ราบภาคกลาง โจมตีมาถึงที่นี่ได้อาศัยความรวดเร็ว หากสงครามยืดเยื้อเป็นเวลานาน ทหารกองหนุนทางเหนือใต้มาถึง พวกเขาก็ไม่มีโอกาสชนะแล้ว
“เดิมทีคิดว่าชาวบ้านที่เมืองหลวงจมอยูในความมั่งคั่งนมนาน ไร้ความกล้า คิดไม่ถึงกลับไม่ถูกโจมตีทีหนึ่งทลาย” มีแม่ทัพจินสีหน้าเคร่งถอนหายใจ “ยืนหยัดนานปานนี้ หัวใจคนยังไม่สั่นคลอน ดูท่ากำลังใจมั่นคงแล้ว”
คำนี้ทำให้แม่ทัพจินคนอื่นยิ่งร้อนรน ชั่วขณะทะเลาะกันวุ่นวาย อวี้ฉือไห่ที่เงียบงันไม่พูดมาตลอดกลับฉับพลันหัวเราะลั่นขึ้นมา
“เหมือนที่ข้าคิดไว้จริงๆ” เขาเอ่ย
เหมือนที่เขาคิดอะไร? โจมตีเมืองหลวงไม่ได้หรือ?
“ใต้เท้าอวี้ หากครั้งนี้โจมตีเมืองหลวงไม่ได้ ฮ่องต้คงไม่ละเว้นพวกเราแล้ว” แม่ทัพจินคนหนึ่งเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
พูดให้ชัดเจนก็คือไม่ละเว้นเขาอวี้ฉือไห่
เพราะฟังข้อเสนอของเขา ฮ่องเต้ถึงยกกำลังทั้งแคว้น ใช้เลือดเนื้อของทหารกล้านับไม่ถ้วนถมเติมรบกับชาวโจวศึกหนึ่ง หลังรบชนะจะได้ความมั่งคั่งนับไม่ถ้วนจากชาวโจวที่นี่ทำให้แคว้นต้าจินแข็งแกร่ง แต่หากศึกนี้พ่ายแพ้ ต้าจินของพวกเขาย่อมสูญกำลังจนกลวงเปล่า กำลังทั้งแคว้นเสียหายหนัก
พวกคนเถื่อนพวกนี้ดูแล้วดุร้ายความจริงขี้ขลาด อวี้ฉือไห่ไม่อับอายโมโหเพราะคำพูดของเขา สีหน้าเรียบเฉย
“พวกเขาไม่มีกระสุนหินชนิดนี้ ในเมืองก็ไม่มีกองทหารชิงซาน” เขาเอ่ยพลางยื่นมือชี้เมือง
แม่ทัพทั้งหลายที่นั่นตะลึงนิดหนึ่ง
เพราะกระสุนหินชนิดนั้นพวกเขาจึงเกือบทิ้งการโจมตีเมืองหนีแล้ว เป็นอวี้ฉือไห่ยืนยันจะลองดูต่อ ตอนนี้ดูท่าลองมาสองครั้งนี้ ไม่มีกระสุนหินยิงอีกแล้วจริงๆ
อวี่ฉือไห่ก้าวเข้ามาข้างหน้าก้าวหนึ่ง สีหน้าเยาะหยัน
“ที่แท้ก็แค่วางท่าข่มขู่” เขาเอ่ย “กำลังใจนี่ก็คงไม่พ้นอาศัยกระสุนหินสร้างขึ้นมา ทหารกล้าทั้งหลาย อย่าถูกพวกเขาหลอก”
ที่แท้ถูกหลอกหรือ?
แม่ทัพจินทั้งหลายพากันโกรธด่าชาวใต้เจ้าเล่ห์จริงๆ
“ข้างนอกไม่มีทหารกองหนุน ข้างในไร้กำลังปกป้อง ข้าจะดูซิว่ากำลังใจของพวกเขาจะยังคงอยู่ได้นานเท่าไร” อวี้ฉือไห่ยิ้มหยันเอ่ย “ทหารกล้าทั้งหลาย นับจากตอนนี้ผลัดรอบโจมตีเมือง วันคืนไม่หยุด ให้พวกเรากลายเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันตื่นของชาวโจวเหล่านี้เถิด”
…
…
พร้อมกับเสียงหวีดหวิวเสียดแหลม ศรคมที่พาน้ำมันกับเปลวเพลิงก็บินมาจากใต้กำแพงร่วงลงบนกำแพงเมือง หลังจากนั้นธนูเพลิงพลันประหนึ่งสายฝนตามติดมา แม้ปูผ้าห่มเปียกไว้ บนกำแพงก็ยังมีแสงเปลวเพลิงแถบแล้วแถบเล่าลุกขึ้นมา
หลังจากนั้นยังมีเสียงครวญครางระงม ชายหนุ่มชาวบ้านมากมายหลบไม่ทันถูกห่าศรยิงบาดเจ็บ บนกำแพงเมืองสับสนอลหม่าน
แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวกว่า มองลงไปจากนอกกำแพง บนกำแพงบันไดสูงอันแล้วอันเล่าที่พาดอยู่ ทหารจินมากมายยั้วเยี้ยะกำลังปีนขึ้นมา
และที่จุดหนึ่ง นายทหารคนหนึ่งเห็นมือข้างหนึ่งคว้ากำแพง หลังจากนั้นศีรษะคนศีรษะหนึ่งก็โผล่ขึ้นมา หมวกเกราะปลายแหลม ดวงหน้าดุร้าย ต่างจากชาวโจวอย่างมาก
ทหารจิน!
ทหารจิน!
ที่แท้ชาวจินหน้าตาเช่นนี้
นายทหารคนนั้นในสมองความคิดนี้แล่นผ่านไปอย่างไม่มีสาเหตุ คนทั้งร่างคล้ายกลวงเปล่า กำอาวุธชะงักนิ่ง
เสียงกรีดร้องข้างหูปลุกเขาให้ตื่น หลังจากนั้นก็เห็นนายทหารสองคนดันราวกั้นชนทหารจินที่เพิ่งปีนขึ้นมาคนนั้น
หนามแหลมแทงทะลุทหารจิน นายทหารสองคนออกแรงอีกหนก็พาทั้งคนทั้งราวกั้นดันลงไปด้วยกัน
นี่ทำให้ทหารจินเป็นพรวนด้านหลังร่วงลงไปจากบันไดยาวด้วย
“สังหาร”
เสียงชราตะโกนดังขึ้น
นายทหารห้าคนสีหน้าซีดขาวกำหอกยาวแน่น แทงเข้าใส่ทหารจินที่โผล่ขึ้นมาต่อเนื่อง
พวกเขาคล้ายลืมเลือนความหวาดกลัวไปแล้ว เพียงเหวี่ยงหอกยาวประหนึ่งเครื่องจักร
บนกำแพงทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นเสียงฆ่าฟัน การเข่นฆ่านี้ไม่นานนัก ไม่นานทหหารจินที่ปีนขึ้นมาก็ถูกสังหารเกลี้ยง ชายหนุ่มชาวบ้านที่จัดกลุ่มแห่มาอีกครั้งเทน้ำมันไฟและราวกั้นลงไป บันไดหักสะบั้น ทหารจินหล่นร่วง ใต้กำแพงเมืองแสงเปลวเพลิงก้อนหินท่อนไม้ไม่ขาด
ต้านการโจมตีระลอกหนึ่งให้ถอยได้อีกหน แต่บนล่างกำแพงเมืองไม่มีความยินดีสักนิด ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นศพคนตายและเลือดสด ไฟยังคงลุกไหม้รุนแรง บรรยากาศเศร้าสลดหนักหน่วงยิ่งเข้มข้น
ใต้กำแพงชาวบ้านที่สีหน้าหมองหม่นคนแล้วคนเล่าเบียดกันอยู่ใต้ชายคาบ้านริมถนน เพื่อสะดวกหลบการโจมตีด้วยศรของชาวจิน เวลานี้ทหารบาดเจ็บชาวบ้านบาดเจ็บถูกยกลงมาจากบนกำแพง สภาพโหดร้ายน่าหวาดหวั่น
“สองวันสองคืนไม่หยุดแล้ว…” มีคนเอ่ยพึมพำ “พวกเรากระทั่งลูกศรก็ไม่มีแล้ว ต่อไปได้แต่อาศัยคนสู้แลกเลือดเนื้อแล้ว”
“ครั้งนี้ทหารจินปีนขึ้นกำแพงเมืองได้แล้ว ครั้งต่อไปคงมากขึ้นอีก” มีคนเอ่ยเสียงเบาด้วย
ไม่มีใครคาดหวังกับกระสุนหินแล้ว
“ขุนนางล้วนหลอกลวง” ชาวบ้านคนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น เงยศีรษะขึ้นอย่างโกรธแค้น
บนกำแพงเงาร่างหนึ่งเข้าสู่สายตาเขา
นั่นเป็นเด็กน้อยตัวจ้อยคนหนึ่ง เขายืนอยู่กลางประตูเมือง ยืนเหยียดตรงเฉกเช่นด้ามธงข้างกาย
แววตาโกรธเกรี้ยวของชาวบ้านสลายไป
ต่อให้สถานการณ์เลวร้ายอันตรายเช่นนี้แล้ว ไหวอ๋องก็ยังคงเฝ้าอยู่บนกำแพงเมือง
“ตอนนั้นหนีออกไปก็ตาย ตอนนี้เฝ้าอยู่ที่นี่ยังมีชีวิตเพิ่มได้อยู่บ้างนะ” ผู้เฒ่าคนหนึ่งถอนหายใจเอ่ย
แต่สุดท้ายก็ยังคงตาย
รอบด้านเงียบงันไปชั่วครู๋
“นี่ พวกเจ้าเห็นชาวจินพูดว่า…” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นเบาๆ “หากยอมแพ้ล่ะก็ ไม่ตายก็ได้…”
หลายวันนี้ห่าศรของชาวจินที่ร่วงเข้ามาในเมืองมีผ้าขาวเขียนอักษรจำนวนหนึ่งไว้
เนื้อหาคือกล่อมให้ยอมแพ้ ขอเพียงยอมแพ้เปิดประตูเมือง ชาวจินรับประกันว่าจะไม่ทำร้ายชาวบ้าน
แถบผ้าเช่นนี้ถูกคนของทางการเก็บรวมเผาทิ้งอย่างรวดเร็วยิ่ง แต่ก็ยังมีบางส่วนถูกชาวบ้านทั้งหลายเก็บแล้วบอกต่อไป
“เหลวไหลทั้งเพ! คำที่ชาวจินพูดเชื่อได้หรือ?” ผู้เฒ่าคนหนึ่งคิ้วตั้งตวาด มองคนผู้นั้นที่เอ่ยวาจา “หากคำพูดของชาวจินเชื่อได้ ตอนนี้พวกเราจะมาถึงตรงนี้ได้อย่างไรเล่า?”
ชาวจินเดิมทีเจรจาสงบศึกแล้ว ผลปรากฏว่าตอนนี้ก็บุกมาอีกแล้ว
ชาวบ้านรอบด้านเคร่งขรึมไป
“ดังนั้นอย่าเชื่อคำพูดของพวกเขา” ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงดัง “พวกเราต้องยืนหยัดปกป้อง เมืองไม่แตก พวกเราก็มีหวังรอด ชาวจินล้อมพวกเราได้ไม่นานเท่าไรหรอก”
ชาวบ้านทั้งหลายรอบด้านพากันพยักหน้าขานรับ แต่กำลังใจอย่างไรก็สู้ก่อนหน้านี้ไม่ได้
บรรยากาศทั้งเมืองหลวงเวลานี้ล้วนตกอยู่ในความหดหู่ หนิงเหยียนที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองถอนหายใจแผ่วเบาทีหนึ่ง
“ใต้เท้าหนิง”
เสียงของคุณหนูจวินดังขึ้นด้านหลัง
หนิงเหยียนหันหน้ากลับมา เห็นคุณหนูจวินเดินเข้ามา
“ต้องแบ่งกำลังคนเฝ้าประตูเมืองให้ดีแล้ว” นางเอ่ยเสียงเคร่ง
เวลานี้หัวใจผู้คนมั่นคงไม่อยู่แล้ว หากมีคนถูกล่อลวงจนเปิดประตูเมือง ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่พวกเขาลงแรงมาก่อนหน้านี้ล้วนเสียเปล่า
หนิงเหยียนพยักหน้า
“จัดการเรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
“ข้าคาดว่าคืนนี้ชาวจินคงจะโจมตีอีก” คุณหนูจวินเอ่ย
หนิงเหยียนพยักหน้า
“พวกเขาจะเอาให้ได้” เขาเอ่ย “ต้องฮึดรวดเดียว”
“พวกเราไร้ทางถอย ก็ต้องเอาให้อยู่เช่นกัน” คุณหนูจวินเอ่ย “ขอเพียงพวกเขาบุกเมืองแห่งนี้ไม่ได้ พวกเราก็นับว่าชนะ”
ชาวบ้านแสนหลายหมื่นคน ต่อให้ต้องแลกเลือดเนื้อเอาศพปูก็ต้องขวางไม่ให้ชาวจินตีเมืองแตก
หนิงเหยียนเข้าใจความหมายของนาง
“ไหวอ๋อง ยังดีอยู่ไหม?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินหันหน้ากลับมามองไปยังกระโจม เสียนอ๋องก็มาแล้ว กำลังคุยกับไหวอ๋องอยู่
“หากชาวจินตีเมืองแตก เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” เสียนอ๋องตบพุงเอ่ยถาม
สีหน้าเขาผ่อนคลายสบายๆ คล้ายสิ่งที่พูดคือเรื่องเล็กน้อยอย่างอากาศเป็นอย่างไร
ไหวอ๋องสีหน้าจริงจัง
“ข้าจะฆ่าตัวตาย” เขาเอ่ย “ไม่มีทางตกไปอยู่ในมือชาวจินเด็ดขาด”
เสียนอ๋องมองเขาแล้วส่ายศีรษะ
ผิดหรือ? ไหวอ๋องไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“ไม่ใช่ฆ่าตัวตาย” เสียนอ๋องเอ่ย “น่าจะกระโดดลงจากกำแพงเมือง ร่วงทับตายได้คนหนึ่งก็คนหนึ่ง”
ไหวอ๋องพลันเข้าใจ พยักหน้าจริงจัง
“พระปิตุลากล่าวถูกต้อง” เขาเอ่ย
เสียนอ๋องตบพุงท่าทางได้ใจอยู่บ้าง
“แต่รูปร่างนี่ของเจ้าคิดว่าคงทับตายได้คนหนึ่งเท่านั้น” เขาเอ่ย “ข้าต้องทับตายได้สองคนแน่นอน”
ได้ยินถึงตรงนี้คุณหนูจวินก็อดไม่ได้หัวราะ หนิงเหยียนก็หัวเราะด้วย
รอยยิ้มเพิ่งผุดขึ้นมาพลันได้ยินเสียงสั่นสะเทือนลอยมาจากที่ไหน สีหน้าของคนทั้งสองเปลี่ยนไปเล็กน้อย ผู้คนบนกำแพงเมืองก็สีหน้าซีดขาวกันหมด
ชาวจินจะโจมตีอีกแล้ว นี่กระทั่งโอกาสหอบหายใจก็ไม่ให้
ฟ้ามืดแล้ว กระทั่งโจมตีตอนกลางคืนข้อห้ามเช่นนี้ชาวจินก็ไม่สนใจ เห็นได้ถึงจิตใจแน่วแน่ของพวกเขา
“รับศึก” หนิงเหยียนเอ่ย หมุนตัวก้าวยาวเดินออกไป
…
…
ในเมืองกลองศึกดังหนักหน่วง บนถนนเสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนวุ่นวาย
เฉินชียัดขนมแป้งทอดชิ้นหนึ่งในมือสองสามคำเข้าปาก ด้านข้างชามใบหนึ่งส่งมา
เขาหันหน้าไปเห็นฟางจิ่นซิ่ว
“เจ้ามาได้อย่างไร?”
เขาเอ่ยถามอย่างมึนงง รับชามไปดื่มคำเดียวหมด กลืนแป้งทอดลงไปแล้วมองฟางจิ่นซิ่วอีกหน “ดังนั้น เจ้าไม่สู้ไม่มาเมืองหลวง”
เดิมทีร้านแลกเงินของตระกูลฟางที่หยางเฉิงยังแบ่งไม่เสร็จ ตามหลักแล้วไม่ควรมา
ฟางจิ่นซิ่วมองเขา
“โชคดีที่ข้ามา ไม่เช่นนั้นคงต้องคิดถึงความเป็นความตายของพวกเจ้าทุกวัน” นางเอ่ย “ตายด้วยกันประหยัดปัญหากว่า”
เฉินชีหัวเราะหึหึแล้ว
“เจ้าอยากตายด้วยกันกับข้าหรือ” เขาเอ่ยขึ้น
ฟางจิ่นซิ่วสีหน้านิ่งสนิท
“ข้าหมายถึงจวินเจินเจิน ไม่ใช่เจ้า” นางเอ่ยตอบ
เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว แต่ไม่เอ่ยอันใดอีก ยัดชามให้นาง
“คนบนกำแพงเมืองไม่พอแล้ว ตอนนี้เริ่มต้องการชายฉกรรจ์มากกว่าเดิมขึ้นกำแพงเมือง” เขาเอ่ยแล้วหยุดชั่วครู่ “ข้าจะไปแล้ว”
พูดจบก็หันศีรษะก้าวยาวจากไป กลืนเข้าไปกับฝูงชนที่วิ่งอยู่บนถนนอย่างรวดเร็วยิ่ง ประหนึ่งคลื่นน้ำโถมซัดมุ่งไปยังกำแพงเมืองอย่างแน่วแน่ไม่หันหลังกลับ
คุณหนูจวินยังยืนอยู่บนกำแพงเมือง เห็นทหารจินที่ถาโถมมาอีกหนได้อย่างชัดเจน
ปกป้องเมืองไว้ได้หรือไม่ ก็ดูคืนนี้แล้ว
“คุณหนูจวิน”
เสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลัง
คุณหนูจวินหันศีรษะกลับมา เห็นคนที่มาก็ตกตะลึงอยู่บ้าง
“บัณฑิตกู้” นางเอ่ยเรียก
หลังร่างคนสี่ห้าคนยืนอยู่ ในนั้นคนที่เป็นหัวหน้าก็คืออาจารย์ของจิ่วหรง บัณฑิตกู้
หลังจิ่วหรงถูกเสียนอ๋องรับมาก็ลืมเขาไปเลย
แต่ลู่อวิ๋นฉีไปแล้ว วังไหวอ๋องก็ไม่มีคนเฝ้า บัณฑิตกู้เดินออกมาได้ตลอดเวลาก็ปกติ
จากท่าทางต่างๆ ของจิ่วหรง คุณหนูจวินจึงไม่ได้เป็นอริกับบัณฑิตกู้คนนี้มากนัก ตรงกันข้ามกลับขอบคุณอยู่บ้าง
จิ่วหรงถูกสั่งสอนออกมาดีเช่นนี้วันนี้ นางย่อมไม่คิดว่านี่เป็นสิ่งที่จิ่วหรงเป็นมาแต่กำเนิด
“ท่านบัณฑิตมาที่นี่ได้อย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
บัณฑิตกู้เดินเข้ามาใกล้หลายก้าว สีหน้าอ่อนโยน
“ก่อนไปใต้เท้าลู่จัดการบางอย่างไว้” เขาเอ่ยขึ้น
ลู่อวิ๋นฉี?
คุณหนูจวินตะลึง สีหน้าระแวง