Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 56 ทำคนกลัวแทบตาย
เมืองแตกฮ่องเต้จะไม่กลับมาแล้ว?
สถานการณ์อะไร ฮ่องเต้คนหนึ่งถึงจะไม่กลับมาเมืองหลวงของตนเอง?
ถูกขัง หรือไม่ก็ตาย
รวมกับประโยคนั้นข้างท้ายที่ว่าตระกูลฉู่ต้องเหลือสายเลือดไว้
ความหมายของคำนี้คุณหนูจวินเข้าใจทันที
สีหน้าของนางไม่อยากเชื่อ
หรือลู่อวิ๋นฉีเขาจะ…
“ไม่ผิด ใต้เท้าลู่จะสังหารฮ่องเต้แล้วโยนใส่หัวชาวจิน ไหวอ๋องในฐานะอดีตว่าที่องครัชทายาทแล้วยังมีชื่อเสียงวันนี้ ขึ้นครองบัลลังค์ก็ถูกต้องสมควร” บัณฑิตกู้เอ่ยเสียงเบา
ลู่อวิ๋นฉีสังหารฮ่องเต้?
เขาช่าง…เหมือนสุนัขบ้าไปแล้ว
คุณหนูจวินความคิดแล่นผ่าน ข้างหูเสียงหวีดหวิวก็ลอยมา จากนั้นแรงสั่นสะเทือนเปรี๊ยะๆ ก็ดังขึ้นข้างกาย กระสุนหินร่วงประหนึ่งฝน บนกำแพงฉับพลันตกสู่ความวุ่นวาย
คุณหนูจวินก้มตัวพิงกำแพงหลบอย่างคุ้นชิน ปลายหางตามองเห็นไหวอ๋องและเสียนอ๋องด้านนั้นก็ถอยหลบด้วย นอกจากองครักษ์ที่พวกเขามีแต่เดิม คนเหล่านั้นด้านหลังร่างบัณฑิตกู้เมื่อครู่ก็ล้อมเข้าไปแล้ว
คุณหนูจวินจะตามเข้าไปทันที บัณฑิตกู้ขวางนางไว้
“คุณหนูจวินรีบไปเถอะ” เขาเอ่ยบอก
“เวลานี้หนีได้อย่างไรเล่า?” คุณหนูจวินเอ่ย “เวลานี้หนี มีสิ่งใดแตกต่างกับฮ่องเต้องค์นั้น?”
“คุณหนูจวิน ย่อมไม่เหมือนกัน” บัณฑิตกู้รีบเอ่ย “ท่านอย่าใช้อารมณ์กระทำการ ตอนนี้จากไปจะไม่มีใครพบ แล้วก็จะไม่มีใครกล่าวโทษ องค์ชายทำได้ถึงเช่นนี้เพียงพอแล้ว”
คุณหนูจวินมองเขา
สำหรับเขาแล้ว จิ่วหรงออกมาปกป้องเมืองเพียงเพื่อชื่อเสียงหรือ? เล่นละครเพียงเพื่อเป็นฮ่องเต้หรือ?
“บัณฑิตกู้ ข้าคิดว่าท่านกับท่านหมอจางอาจารย์ข้า…เป็นคนแบบเดียวกัน” นางเอ่ยขึ้น
บัณฑิตกู้ก็มองนางเช่นกัน
“คุณหนูจวิน ท่านคิดว่าหากเป็นท่านหมอจาง ตอนนี้เขาจะอยู่ที่นี่หรือ?” เขาผายมือออกเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินสะอึกแล้ว
อาจารย์…ตามนิสัยของเขา ต้องหนีไปนานแล้วแน่นอน
“ข้าจะบอกว่าเขาเปิดเผยดั่งฟ้าใสจันทร์กระจ่างเช่นนั้น…” นางเอ่ยบอก
“โธ่ คุณหนูจวินของข้า การผลัดเปลี่ยนอำนาจจักรพรรดิไหนเลยจะดั่งฟ้าใสจันทร์กระจ่าง” บัณฑิตกู้ขัดนางอีกครั้ง แล้วจับแขนของนาง “รีบไปเถอะ ทำถึงเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไม่ทันกาล องค์หญิงจิ่วหลีด้านนั้นก็จัดการเรียบร้อยแล้ว”
คุณหนูจวินพลิกมือจับแขนของเขาไว้
“มีเรื่องหนึ่งท่านคิดผิด พวกเราทำมากปานนี้ไม่ใช่เพื่ออำนาจจักรพรรดิ” นางเอ่ย
“มีเรื่องหนึ่งท่านก็คิดผิด ข้าทำเช่นนี้ ก็ไม่ใช่ให้พวกท่านทำเพื่ออำนาจจักรพรรดิ” บัณฑิตกู้เอ่ย “ไม่กลัวตายก็ไม่ใช่จะต้องตายให้ได้ ตายมีความหมาย อยู่มีความหมายมากยิ่งกว่า”
คุณหนูจวินมองเขา ลูกศรพาน้ำมันและเปลวเพลิงวาดผ่านท้องนภา ในราตรีแสงสว่างความมืดสอดประสานกัน
“ท่านพูดถูก แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ลู่อวิ๋นฉีเขาจะทำอะไรเป็นเรื่องของเขาเอง อย่ายัดเหยียดใส่ตัวไหวอ๋อง” นางเอ่ยตอบ
สังหารเจ้าแผ่นดินก็ดี สนับสนุนฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็ดี นั่นล้วนเป็นความปรารถนาของเขาลู่อวิ๋นฉีเองคนเดียว
“ไหวอ๋องไม่ต้องการความหมายเช่นนี้” นางเอ่ยต่อ เก็บดาบยาวที่หล่นร่วงอยู่บนพื้นเล่มหนึ่งแล้วลุกขึ้นยืน “นั่นก็แค่จากกรงหนึ่งกระโดดไปยังอีกกรงหนึ่ง แทนที่จะมีชีวิตเช่นนั้น ข้ายินดีให้เขาตายไปเช่นนี้”
พูดถึงตรงนี้ก็หยุดนิดหนึ่ง
“บัณฑิตกู้ท่านเองไปเถอะ จิ่วหลีก็ไม่ต้องสน นางก็ไม่มีทางไปเช่นกัน”
พูดจบพลันหมุนตัววิ่งไปหาเสียนอ๋องด้านนั้น
บัณฑิตกู้ส่ายศีรษะอยู่ข้างหลัง
“ดูท่าจะไม่ได้สอนให้ดีนะ ไม่เหมือนเขาสักนิด” เขาพึมพำประโยคหนึ่งแล้วจนปัญญา “แต่ท่านพูดกับข้าก็ไร้ประโยชน์ ข้าเพียงบอกต่อนิดหนึ่งเท่านั้น คนของลู่อวิ๋นฉีไม่ฟังคำพูดของข้าหรอกนะ”
สิ้นเสียงคำพูดของเขาพลันมีศรดอกหนึ่งยิงลงบนหมวกเขา ศรติดไฟทำให้หมวกของเขาติดไฟทันที
บัณฑิตกู้โยนหมวกทิ้ง
“ทำคนกลัวแทบตาย” เขาเอ่ยขึ้น แต่สีหน้าไม่มีสีหน้าหวาดกลัวสักเท่าไร
บนกำแพงยุ่งวุ่นวาย น้ำมันร้อนท่อนไม้ไม่หยุดประหนึ่งฝนแต่ขวางก้าวเท้าของทหารจินไม่อยู่ เทียบกับตอนกลางวันครั้งนี้ทหารจินมากยิ่งกว่าปีนขึ้นมายังกำแพงเมือง
ในเมือง ชาวบ้านที่ถูกเกณฑ์และชายฉกรรจ์นับไม่ถ้วนแห่มายังกำแพงเมืองพร้อมความหวาดกลัวและหัวใจเด็ดเดี่ยว ในมือพวกเขากำอาวุธสารพัดอย่างไว้ มีดาบยาวหอกยาวที่ทหารมอบให้ แล้วก็มีอุปกรณ์เพาะปลูกสารพัด กระทั่งยังมีคนที่ถือเพียงไม้กระบองท่อนหนึ่งไม้กวาดด้ามหนึ่ง
ครั้งนี้จะสู้ตายจริงๆ แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจให้ทหารจินยึดกำแพงเมืองได้
นอกกำแพงเสียงกรีดร้องของทหารจินใต้น้ำมันร้อนและไม้กับหินดังขึ้นไม่ขาดหู ทหารจินที่ร่วงหล่นจากบนบันไดประหนึ่งฝนโปรยปราย แต่ไม่มีทหารจินถอยหลัง เพราะด้านหลังของพวกเขามีทหารจินแถวแล้วแถวเล่าชูคันศรอยู่ เมื่อพบคนถอยหลังปุบก็ยิงสังหารทันที
ครั้งนี้คือสู้ตายเช่นกัน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องโจมตีขึ้นกำแพงเมือง
แสงอัสดงโอบล้อมผืนดิน ทั้งเมืองหลวงดุจลุกไหม้ขึ้นมา
…
…
“ไม่รู้ว่าเมืองหลวงเป็นอย่างไรแล้ว”
ในเมืองแห่งหนึ่ง นายทหารที่นั่งเฝ้าอยู่คนหนึ่งพลันเอ่ยเสียงเบา
นายทหารอีกคนหนึ่งใช้ข้อศอกถองเขานิดหนึ่ง บุ้ยปากไปทางหนึ่ง
นายทหารคนนั้นมองไป เห็นทหารผู้น้อยคนหนึ่งกอดหอกยาวเช็ดน้ำตาอยู่
“ทั้งครอบครัวล้วนอยู่ที่เมืองหลวงแน่ะ” นายทหารคนนั้นอธิบายเสียงเบา “ยี่สิบกว่าวันแล้ว กลัวว่าคงรักษาไว้ไม่ได้แล้ว…”
นายทหารคนก่อนหน้านี้ถอนหายใจ
“เบื้องบน ยังไม่บอกให้ไปลองช่วยดูหรือ?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา
“ไปอย่างไรเล่า หลายวันนี้ ทหารจินผ่านไปตั้งเท่าไร” นายทหารคนนั้นสีหน้าซีดขาว “พวกเราที่นี่ก็คนแค่นี้ ไปแล้วไม่ใช่ไปตายเปล่าหรือ?”
นั่นก็ใช่ นายทหารก้มศีรษะ ฉับพลันใต้เท้าแรงสั่นสะเทือนวูบหนึ่ง
แรงสั่นสะเทือนนี่พวกเขาคุ้นเคยนักแล้ว ฉับพลันคนบนกำแพงเมืองล้วนเคร่งเครียดขึ้นมา กำหอกยาวแน่นมองไปข้างนอก เห็นมีกำลังพลถาโถมมาที่ขอบฟ้าราตรีมืดมิด
แม้เห็นหน้าตาและจำนวนคนไม่ชัด แต่บรรยากาศของการเคลื่อนทัพเป็นระเบียบนั่นก็น่าตะลึง
“มีทหารจินมาอีกแล้ว” นายทหารคนหนึ่งเอ่ยเสียงสั่น “นอกจากนี้ดูแล้วดุร้ายกว่าพวกนั้นก่อนหน้านี้อีก”
“คราวนี้เมืองหลวงจบสิ้นจริงๆ แล้ว” นายทหารอีกคนหนึ่งพึมพำ
เมืองหลวงจบสิ้นแล้ว ต้าโจวแห่งนี้ก็จะจบสิ้นแล้วด้วยใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นพวกเขาหลังจากนี้ทำอย่างไร?
นายทหารทั้งหลายบนกำแพงสีหน้าหลงทางและสิ้นหวัง
ฉับพลันก็มีคนตะโกน
“มีทหารจินมาแล้ว”
คำนี้ทำให้บนกำแพงโกลาหลพักหนึ่ง ก่อนหน้านี้ทหารจินข้ามแดนมาล้วนวิ่งตรงไปเมืองหลวง ไม่ก่อกวนพวกเขา หรือเมืองหลวงเป็นของในกระเป๋าแล้ว ดังนั้นทหารจินจะลงมือกับพวกเขาแล้วหรือ?
เสียงเกราะหวาดหวั่นลนลานดังขึ้น แต่ครู่ต่อมาก็มีนายหทารตะโกนขึ้นมาอีก
“เหมือนไม่ใช่ทหารจิน!” เขาตะโกน
นายทหารที่ชูเกราะตะลึงชั่วครู่มองไป ท่ามกลางราตรีทหารม้าเจ็ดแปดคนวิ่งมา พวกเขาหมวกเกราะวาววับ ชุดเกราะเต็มยศ หลังร่างยังมีธงสะพายหลังอีก
ชุดเกราะนี่ ธงสะพายพลังนี่ ก็คือทหารโจวที่คุ้นเคยไม่มีใดเกิน
นายทหารทั้งหลายบนกำแพงหวิดน้ำตาคลอเบ้า หลายวันปานนี้ ในที่สุดก็เห็นสหายร่วมชาติแล้ว
ไม่รู้นี่เป็นกองทหารประจำการที่ไหนของมณฑลจิงตง ถึงกับกล้าออกจากเมือง
“รับบัญชาชิงเหอปั๋ว คำสั่งเคลื่อนทหาร ตามพวกเราไปช่วยเมืองหลวง”
กำลังคนใต้กำแพงเมืองขี่เข้ามาใกล้ก็ตะโกนเสียงดัง ในเวลาเดียวกันคันศรในมือพลันชูขึ้นยิงมาบนกำแพงเมือง
การเคลื่อนไหวกะทันหันนี่ทำนายทหารบนกำแพงตกใจสะดุ้งโหยง ขนลูกศรพาของสิ่งหนึ่งยิงลงบนหลักไม้
แม่ทัพทั้งหลายใต้ประตูเมืองได้ยินเสียงเกราะวิ่งมาแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” พวกเขาสีหน้ากังวลเอ่ยถาม
นายทหารทั้งหลายรีบเด็ดคำสั่งลงมาจากนธนู บอกกล่าวถ้อยคำของกำลังคนใต้ประตูเมืองรอบหนึ่ง
เคลื่อนทหาร?
ช่วยเมืองหลวง?
แม่ทัพทั้งหลายสีหน้าตกตะลึง
พลิกอ่านคำสั่งในมือ เป็นคำสั่งของชิงเหอปั๋วจริงๆ
ได้รับคำสั่งย่อมต้องเชื่อฟังเคลื่อนพล ผู้ที่ฝ่าฝืนต้องตัดศีรษะ
แต่ตอนนี้ใครยังสนใจตัดหัวไม่ตัดหัว
“พวกเจ้าเข้ามาคุยเถอะ” แม่ทัพทั้งหลายสบตากันทีหนึ่ง เดินมาถึงข้างประตูเมืองมองไปด้านล่างพลางเอ่ยเสียงดัง
แต่กำลังพลใต้ประตูเมืองหันหัวม้าไปแล้ว ถึงกับจะไปทันที เห็นชัดว่าตลอดทางทำเรื่องเช่นนี้มามากครั้งนักแล้ว
“พวกเจ้าคนของที่ไหน? กำลังพลเท่าไร?” แม่ทัพทั้งหลายรีบเอ่ยถาม
ได้ยินคำนี้ คนผู้หนึ่งใต้ประตูเมืองหันศีรษะกลับมา ชี้ธงที่สะพายอยู่หลังร่าง
“พวกเรา กองทหารชิงซาน” เขาเอ่ยเสียงดัง