Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 57 ดั่งกำไว้ในมือ
กองทหารชิงซาน
กองทหารชิงซาน!
ทหารทั้งหลายบนประตูเมืองสีหน้าตกตะลึง มองกำลังพลกลุ่มนี้ขี่เร็วรี่ไปยังทิศทางหนึ่ง ด้านนั้นกองทัพกำลังถาโถมไปด้านหน้า ด้านหน้าสุดทหารม้าสีแดงล้วนกำลังขี่เร็วรี่ ด้านหลังถัดมามีรถและอาชาส่งเสียงดังอึกทึกไม่ขาดสาย คล้ายมองไปไม่มีสุดปลาย ท่ามกลางราตรีมืดมิดประหนึ่งสัตว์ยักษ์ข้ามเขตแดน
เป็นกองทหารชิงซาน!
“เป็นกองทหารชิงซาน!”
“ทหารกองหนุนจากแดนเหนือมาแล้ว!”
“กองทหารชิงซานของแดนเหนือ!”
“กองทหารชิงซานมาแล้ว!”
บนกำแพงนายทหารทั้งหลายอดกลั้นไม่อยู่ตะโกนบ้าคลั่ง ยิ่งมีนายทหารคนหนึ่งเปล่งเสียงร้องไห้โฮ
“เมืองหลวงรอดแล้ว เมืองหลวงรอดแล้ว”
เมืองหลวงรอดแล้วหรือ?
แม่ทัพทั้งหลายสีหน้าตื่นเต้นแต่ก็สับสน
กองทหารชิงซานรบกับชาวจิน พวกเขาเชื่อมั่นอย่างยิ่ง แต่นานปานนี้ไม่รู้เมืองหลวงยังรักษาไว้ได้หรือไม่
“ใต้เท้า ใต้เท้า” มีรองแม่ทัพคนหนึ่งกระซิบข้างหู “ไม่ว่าเมืองหลวงรักษาไว้ได้หรือไม่ ไปช่วยอย่างไรก็เป็นความชอบเรื่องหนึ่ง”
นั่นก็ใช่
ไม่ว่าเมืองหลวงยังอยู่หรือไม่อยู่ คลายวงล้อมของเมืองหลวงยามใดก็ตามพูดไปแล้วก็ล้วนเป็นความชอบครั้งใหญ่
นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนรู้ เพียงแต่ความชอบบางอย่างไม่ใช่เจ้าอยากได้ก็จะเอามาได้
“ตอนนี้มีกองทหารชิงซานอยู่…” รองแม่ทัพเอ่ยต่อ
ชื่อเสียงของกองทหารชิงซานทุกคนล้วนรู้ มีพวกเขาอยู่เรื่องนี้น่าจะสำเร็จได้
แม่ทัพมองกองทัพใหญ่ที่ผ่านเมืองมุ่งไปยังเมืองหลวงด้านหน้า คำนวณคร่าวๆ กำลังพลมีไม่ถึงหนึ่งหมื่น
กำลังคนเหล่านี้สู้กับทหารจินไม่นับว่ามากนะ
“เหล่านี้ล้วนเป็นกองทัพเร็ว ด้านหลังยังมีกำลังพลใหญ่อยู่อีก” รองแม่ทัพเอ่ยขึ้นพลางมองแถบคำสั่งในมือ “นอกจากนี้ทุกคนตามทางก็น่าจะได้รับคำสั่งเคลื่อนพลช่วยเหลือนี่แล้ว”
ถ้าเช่นนั้นนับดูจำนวนกำลังพลก็ไม่น้อยแล้ว
แม่ทัพสีหน้าเปลี่ยนแปรไม่หยุด
…
…
กำลังคนส่งคำสั่งเคลื่อนพลเสร็จก็ไล่ตามกองทัพใหญ่ที่เคลื่อนอยู่ไป กลืนเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็วยิ่ง
เข้าไปข้างในก็เห็นทหารม้าเหล่านี้แต่ละคนมีอาชาสามตัว
ทั้งแถบได้ยินเพียงเสียงกีบเท้าม้ากับเสียงหายใจฟืดฟาด นอกจากนี้ไม่มีเสียงเอะอะสักนิด นายทหารทั้งหลายใบหน้านิ่งสนิทอยู่บ้าง คล้ายหุ่นไม้เขลาไม่รู้จักกลัว
ก็เพราะนิ่งสนิทเช่นนี้ ความเหนื่อยล้าของทหารทั้งหลายจึงแลเห็นไม่ชัดอย่างไร
ทหารม้าที่เคลื่อนเร็วรี่อยู่ฉับพลันลดความเร็วลง
ทหารสอดแนมกลุ่มหนึ่งผิวปากแหลมทะลุผ่านมาจากหลังกองพล
พร้อมกับเสียงนี้ นายทหารทั้งหลายที่เคลื่อนที่อยู่พลันลงจากม้าอย่างพร้อมเพรียง เปลี่ยนเป็นม้าอีกตัวหนึ่งข้างกายตนเอง ปรับเปลี่ยนอยู่นิดหนึ่ง พร้อมกับเสียงผิวปากจากหน้าไปหลังก็ควบอาชาไปข้างหน้าอีกหน
การเคลื่อนไหวนี้ตั้งแต่ต้นจนจบแทบจะพริบตาเดียวเสร็จสิ้น การเคลื่อนขบวนของแถวคล้ายไม่เคยหยุดลง
แสงสว่างสายสุดท้ายของแสงอัสดงที่ขอบฟ้าหายไป ราตรีค่อยๆ ครอบคลุมแผ่นดินใหญ่
เสียงกีบเท้าม้าเร่งร้อนลอยมาจากด้านนั้น นั่นคือทหารสอดแนมกองหนึ่งที่ขี่เร็วรี่กลับมา
“ด้านหน้ามีทหารจินนับหมื่น”
ในที่สุดก็ตามทันแล้ว
หลี่กั๋วรุ่ยอยากพรูลมหายใจแต่ก็สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งขึ้นมาอีก
“ประจัน…”
เสียงสตรีข้างกายดังขึ้นพร้อมกัน หลี่กั๋วรุ่ยตกใจสะดุ้งโหยงรีบห้าม
“คุณหนูจ้าว ใต้เท้าหยางพวกเขายังตามมาไม่ทัน” เขาเอ่ย
เพราะรถสัมภาระและรถยิงกระสุนเคลื่อนที่เชื่องช้า ผนวกกับพวกเขากำลังพลเจ็ดพันนายนี่ใช้ความเร็วเร็วที่สุดเร่งเดินทางมา คนหนึ่งมีม้าสามตัว กำลังพลกองใหญ่ยังรั้งอยู่ด้านหลัง นอกจากนี้ระหว่างทางยังต้องจัดการทหารจินที่รั้งอยู่วางการป้องกัน ดังนั้นจึงไม่ได้ตามติดด้านหลังพวกเขามา
“คนที่เมืองหลวงรอไม่ได้แล้ว” จ้าวฮั่นชิงพูดพลางชักดาบยาวออกมาจากบนแผ่นหลัง
หลี่กั๋วรุ่ยย่อมรู้ว่าสถานการณ์ที่เมืองหลวงอันตรายแน่นอน
“แต่คุณหนูจ้าว ทหารจินอีกฝ่ายประการแรกจำนวนคนมาก ประการที่สองพักสั่งสมเรี่ยวแรงพร้อม พวกเราระหกระเหินเดินทางไกลเหนื่อยล้ามา หากรบกันพวกเราไม่ได้เปรียบ” เขาเอ่ย
จ้าวฮั่นชิงเพียงมองด้านหน้า
“แต่บนสนามรบบางครั้งก็ไร้หนทางคำนึงว่าได้เปรียบหรือไม่ได้เปรียบ” นางเอ่ย
สิ้นเสียงพลันได้ยินด้านหลังมีเสียงกำลังพลเอะอะ
“ใต้เท้า เมืองเหรินจี้มีกำลังพลเจ็ดพันมาสนับสนุนขอรับ” ทหารสอดแนมมาแจ้ง
หลี่กั๋วรุ่ยพรูลมหายใจ
“หลอกมาได้ที่หนึ่งแล้วจริงๆ” เขาเอ่ยพึมพำกับตนเอง
สถานที่ผ่านตลอดทางพวกเขาล้วนโยนคำสั่งเคลื่อนพลไว้ แต่ก็แค่ถือโอกาสโยนปุบขี่เร็วรี่จากไปทันที ไม่มีเวลาไปเจรจาวิเคราะห์แจกแจงผลดีผลเสียอย่างละเอียด ดังนั้นกองทหารประจำการเหล่านั้นที่พวกเขาไปส่วนใหญ่ยังไม่ทันตอบสนอง บ้างก็ครุ่นคิดอยู่ นอกจากนี้กำลังพลของพวกเขาก็ไม่มาก ใช้ชื่อกองหทารชิงซานก็ไม่มีใครเชื่อ ความจริงสุดท้ายไม่มีกำลังพลตามมาเลย
แต่พวกเขายังคงถือโอกาสทำเช่นนี้ ใช้คำพูดของจ้าวฮั่นชิงก็คือหลอกมาเพิ่มได้เท่าไรก็เท่านั้น
“ตอนนี้กำลังพลพอประมาณแล้ว” จ้าวฮั่นชิงเอ่ย สะบัดศีรษะทีหนึ่ง “ประจันศึกเถอะ”
…
…
สายลมราตรีที่แดนเหนือไม่หนาวยะเยือกอีกแล้ว บนท้องฟ้าเมฆหนาแผ่ทั่วไม่เห็นแสงดาว เงียบกริบไปหมด
แต่บนพื้นคนและม้าอึกทึก คบไฟถี่ยิบ
“ท่านปั๋ว…ท่านกั๋วกง”
มีแม่ทัพรีบร้อนพุ่งเข้ามา มองเห็นชิงเหอป๋ว ลังเลนิดหนึ่งก็มองไปทางเฉิงกั๋วกงอีก
“ชาวจินถอนค่ายถอยไปแล้วขอรับ”
ได้ยินประโยคนี้ ชิงเหอปั๋วที่เดิมทีโมโหเพราะท่าทีของแม่ทัพที่ในสายตามีแต่เฉิงกั๋วกงพลันโยนความโกรธทิ้งทันที
“จริงแท้แน่นอนไหม?” เขาเอ่ยถาม
“ขอรับ ด้านหน้าสืบชัดแล้ว ค่ายของพวกต้าเผิงอ๋องล้วนผละถอยอยู่” แม่ทัพเสียงสั่นเอ่ย “เหตุผลที่แน่ชัดยังไม่ทราบ”
“สืบต่อไป” เฉิงกั๋วกงสีหน้านิ่งสงบดังเดิมเอ่ยขึ้น
แม่ทัพจะไปก็ถูกเฉิงกั๋วกงเรียกไว้
“อีกอย่าง ไล่โจมตี”
ถอยไปได้ก็ไม่เลวแล้ว ยังจะไปไล่โจมตีอีก อย่าต้อนศัตรูจนตรอกประโยคนี้เขาไม่รู้หรือ? หรือจะต้องบีบชาวจินให้สู้ตายให้ได้?
ชิงเหอปั๋วขมวดคิ้วจะพูดอะไร แม่ทัพคนนั้นไม่ลังเลสักนิดก็ขานรับหมุนตัวไปแล้ว
แล้วแต่พวกเจ้าเถอะ! ชิงเหอปั๋วคิดอย่างชิงชัง
เห็นทหารโจวด้านหลังร่างถึงกับไล่ตามมาโจมตี ต้าเผิงอ๋องทั่วป๋าอูโกรธจนกระทืบเท้า จะพาคนไปประจันศึก
“องค์ชายห้ารับสั่งให้กลับเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
ได้ยินข่าว แม่ทัพกองอื่นที่วิ่งมาก็โมโหตะโกนเช่นกัน
“กลับไปตอนนี้ ที่ทำไปก่อนหน้าล้วนเสียเปล่า” ต้าเผิงอ๋องทุบหน้าอกตะโกน
“ท่านอ๋อง” แม่ทัพคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา “ฝ่าบาทเกิดเรื่องแล้ว ไม่อาจชักช้า”
ได้ยินประโยคนี้ ดวงตาของต้าเผิงอ๋องยิ่งแดง
คิดไม่ถึงหลายปีปานนี้แล้ว ราชาของพวกเขาก็ยังบาดเจ็บในมือชาวโจวอีกหน
“ชาวโจวต่ำช้า! นี่ต้องเป็นจูซานกระทำอีกแน่!” เขาตะโกนโกรธแค้น “ดังนั้นพวกเราไม่อาจถอย ข้าจะสังหารพวกเขาให้เกลี้ยง! ข้าจะสังหารเขาแก้แค้นให้ฝ่าบาท!”
แม่ทัพทั้งหลายคุกเข่าขวาง
“ท่านอ๋อง อิงอู่ชินอ๋องพวกเขาถอยไปแล้ว หากมีเพียงพวกเราประจันศึกต้องล้มตายบาดเจ็บสาหัสแน่” พวกเขาเอ่ย “พวกเราไม่ได้กลัวบาดเจ็บล้มตาย เพียงแต่เวลานี้บาดเจ็บล้มตายไม่ได้ ท่านอ๋อง องค์ชายห้ายังอยู่ที่เมืองหลวงรอท่านอยู่ หากท่านไม่กลับไป กลัวแต่อิงอู่ชินอ๋องพวกเขาจะแย่งบัลลังก์แล้ว…”
องค์จักรพรรดิเกิดเรื่อง หัวใจผู้คนพากันสับสน แต่ละเผ่าล้วนเริ่มเก็บรักษากำลังของตนเอง ไม่มีใครสละทหารกล้าของตนเองประหัตประหารแลกชีวิตอีกแล้ว
กำลังใจทหารแตกซ่านแล้ว!
ล่มก่อนสำเร็จอีกครั้งแล้ว!
ขาดอีกนิดเดียวเท่านั้น! ขาดอีกนิดเดียวเท่านั้น! ขอเพียงยื้อไว้อีกไม่กี่วัน ขอเพียงยื้อไว้อีกไม่กี่วัน!
ทั่วป๋าอูชูมือแหงนมองฟ้าตะเบ็งเสียงคำราม
…
…
“กระทั่งไล่ตามโจมตีการท้าทายเช่นนี้ยังไม่สนใจ”
เฉิงกั๋วกงเดินออกมายืนอยู่บนเนินเขาในทุ่งกว้าง มองกำลังพลเลื้อยประหนึ่งอสรพิษอัคคีจากไปท่ามกลางราตรี
“เห็นได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
เกิดเรื่องใหญ่อะไรทำให้กองทัพใหญ่ที่ไม่มีวี่แววว่าจะพ่ายแพ้ทยอยถอยทัพได้?
ชิงเหอปั๋วคิดถึงเรื่องนั้นที่เฉิงกั๋วกงเอ่ย สีหน้าของเขาไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
“หรือจูจั้นลงมือสำเร็จแล้ว?” เขาเอ่ยถาม “นั่นเป็นถึงเมืองหลวงแคว้นจินเชียวนะ”
ลอบเดินทางไปถึงเมืองหลวงจินก็ไม่ง่ายนักแล้ว ยังจะลอบสังหารฮ่องเต้แคว้นจิน นี่ฟังดูแล้วเป็นเรื่องตลกชัดๆ
เฉิงกั๋วกงหัวเราะ
“บนโลกนี้เรื่องมากมายนักล้วนเหมือนเรื่องตลก” เขาเอ่ย “ตัวอย่างเช่นบอกว่าข้าจูซานคิดกบฏ”
ไม่ลืมเอ่ยถึงตัวเองตลอด จุดนี้แหละที่ทำให้คนมองแล้วขัดตา ชิงเหอปั๋วขมวดคิ้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยิ่งต้องส่งทหารไล่ตาม…” เขาเบี่ยงประเด็นเอ่ยขึ้น
เฉิงกั๋วกงกลับหมุนตัว
“ตอนนี้ส่งทหารลงใต้ทันที เสริมความช่วยเหลือให้เมืองหลวง” เขาเอ่ย
ลงใต้?
ชิงเหอปั๋วตะลึง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลงใต้เป็นสิ่งที่เขารอคอยทั้งยังยืนยันสนับสนุนมาตลอด แต่เวลานี้นาทีนี้ได้ยินเฉิงกั่วกงเอ่ยออกมา เขากลับไม่ตื่นเต้นเช่นนั้น
ถ้าเช่นนั้นทางเหนือ ท่านชายจูด้านนั้น…
“พวกเราที่นี่ทำสิ่งที่ควรทำแล้ว” เฉิงกั๋วกงสีหน้ายิ่งสงบเอ่ย มือไพล่หลังมองไปทางเมืองหลวง “หวังว่าพวกเขาจะต้านไหวเช่นกัน”
หวังว่าทุกสิ่งล้วนยังทันกาล
…
…
เสียงผิวปากหวีดแหลมรวมถึงเสียงกรีดร้อดังขึ้นบนทุ่งกว้าง ทหารสอดแนมชาวจินเจ็ดแปดคนด้านหน้าถูกฟันร่วงลงจากม้า ทหารสอดแนมชาวโจวกลุ่มหนึ่งหนึ่งดาบตัดศีรษะของพวกเขาจากนั้นทะยานม้าหมุนกลับ ทหารทั้งหลายจากเมืองเหรินจี้ในกองทัพด้านหลังล้วนอดไม่ได้กัดลิ้น
“กองทหารชิงซานดุร้ายจริงๆ” พวกเขาเอ่ยเสียงเบา ในดวงตาส่องประกายวิบวับ
ทหารสอดแนมของชาวโจวใช้สอดแนมเสียส่วนมาก พลังสังหารไม่มาก ก่อนหน้านี้เจอทหารสอดแนมของชาวจินล้วนถอยหลบ คิดไม่ถึงทหารสอดแนมของกองทหารชิงซานจะฟันสังหารทหารสอดแนมของชาวจินทันที
ชั่วขณะที่พวกเขาครุ่นคิด ในกองทัพเสียงกลองพลันดังขึ้น รวมถึงธงสีก็ยกขึ้น
พร้อมกับธงสีนี่ กองทัพเริ่มขยับเปลี่ยน
นี่คือจะแปรกระบวนทัพแล้ว แม้สังหารทหารสอดแนมไม่กี่คนของชาวจินไปแล้ว แต่ข่าวที่พวกเขามาถึงก็คงส่งไปถึงในค่ายของชาวจินแล้วแน่ นี่คือจะเตรียมเผชิญศึกแล้ว
ขบวนแถวเปลี่ยนแปรเร็วยิ่ง นอกจากนี้เป็นกระบวนทัพกลมแบบหนึ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ยังดีมีคนสั่งการพวกเขา
ทหารทั้งหลายของเมืองเหรินจี้ไม่ได้ไม่พอใจเพราะการสั่งการนี่ ตรงกันข้ามกลับยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้น
ร้ายกาจยิ่งจริงๆ ลองดูกระบวนทัพที่เคร่งขรัดนี่สิ เหมือนศิลายักษ์ก้อนหนึ่งเคลื่อนกลิ้งบดขยี้ทุกสิ่งได้ชัดๆ
อืม…เพียงแต่จำนวนคนยังไม่นับว่ามากนัก แต่กองทหารชิงซานยังมีรถยิงกระสุนที่ร้ายกาจยิ่งอีก ศึกนี้ต้องชนะแน่
คิดถึงตรงนี้แม่ทัพหลายคนก็อดไม่ได้มองรอบด้าน
เอ? ทำไมมองไม่เห็นรถ?
อย่าพูดถึงรถยิงกระสุนเลย รถสัมภาระก็ไม่มี
นี่เป็นทั้งศึกในที่โล่งทั้งยังเป็นศึกกลางคืน อย่างไรคงไม่พึ่งแต่ทหารม้าเหล่านี้ของพวกเขาพุ่งสังหารกระมัง?
ไม่กระมัง…
นี่พวกเขาคิดอีกทีว่าจะเข้าร่วมศึกหรือไม่ได้หรือไม่?
ความคิดเพิ่งแล่นผ่านด้านหน้าเสียงครืนๆ พลันดังมา พร้อมกับคบเพลิงส่องสว่าง ชาวจินมาแล้ว!