Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 61 ไม่เหมาะสมแล้วอย่างไร
ยังไม่ต้องพูดถึงขอให้แต่งตั้งองค์รัชทายาท
แต่งตั้งองค์รัชทายาทเป็นประเด็นที่ขุนนางในราชสำนักทั้งหลายยังไม่กล้าเอ่ยขึ้นง่ายๆ
สตรีชาวบ้านคนหนึ่ง แม้นางมียศเป็นองค์หญิงจวิ้นจู่ แต่ความเป็นจริงในสายตาคนทั้งหมดก็เป็นแค่สตรีชาวบ้านคนหนึ่ง ถึงกับกล้าขอให้ฮ่องเต้แต่งตังองค์รัชทายาทอย่างเปิดเผยเช่นนี้
นอกจากนี้พูดถึงประโยคนี้ที่ว่าสนับสนุนสายเลือดอันชอบธรรม
สนับสนุนสายเลือดอันชอบธรรม
ความหมายของนางคือฮ่องเต้วันนี้ไม่ใช่สายเลือดอันชอบธรรม
พริบตาเดียวขุนนางทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นประหนึ่งเดือนห้าเดือนหกถูกสาดน้ำหนาวยะเยือกทั้งร่าง ตื่นตระหนกจนดวงวิญญาณทั้งสามออกจากร่าง
ดวงวิญญาณทั้งสามออกจากร่างแล้วทำให้พวกเขาใจลอยไปอยู่บ้าง ใจลอยเห็นภาพในอดีตภาพหนึ่ง
ประโยคนี้ไม่ใช่ไม่มีคนเคยพูด
ครั้งนั้นเมื่ออดีตองค์รัชทายาทฉับพลันประชวรสิ้นพระชนม์ ฮ่องเต้ต้องการตั้งฉีอ๋องเป็นรัชทายาท แต่ในราชสำนักขุนนางใหญ่ไม่น้อยต้องการให้ไหวอ๋องหรือคือพระราชนัดดาสายตรงตอนนั้นเป็นรัชทายาท เวลานั้นก็มีขุนนางเฒ่าคนหนึ่งเอ่ยประโยคหนึ่งว่านี่คือสายเลือดอันชอบธรรม
ผลสุดท้ายถูกองครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายตีตายนอกพระราชวังทันที
องครักษ์เสื้อแพรประกาศว่าฮ่องเต้พิโรธยิ่ง บอกว่าขอเพียงเป็นโอรสของพระองค์ล้วนเป็นสายเลือดอันชอบธรรม
นับจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยประโยคนี้อีก
คิดไม่ถึงห่างหลายปีเช่นนี้ สาวน้อยนางหนึ่งกลับก้าวออกมาเอ่ยประโยคนี้อีกหน
ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้ นางจะถูกองครักษ์เสื้อแพรตีตายตอนนี้อีกหรือไม่?
สีหน้าของขันทีซีดเผือด
“เจ้า เจ้าขวัญกล้านัก” เขาตะโกนเสียงแหลม น้ำเสียงเปลี่ยนไป “ใครมานี่ซิ ใครมานี่ซิ”
องครักษ์เสื้อแพรที่ยืนอยู่ด้านหลังร่างก้าวเข้ามาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“รีบจับตัวไว้! จับตัวไว้!” ขันทีตะโกนเสียงแหลม ชี้คุณหนูจวิน
แต่องครักษ์เสื้อแพรกลับไม่ได้รุมฟาดสตรีผู้นี้ให้ตายเช่นนั้นอย่างที่ทุกคนคาดเดา
“กงกง ฝ่าบาทยังรอตอบอยู่” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งเอ่ยอย่างนิ่งสงบ
ขันทีตะลึงนิดหนึ่ง ก็ถูก เรื่องกบฏเช่นนี้ต้องกราบทูลฝ่าบาททันที เขาถลึงตาใส่คุณหนูจวินเหี้ยมๆ ทีหนึ่ง หมุนตัวก้าวเร็วไวไปด้านใน
องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายหมุนตัวติดตาม คนที่เหลือยืนตรงนิ่งสงบอยู่หน้าประตู คล้ายสิ่งใดล้วนไม่ได้ยิน
คุณหนูจวินก็ยืนนิ่งสงบอยู่ที่เดิมเช่นกัน สีหน้านิ่งสงบ
ขุนนางทั้งหลายอยากพูดอะไรบางอย่างแต่ที่แปลกคือชั่วขณะกลับไม่รู้จะพูดอะไร
ตามหลักแล้วคำพูดบ้าบอกบฏเช่นนี้ ไม่ต้องกราบทูลฮ่องเต้ พวกเขาขุนนางเหล่านี้ก็ต้องด่าทอคนผู้นี้
แต่เผชิญหน้ากับสตรีคนนี้ พวกเขาอ้าปากไม่ออกอยู่บ้าง
สตรีผู้นี้ถ่ายทอดวิชาแพทย์ สร้างหน่อฝีอ ขจัดภัยฝีดาษที่คุกคามเด็กน้อยนับไม่ถ้วน
สตรีผู้นี้เทเงินทองช่วยคุ้มครองผู้อพยพแดนเหนือ นำทหารมุ่งสู่ดินแดนของชาวจินช่วยเฉิงกั๋วกงจากวงล้อม
แล้วก็เป็นสตรีคนนี้ ยามวิกฤตยืดอกก้าวออกมาปลอบประโลมหัวใจประชาชน ต้านชาวจินที่ล้อมเมืองไว้ได้
สตรีคนนี้ทำเพื่อแคว้นเพื่อประชาชนไม่มีจู้จี้ เผชิญหน้ากับสตรีคนนี้ พวกเขาอ้าปากด่าทอไม่ออกอยู่บ้าง
“คุณหนูจวิน ท่านทำผิดกฏแล้ว”
ยังคงเป็นหนิงเหยียนก้าวออกมาคนแรก สีหน้าเคร่งขรึมเอ่ย
“นี่ท่านกำลังอ้างความชอบ”
ใช่แล้วอ้างความชอบ ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ควรยุ่งเกี่ยว เรียกร้องสิ่งที่ไม่ควรเรียกร้อง
คุณหนูจวินมองไปหาเขา
“ไม่ใช่” นางเอ่ย “ข้าเพียงเอ่ยคำพูดยุติธรรมประโยคหนึ่ง”
เอ่ยคำพูดยุติธรรมประโยคหนึ่ง เพียงไม่กี่คำน้อยนิด นับแต่นาทีนั้นที่นางตายก็กลั้นไว้ในลำคอ ตายแล้วเกิดใหม่ทีละก้าวๆ ทีละปีๆ นาทีนี้เวลานี้ในที่สุดก็เอ่ยออกจากปากได้แล้ว
หนิงเหยียนพูดไม่ผิด นางอ้างความชอบ
ประโยคนี้คือการทำผิดกฏ เป็นสิ่งที่นางไม่ควรเอ่ย
ทว่านอกจากนางแล้ว บนโลกนี้ยังมีใครจะเอ่ยออกมาอีก?
นางจำต้องพูด มีเพียงนางเอ่ยออกมา ถึงจะทำให้ขุนนางทั้งหลายเหล่านี้คิดได้ ถึงทำให้ผู้คนมองเห็นว่าบนโลกนี้ยังมีสายเลือดที่เหลืออยู่ของอดีตอค์รัชทายาทดำรงอยู่อีก นอกจากนี้เปรียบเทียบกับฮ่องเต้ผู้ขี้ขลาดขลาดไร้ความสามารถทำเป็นแต่ทอดทิ้งประชาชนประกาศความผิดของตนเองคนนี้
วันนี้นางมีความดีความชอบเพียงพอ บารมีเพียงพอแล้ว ส่วนจิ่วหรงของนางก็มีเหตุผลเพียงพอออกมายืนอยู่ในสายตาของประชาชนทั้งหลายใหม่อีกหนแล้วเช่นกัน
นาทีนี้เวลานี้นางมีความชอบไม่ใช้ก็ผิดต่อความยุติธรรมที่สวรรค์มอบให้แล้ว
นางมองหนิงเหยียน สีหน้าเคร่งขึมและเด็ดเดี่ยวเช่นกัน
เจ้าจะขวางข้า?
เจ้าขวางข้าไม่ได้!
ใครก็อย่าคิดขวางข้าอีก!
เสียงโครมทีหนึ่ง ฮ่องเต้กวาดฎีกาหลายเล่มเบื้องหน้าคว่ำ
ขันทีทั้งหลายคุกเข่ากับพื้นทันที
“ข้ารู้แล้ว” ฮ่องเต้พระพักตร์เขียว สีหน้าโกรธแค้นคำราม “ข้ารู้ว่านางก่อเรื่องวุ่นวายหลายปีปานนี้เพื่ออะไรแล้ว!”
โรงหมอจิ่วหลิง
จวินจิ่วหลิง
ในอดีตสตรีที่ชื่อฉู่จิ่วหลิงคนนั้นเคยวิ่งเข้าวังเกือบหนึ่งกระบี่แทงพระองค์ตาย วันนี้สตรีที่ชื่อจวินจิ่วหลิงคนนี้ก็ก้าวออกมาฉับพลันส่งหนึ่งกระบี่เข้าใส่พระองค์เช่นนี้อีก แม้ไม่ได้แทงลงบนพระวรกายของพระองค์ แต่กลับแทงตรงเข้าเรื่องต้องห้ามที่ใหญ่ที่สุดก้นบึ้งพระทัยของพระองค์แล้ว แทงทะลุปราการที่พระองค์ใช้เวลาหลายปีสร้างขึ้น ผลักเรื่องแผ่นดินของตระกูลฉู่ใครจะครองมาตรงหน้าผู้คนอีกครั้ง
“จิ่วหลิง” พระองค์กัดฟันเอ่ยทีละคำ
นี่ไม่ใช่ความบังเอิญแน่นอน
นี่คือแผนการที่วางมานานแล้ว
ตั้งแต่ชื่อนี้ปรากฏที่เมืองหลวงนาทีนั้นเป็นต้นมา
“ลู่อวิ๋นฉี” ฮ่องเต้ตวาด
ลู่อวิ๋นฉีขานรับอย่างนิ่งเฉยอยู่ด้านข้าง
“เจ้าไปสังหารนางให้ข้า” ฮ่องเต้ชี้ด้านนอกเอ่ยเหี้ยมเกรียม
ลู่อวิ๋นฉียังไม่ทันขยับ หนิงอวิ๋นเจาพลันเปิดปากก่อน
“ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” เขาเอ่ยพลางก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง “ฝ่าบาท นี่ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้สีพระพักตร์เย็นเยียบ
“ทำไมไม่ได้? แค่เพราะนางค่อนข้างมีชื่อเสียงในหมู่ชาวบ้านหรือ?” พระองค์ตรัส “นั่นแล้วอย่างไร? ขุนนางเฒ่าตอนนั้นไม่ใช่บอกว่าตีตายก็ตีตายเลยหรือ? ชื่อเสียง ความคิดของปวงชนนับเป็นอะไร? ผ่านไปแล้วก็ไม่มีใครจำได้”
ตรัสพลางมองหนิงอวิ๋นเจา
“ทำไม? เจ้าตัดใจไม่ลงรึ?”
ในที่สุดพระองค์ก็นึกขึ้นมาได้ หนิงอวิ๋นเจาคนนี้เคยมีสัญญาหมั้นกับคุณหนูจวินคนนั้น คล้ายยังคงรักลึกซึ้งเช่นวันวาน
แล้วยังมีลู่อวิ๋นฉี ก็คิดจะยึดครองคุณหนูจวินคนนี้เป็นของตนเองอยู่ตลอดเช่นกัน
พวกเขาสองคน…คิดแต่จะปกป้องนางใช่หรือไม่?
สายพระเนตรของฮ่องเต้วาววับจับบนร่างของทั้งสองคน
“ฝ่าบาท” หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะ ท่าทางจนปัญญาอยู่บ้าง “นี่เป็นปัญหาเรื่องตัดใจลงตัดใจไม่ลงที่ไหน”
ถ้าเช่นนั้นเป็นปัญหาเรื่องใด?
ฮ่องเต้มองเขาอย่างเย็นชา
“ฝ่าบาท ชื่อเสียงไม่กลัว” หนิงอวิ๋นเจาหน้าขรึมเอ่ย “แต่ที่สำคัญคือ นางมีกองทหารชิงซาน”
กองทหารชิงซาน?
ฮ่องเต้ตะลึงนิดหนึ่งจากนั้นพลันหน้าเขียวอีกครั้ง
“กระหม่อมทราบว่ากองทหารชิงซานเป็นกองทหารของต้าโจว แต่ฝ่าบาททรงพระปรีรชา ในพระทัยย่อมรู้ว่ากองหทารชิงซานเดิมทีเป็นของคุณหนูจวินผู้นี้” หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าอ่อนโยนน้ำเสียงผ่อนคลายเอ่ย “เวลาอื่นก็แล้วไปเถิด แต่วันนี้ทหารจินยังคงอยู่ใกล้เมืองหลวง กองทหารชิงซานกำลังไล่กวาดล้าง กำลังพลแดนเหนือยังมาไม่ทัน เมืองหลวงยังคงอยู่ในอันตราย หากเวลานี้คุณหนูจวินคนนี้เป็นอันใดไป กระหม่อมเกรงว่ากองทหารชิงซานอาจหันอาวุธกลับ ถึงเวลากำลังพลเหล่านี้ที่เมืองหลวงก็ขวางไม่อยู่แล้ว”
ทหารจินเห็นกองทหารชิงซานยังหนี กำลังพลเหล่านี้ที่เมืองหลวงจะทำอันใดพวกเขาได้อีก
สีพระพักตร์ของฮ่องเต้เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว
กระทั่งไม่รู้อยู่บ้างว่าควรยินดีที่กองทหารชิงซานเร่งเดินทางมาแก้วงล้อมที่เมืองหลวง หรือเคียดแค้นที่กองทหารชิงซานเร่งเดินทางมาถึง
ลาภเคราะห์เคียงคู่ดีร้ายปนเปประโยคนี้พูดได้ถูกเกินไปแล้วจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้นจะปล่อยให้นางกบฏเช่นนี้หรือ?” พระองค์กัดพระทนต์ตรัส
“ฝ่าบาท นางทำเช่นนี้เป็นกบฏ” หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มเอ่ย “แล้วมีสิ่งใดน่าหวาดกลัวเล่า”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมองไปหาเขา
หมายความว่าอย่างไร?
“ฝ่าบาท การกระทำเช่นนี้ของนางไม่ว่าใครได้ยินล้วนจะคิดว่าเป็นกบฏ เป็นการอ้างความชอบเหิมเกริม” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “เช่นนี้ฝ่าบาทยังมีสิ่งใดให้กังวลพะรทัย ฝ่าบาทไม่สู้แล่นรือตามน้ำ ประการแรกแลดูเป็นฝ่าบาทเมตตาน้ำพระทัยกว้างขวาง ประการที่สองเสริมความกำเริบเสิบสานของนาง ให้คนทั้งใต้หล้าเห็นว่าคุณหนูจวินคนนี้เป็นคนอย่างไร”
ฮ่องเต้ตอนนี้เข้าใจแล้ว
“เจ้าจะบอกว่าให้ข้าเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของนาง?” พระองค์ตะโกนอย่างโมโหนิดๆ
“ฝ่าบาท ต่อให้ตกลงแล้วเป็นอย่างไรเล่า?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย สีหน้าสื่อความนัยลึกล้ำ “ไหวอ๋องเพิ่งเก้าชันษาเท่านั้น”
เท่านั้น
ฮ่องเต้อึ้งอีกครั้ง แววตาวาววับอยู่บ้าง
เขาเข้าใจความหมายของหนิงอวิ๋นเจา เขากำลังวัยหนุ่มฉกรรจ์ เด็กน้อยอายุเก้าขวบคนหนึ่ง ต่อให้เป็นองค์รัชาทยาท หรือกำลังจะขึ้นครองราชย์เดี๋ยวนี้แล้ว ระหว่างนี้จะมีเหตุพลิกผันอันใดล้วนเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดคำนวนได้ และเป็นสิ่งที่การกระทำของคนไม่อาจควบคุมได้
“ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือความสงบของเมืองหลวง ขับไล่ชาวจิน สะดวกให้ฝ่าบาทกลับเมืองหลวงอีกครั้ง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ พูดจบพลันค้อมกายทีหนึ่ง เสียงจริงใจ “นี่ถึงเป็นสิ่งที่กระหม่อมสนใจที่สุด ตัดใจไม่ลงที่สุด”
ตำแหน่งขุนนาง อนาคตของคนเหล่านี้อย่างหนิงอวิ๋นเจาผูกอยู่บนร่างพระองค์เอง ขอเพียงมีเขาฮ่องเต้องค์นี้นั่งมั่นคงอยู่ พวกเขาถึงมั่นคง
นี่ถึงเป็นเป้าหมายและความหมายของพันลี้แสวงหาตำแหน่งขุนนาง
ใช่แล้ว หลังกลับไป ทุกสิ่งเข้ารูปเข้ารอย แผ่นดินมั่นคงอีกหน ค่อยจัดการพวกเขาก็ไม่สาย
ฮ่องเต้แววพระเนตรระยับระยับ
……………………………………….
……………………………………….
ขันทีออกมาอีกครั้งสีหน้าซีดเผือดดังเดิม แต่ยังคงไม่มีพวกองครักษ์เสื้อแพรโถมเข้ามาสังหารคุณหนูจวินประหนึ่งหมาป่าประหนึ่งพยัคฆ์
“สิ่งที่คุณหนูจวินร้องขอเกี่ยวพันใหญ่หลวง ให้ขุนนางทั้งหลายหารือ” ขันทีเสียงแหลมเอ่ยสั่นๆ
สั่งให้ขุนนางทั้งหลายหารือนี่บ่งชัดว่าไม่ได้คัดค้าน อย่างน้อยก็ไม่ได้แสดงออกว่าคัดค้านอย่างชัดแจ้ง
ถึงกับ…
ขุนนางทั้งหลายที่นั่นสีหน้าอึ้ง พากันฮือฮา
ท่ามกลางเสียงฮือฮาคุณหนูจวินที่ยืนตรงอยู่ยังคงนิ่งเงียบ คล้ายทุกสิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง
หนิงเหยียนรั้งสายตากลับมาจากบนร่างนาง มองไปด้านในสุสานหลวง
คิดไม่ถึงว่าเผชิญหน้าการท้าทายเช่นนี้ ฮ่องเต้กลับกระทั่งปฏิเสธด่าทอก็ไม่กล้า เขาย่อมรู้ว่าฮ่องเต้ได้ยินวาจาเช่นนี้จะต้องฉับพลันพิโรธหนักแน่ แต่กลับเลือกเงียบชั่วคราวเพื่อกลับเมืองหลวงอย่างปลอดภัย
“ความกล้าเหือดหาย” เขาเอ่ยพึมพำ “ไม่อาจทำการใหญ่สำเร็จ”