Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 68 การโจมตีและการขัดขวาง
ที่จริงนี่ก็เป็นพระราชวังของพระองค์มาเนิ่นนานแล้ว
ฮ่องเต้ประทับบนที่นั่งประธานคิดอย่างได้ใจอยู่บ้างแล้วก็ทอดถอนใจอยู่บ้างด้วย
“ข้าจ่ายเงินมากมาย” พระองค์ตรัส “เงินเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งจริงๆ มีเงินแล้ว แม้ข้าหลบอยู่ที๋ซานตงเหมือนผีก็รู้ได้ว่าวันนี้ฮ่องเต้เสวยอะไร เสด็จพระตำหนักสนมคนไหน”
เงิน
“เงินที่เต๋อเซิ่งชางให้เจ้าหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
“ผิด” ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยอยู่บ้าง “เงินที่ข้าให้พวกเขา หากไม่ใช่ข้าให้โอกาสนี้แก่พวกเขา พวกเขาจะเอาเงินมาจากไหน”
คุณหนูจวินเงียบงันครู่หนึ่ง
หรือก็คือฉีอ๋องใช้เงินเหล่านี้เปิดประตูใหญ่ของพระราชวัง แล้วก็เพราะเงินเหล่านี้จึงปูทางมรณะให้พระบิดาของนางสำเร็จ
ดังนั้นนางจึงเกิดใหม่ที่ตระกูลฟาง เพราะเดิมควรให้นางแก้แค้น มอบความยุติธรรมให้นางหรือ?
ทว่านางกลับช่วยตระกูลฟางเรือผุลำนี้ให้รอด เรือลำนี้จึงมอบให้นางใช้ด้วยเหตุนี้
เงินเหล่านี้เอาชีวิตพระบิดาของนางไป เงินเหล่านี้จึงให้นางทวงความยุติธรรมแทนพระบิดาด้วย
ใช่แล้ว เงินเป็นสิ่งที่ดีอย่างหนึ่งจิรงๆ
ความเงียบงันของนางไม่ได้ทำให้ฮ่องเต้หยุดดำรัส
“แต่พระราชวังนี่ก็ไม่ใช่ของข้า” พระองค์ตรัสอย่างไม่พอพระทัย “เพราะไม่ใช่ข้าอยู่ที่นี่”
ตรัสพลางก็ยิ้มอีกหน
“แต่ยังดี ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่แล้ว”
เขามองคุณหนูจวินที่ถูกล้อม แล้วจับปลายคาง
“ข้าไม่ข้าใจจริงๆ ว่าเจ้าโง่เช่นนี้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้ข้าไม่อยู่ที่นี่ยังทำตามที่ต้องการได้ ตอนนี้ข้าอยู่ที่นี่แล้ว เจ้ากลับยังคิดลอบสังหารข้าอีก”
เขาชี้กองทหารชิงซานเบื้องหน้าคุณหนูจวิน ท่าทางเย้ยหยันเต็มเปี่ยม
“เจ้าคิดว่ามีคนเหล่านี้แล้วจะไม่มีสิ่งใดไม่ราบรื่นได้จริงหรือ? จะก่อกบฏจริงหรือ?”
“ต่อให้ฝ่าบาทไม่ได้อยู่ในพระราชวัง พระราชวังแห่งนี้ก็อยู่ในกำมือของฝ่าบาท” หยวนเป่าที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเสริมอย่างได้ใจ “คิดลอบสังหารฝ่าบาท เจ้าฝันไปจริงๆ”
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ครั้งนี้ข้าไม่ได้คิดลอบสังหารเจ้าจริงๆ” นางเอ่ย
เพราะครั้งก่อนลอบสังหาร ผลลัพธ์บอกนางว่าไม่มีประโยชน์อันใดเลย
“ลอบสังหารเจ้าก็ไม่มีความหมายอันใด” นางเอ่ยต่อ มองไปทางฮ่องเต้ “นอกจากนี้เจ้าก็ไม่คู่ควร ใช้วิธีการเช่นนี้จัดการเจ้า เป็นการหลบหลู่พวกเรา จัดการคนถ่อยเช่นนี้อย่างเจ้า ขอเพียงก้าวออกมาก็ได้แล้ว ตอนี้ข้าก้าวออกมาแล้ว ไหวอ๋องก็ก้าวออกมาแล้ว อนาคตก็จะมีคนมากกว่าเดิมก้าวออกมา”
ฮ่องเต้หัวเราะหยัน สีหน้าโกรธเกรี้ยวอยู่บ้างอีก
“น่าขำจริงๆ ก้าวออกมาแล้วอย่างไร?” พระองค์ตรัส “ตอนนี้เจ้าตายไป ตายด้วยชื่อเสียงเช่นนี้ เจ้าคิดว่าลูกกระต่ายน้อยนั่นที่เจ้าสนับสนุนจะยังมีจุดจบดีได้หรือ?”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ใช่แล้ว” นางเอ่ย “ดังนั้นข้าไม่อาจตาย แม้ข้าไม่ได้คิดลอบสังหารเจ้า แต่ข้าก็จะไม่ให้เจ้าสังหารข้าอีก”
นางเอ่ยแล้วปลดเข็มขัดที่พันไว้ออก เข็มขัดสลักลายบุปผาซับซ้อนพริบตาเดียวดีดตรงกลายเป็นฝักกระบี่ฝักหนึ่ง
เห็นกระบี่เล่มนี้ พระเนตรของฮ่องเต้พลันหรี่ลงอย่างเหี้ยมเกรียม
“เป็นอย่างที่คิด พวกเจ้าเป็นพวกเดียวกันจริงๆ” พระองค์ตรัส
คุณหนูจวินยกฝักกระบี่ขึ้นชักกระบี่ยาวออกมา
ไม่ ไม่ใช่พวกเดียวกัน ยังคงเป็นนาง
“เจ้าเตรียมตัวไว้ ข้าก็เตรียมตัวไว้เช่นกัน ถ้าเช่นนั้นก็มาดูกันเถอะว่าครั้งนี้ใครจะรอดใครจะตาย” คุณหนูจวินเอ่ย
ครั้งก่อนนางตัวคนเดียว ไม่มีการเตรียมพร้อมสักนิด ก่อนเกิดเรื่องไม่มีความปลอดภัย แล้วก็ไม่ถี่ถ้วนว่าหลังเรื่องราวจะทำอย่างไร เป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟมาด้วยความเด็ดเดี่ยวเช่นนั้น
ครั้งนี้นางไม่ได้ตัวคนเดียว นางเตรียมกำลังพลมาแล้ว แล้วก็แย่งชิงชื่อเสียงให้ไหวอ๋องแล้ว วางแผนเรื่องราวให้หลังไว้แล้ว ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้เข้ากองไฟอย่างเด็ดเดี่ยวอีกหนก็คงไม่เพียงรนหาที่ตายแล้วกระมัง
อย่างน้อยก็ตกตายไปด้วยกันได้
“ถือโล่” นางเอ่ย
พร้อมกับคำพูดของนาง กองทหารชิงซานทั้งหลายที่ล้อมนางอยู่มือหนึ่งพลันกระชากชุดทหารบนร่างออก ใต้เกราะฝ้ายที่สวมอยู่เช่นเดียวกับนายทหารทั้งมวล ถึงกับเป็นโล่ชิ้นหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันนายทหารทั้งหลายพลันรวมตัวมาหาคุณหนูจวินอย่างพร้อมเพรียง บ้างนั่งยองบ้างยืน เคลื่อนไหวพริบตาเดียวโล่ชิ้นน้อยที่เดิมมีอยู่เพียงบนหน้าอกของแต่ละคนก็รวมเข้าด้วยกันล้อมคุณหนูจวินไว้ตรงกลาง ประหนึ่งกระดองเต่าอันหนึ่ง
ถึงกับ!
ฮ่องเต้หน้าเขียว
“สังหารนาง” พระองค์ตวาด คนก็ถอยไปด้านหลังด้วย
ทหารองครักษ์ในพระราชวังพกหน้าไม้ได้ แต่ตลอดมาล้วนไม่ใช่ศรหนัก อย่างไรที่นี่ก็คือพระราชวัง ทหารองครักษ์ทั้งหลายเป็นองครักษ์ข้างกายแล้วก็คุ้มกันฮ่องเต้ ดังนั้นอาวุธของทหารองครักษ์ทั้งหลายส่วนมากล้วนเป็นของประดับ อีกทั้งแบ่งงานกันชัดเจน คนที่ถือดาบไม่ถือศร กองทหารชิงซานเข้ามาเป็นทหารองครักษ์ย่อมทำเช่นนี้ด้วย ปลดอาวุธสังหารที่ดีเยี่ยมที่สุด ถือเพียงดาบหอกธรรมดาที่สุดเท่านั้น
แต่เรื่องราวบนโลกไม่เที่ยงแท้ ดังนั้นอยู่ๆ ขันทีกลุ่มหนึ่งจึงถือศรหนักที่ในกองทหารถึงใช้ได้ ส่วนกองทหารชิงซานที่ไม่มีอาวุธสังหารชั้นเยี่ยมก็ซ่อนโล่ไว้
“อารักขาฝ่าบาท!”
หยวนเป่ายืนอยู่หน้าร่างฮ่องเต้ตะโกนเสียงแหลม
ศรหนักด้านหน้าขันทีด้านหลังซ้อนเป็นชั้นๆ ทำให้ตำหนักใหญ่แห่งนี้กลายเป็นคับแคบแต่ก็ประหนึ่งกั้นด้วยพันขุนเขาหมื่นธารา
เสียงศรหนักฟึบฟึบ รวมถึงเสียงเคร้งๆ ดังขึ้นทันที
มีคนล้มลง จากนั้นก็มีคนถือโล่ของเขาเติมเข้ามาทันที กองทหารชิงซานภายใต้โล่ล้อมประหนึ่งหินกลิ้งไปหาฮ่องเต้
แม้มีโล่ปกป้อง ใต้คมศรระยไกลคนที่ล้มลงกับพื้นก็เพิ่มขึ้นไม่หยุด
แต่ขบวนแถวนี่แม้หดลงไม่หยุดทว่าไม่เคยแตกกระจายสับสน
ศรเหมาะเพียงโจมตีระยะไกลเท่านั้น โอกาสของพวกเขาอยู่ที่การหดระยะห่าง
คุณหนูจวินเพียงมองด้านหน้า คนทั้งหมดก็มองเพียงด้านหน้าเช่นกัน มองฮ่องเต้ที่ยิ่งใกล้ขึ้นทุกที
ในสายตาพวกเขามีเพียงการมีอยู่ของฮ่องเต้ ศรประหนึ่งฝนสี่ด้านแปดทิศก็ดี ขันทีซึ่งกำอาวุธจับจ้องมาดร้ายอยู่เบื้องหน้าก็ดี ล้วนมองเมิน สู้อย่างจนตรอกเพื่อเอาชีวิตรอด
เสียงแกรกเสียงหนึ่ง ไม่รู้ว่าศรในมือขันทีคนไหนร่วงลงพื้น การเคลื่อนไหวผ่อนลงนิดหนึ่งนี้ทำให้การโจมตีของลูกศรหย่อนหยานลงอยู่บ้าง
เสียงแกรกเสียงหนึ่ง ขบวนแถวของโล่เตี้ยลงนิดหนึ่ง เหมือนก้อนหนึ่งหลุดออกมา มีคนกลิ้งเข้ามาใกล้ขันทีผู้กำศรอยู่คนหนึ่ง
ขันทีผู้นั้นเบิกสองตาโตมองกระบี่ยาวเล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาตรงหน้าจากด้านล่าง
เสียงพรวดังขึ้นทีหนึ่ง กระบี่ยาวเสียบเข้าไปในลำคอตรงๆ คนก็ฉับพลันหงายล้มกลิ้งลงกับพื้น
เสียงกรีดร้องดังขึ้นต่อเนื่อง โล่มากกว่าเดิมหลุดออกมาจากขบวนแถว พุ่งเข้าใส่ขันทีที่ซ้อนเป็นชั้นๆ
ตัวไร้ประโยชน์พวกนี้!
ขนาดนี้ยังปล่อยให้พวกเขาพุ่งเข้ามาแล้ว
ฮ่องเต้ที่ถูกห้อมล้อมอยู่ด้านหลังสีหน้าซีดขาว
หยวนเป่าก็ไม่กล้ารั้งอยู่อีกต่อไปเช่นกัน
“รีบไป รีบไป” เขาตะโกนเสียงแหลม
ขอเพียงถอยไปหลังฉากบังลมได้ก็ออกไปจากทางลับได้แล้ว ระยะทางนี้ก็ไม่ไกล
ทว่านาทีต่อมาพลันได้ยินเสียงวิ้ง กระบี่ยาวเล่มหนึ่งลอยมาแทงทะลุขันทีคนหนึ่งด้านหน้า
หยวนเป่าตกตะลึงมองไป เห็นท่ามกลางการต่อสู้ชุลมุนคุณหนูจวินคนนั้นพุ่งมาถึงเบื้องหน้าพวกเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ
กระบี่ยาวถูกขว้างมาแล้ว แต่ในมือนางไม่ได้ว่างเปล่า ทว่ากำปิ่นเงินเล่มแล้วเล่นเล่าที่คลี่ออกเหมือนพัดไว้
ฮ่องเต้งุนงงเล็กน้อย รู้สึกว่าปิ่นเงินนี่คุ้นตาอยู่บ้าง เมื่อครู่เหมือนจะเป็นรัดเกล้าลายหงส์แดงประจันตะวันที่สวมอยู่บนศีรษะสตรีคนนั้น
ปีกสีเงินประดับมุกที่เดิมทีเป็นประกายแวววาวนั่น เวลานี้กลายเป็นอาวุธสังหารทอประกายเย็นเยียบแล้ว
โยนศร ไม่แน่ว่าจะชนะเงินได้เท่านั้น
‘ที่จริงธนูอะไรเจ้าเรียนหรือไม่เรียนก็ได้ เจ้าดอกฟ้าสูงศักดิ์ผู้บอบบาง จะสังหารคนเปิดเผยโจ่งแจ้งรึ’ บุรุษคนนั้นนั่งยองอยู่บนก้อนหิน เหวี่ยงไม้กระบองแท่งหนึ่ง หันศีรษะกลับมาเค้นรอยยิ้มให้นาง ‘เรียนโยนศรลอบเล่นงานทำร้ายคนก็พอ’
การโยนศรอันสง่างามเช่นนั้น ถูกเขาพูดกลายเป็นเช่นนี้ ให้นางเรียนก็รู้สึกไม่พอใจ
แต่ตอนนี้ดูท่าเขาพูดถูกต้อง เช่นนี้สาแก่ใจจริงๆ
นางไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้ข้างกายฮ่องเต้จริงๆ ขอเพียงฝ่าทางเส้นหนึ่งออกมาได้ หาโอกาสช่องว่างสักที่เท่านั้น
นี่ก็เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียว
นางหลับตาโยนได้ กั้นด้วยฉากบังลมก็โยนได้ นางโยนร้อนหนเข้าร้อยหน บนปิ่นเงินของนางอาบพิษร้ายแรงไว้ ดังนั้น เขาไปตายซะเถอะ
คุณหนูจวินสะบัดปิ่นเงินในมือสองข้างออกไปอย่างแรง
ครั้งนี้ ในที่สุดนางก็สังหารเขาได้แล้ว
ข้างหูมีเสียงกรีดร้องแหลมดังขึ้น ทว่านาทีต่อมาร่มเหล็กคันหนึ่งฉับพลันเสียบทะแยงปรากฏขึ้นขวางปิ่นเงินที่บินมาไว้
ท่ามกลางเสียงเอะอะเสียงปิ่นเงินหล่นร่วงดังกังวานได้ยินชัด
คุณหนูจวินยืนอยู่ที่เดิม หัวใจหล่นร่วงเฉกเช่นปิ่นเงิน นางมองคนที่ยืนอยู่ใต้ร่ม
“ครั้งนี้ มาทันแล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย หุบร่มเหล็ก ไพล่ไว้หลังร่าง
……………………………………………………..