Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 75 ใช้เหตุผลโน้มน้าวคน
“พูดไปแล้วพวกเจ้าอาจไม่เชื่อ”
เฉิงกั๋วกงเอ่ยพลางมองขุนนางทั้งหลาย
“การก่อกบฏหลบหนีที่ข้าเอ่ยคือแผนการของฝ่าบาท”
แผนการของฝ่าบาท?
เอาเช่นนี้อีกแล้ว
ขุนนางทั้งหลายมองเฉิงกั๋วกง สีหน้าจนปัญญาอยู่บ้าง
พูดไปแล้วก็จนหนทางจะให้คนเชื่อจริงๆ เหมือนหนิงอวิ๋นเจาที่ถือราชโองการกัดฟันท่าเดียวบอกว่านี่เป็นการจัดการของฮ่องเต้ มีคำถามพวกเจ้าก็ไปถามฝ่าบาท
พวกเจ้านี่เห็นฮ่องเต้โอษฐ์เอ่ยวาจาไม่ได้พระวรกายขยับไม่ได้จะพูดอะไรก็เป็นอย่างนั้นแล้วสินะ?
เรื่องใหญ่หลวงปานนี้ มีแค่เจ้ากับฮ่องเต้สองคนรู้หรือ? นี่ฮ่องเต้เห็นราชกิจเป็นเกมเด็กเล่นหรือไม่เห็นขุนนางฝ่ายพลเรือนฝ่ายทหารทั้งราชสำนักในสายตา?
“ยามนั้นเรื่องราวกะทันหันเกินไป นอกจากนี้ฝ่าบาทก็สงสัยว่าในราชสำนักมีไส้ศึก ดังนั้นถึงปิดบัง” เฉิงกั๋วกงสีหน้าอ่อนโยนเอ่ย
ไส้ศึก?
คำนี้ทำให้ขุนนางทั้งหลายที่นั่นสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
อะไรกัน? นี่ไม่ใช่แค่จะอาศัยจังหวะที่ฮ่องเต้ไม่อาจตรัสได้ล้างโทษของตนเอง ยังจะฉวยโอกาสโจมตีล้างแค้นพวกอื่น มอบโทษให้ผู้อื่นด้วยหรือ?
ไม่อาจให้เขาดึงประเด็นไปไกลได้
“เฉิงกั๋วกง เรื่องอันใดกะทันหันเกินไป?” ขุนนางคนหนึ่งรีบขมวดคิ้วเอ่ยถามขัดคำพูด
“ยามนั้นกำลังรบกันได้ที่ ชาวจินกลับฉับพลันเสนอให้เจรจาสงบศึก” เฉิงกั๋วกงเอ่ย
นี่มีสิ่งใดกะทันหัน?
เพราะสถานการณ์ศึกไม่ได้เปรียบ ชาวจินจึงเป็นฝ่ายเจรจาสงบศึกไม่ใช่ปกติยิ่งหรือ?
หากจะประหลาดก็น่าจะประหลาดที่ยามรบได้ชัยชนะ ฝ่าบาทกลับเห็นด้วยกับการเจรจาสวบศึกกระมัง
ยามนั้นขุนนางในราชสำนักก็โต้เถียงกันเพราะเรื่องนี้ หนิงเหยียนยังถูกปลดจากตำแหน่งเพราะเรื่องนี้ด้วย
เฉิงกั๋วกงยามนั้นก็คัดค้านราชโองการไม่ถอยเช่นกัน
“ไม่ ยามนั้นสถานการณ์ศึกของชาวจินไม่ใช่ไม่ได้เปรียบ” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “นอกจากทหารจินก่อนหน้านี้ ในแคว้นของชาวจินยังรวบรวมกองทัพใหญ่เกือบห้าหมื่นนายไว้ หากรบกันจริงๆ ใครชนะใครแพ้ก็ยังบอกได้ไม่แน่”
แววตาของขุนนางทั้งหลายที่มองเฉิงกั๋วกงยิ่งซับซ้อน
คิดไม่ถึงเฉิงกั๋วกงก็มีเวลาที่ถ่อมตัวเช่นนี้ด้วย
“สรุปคือการที่ชาวจินเจรจาสงบศึก ฝ่าบาทคิดว่าเป็นเรื่องที่ประหลาดผิดปกติ” เฉิงกั๋วกงไม่สนใจแววตาของผู้คน เอ่ยต่ออย่างอ่อนโยน “ดังนั้นจึงถ่อเรือตามน้ำตกลง เพราะอยากดูว่าชาวจินที่แท้มีเป้าหมายอันใด”
“ถ้าเช่นนั้นมีเป้าหมายอันใด?” มีขุนนางเอ่ยถาม
เฉิงกั๋วกงมองไปหาเขา ยื่นมือชี้ตนเอง
“ยุแยง ใส่ร้าย กำจัดข้า” เขาเอ่ยแล้วยื่นมือชี้วังหลวงแห่งนี้ “ลอบโจมตีเมืองหลวง”
นี่เป็นสิ่งที่ฝ่าบาทมองออกหรือ?
ฝ่าบาททรงพระปรีชาเปี่ยมบารมีเช่นนี้เชียวหรือ?
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาเปี่ยมบารมี” เฉิงกั๋วกงไม่หยุด เอ่ยต่อ จากนั้นคำนับไปทางที่ฝ่าบาทประทับอยู่ “สังเกตเห็นเจตนาของชาวจินได้ตั้งแต่ทีแรก ดังนั้นจึงใช้แผนซ้อนแผน กำหนดโทษให้ข้า ชาวจินก็เคลื่อนทหารอย่างที่คิด ทว่าข้ากลับไปถึงแดนเหนือลอบเคลื่อนกำลังพล นี่ถึงทำลายแผนชั่วของชาวจินได้ทันเวลา”
ชิงเหอปั๋วอยู่ที่แดนเหนือถูกชาวจินล้อมโจมตี ตอนนั้นสถานการณ์วิกฤตขุนนางตอนนั้นล้วนรู้ เฉิงกั๋วกงเป็นผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันนำทหารคลี่คลายวงล้อมโจมตีชาวจินล่าถอย เรื่องนี้ทุกคนก็ล้วนรู้เช่นกัน
นอกจากนี้ทหารกองหนุนก็เดินทางมาโจมตีทหารจินที่ล้อมโจมตีเมืองหลวงให้ล่าถอยได้ทันกาลเช่นกัน
เช่นนี้ฟังดูแล้วมีการแผนการวางไว้ก่อนจริงๆ
แต่…
นี่ฟังดูแล้วคล้ายมีเหตุผลยิ่ง แต่คิดให้ละเอียดก็คือพูดเหลวไหลไร้สาระ!
“ในเมื่อล่วงรู้ก่อนแล้วว่าชาวจินมีใจคิดไม่ซื่อ ถ้าเช่นนั้นตอนแรกก็ควรคราวเดียวโจมตีทลาย” ขุนนางคนหนึ่งคิ้วตั้งเอ่ย “ให้โอกาสชาวจินได้อย่างไร?”
ใช่แล้ว อย่างอื่นยังไม่ต้องพูด แค่พูดถึงการล้อมโจมตีเมืองหลวง สร้างความเสียหายบาดเจ็บล้มตายมากมายเท่าไร
นี่คือรู้ชัดว่าเป็นเสือ ดันยื่นแขนส่งเข้าปากเสือเพื่อพิสูจน์ว่าเสือจะกัดคนรึ?
“เพราะมีเพียงเช่นนี้ถึงคราวเดียวโจมตีชาวจินให้ล้มได้” เฉิงกั๋วกงมองเขาพลางเอ่ยขึ้น “นี่คือผู้กล้าตัดข้อมือ”
ผู้กล้าตัดข้อมือ?
“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกแล้ว ชาวจินยามนั้นรวบรวมกำลังทหารทั้งแคว้น เวลานั้นบอกว่าจะเจรจาสงบศึก ประการแรกเพื่อหลอกชาวจิน ให้กำลังของพวกเขาสลายไปชั่วคราว ยามนั้นหากไม่เจรจาสงบศึกฝืนทำสงคราม ราคาที่พวกเราต้องจ่ายจะยิ่งมาก นอกจากนี้ก็ไม่แน่ว่าจะทำร้ายกำลังหลักของชาวจินได้แน่” เฉิงกั๋วกงเอ่ยต่อ สายตามองไปหาผู้คน “ตอนนี้ปล่อยให้ชาวจินกัดแขนไว้ ให้คิดว่าแผนชั่วสำเร็จ พวกเขาก็จะทุ่มกำลังหมดสิ้น เวลานี้โจมตีพวกเขาคราวเดียวก็เพียงพอถึงชีวิต”
ในท้องพระโรงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นแผ่วเบา
“อีกอย่าง” เฉิงกั๋วกงเอ่ย
เสียงของเขาไม่สูงไม่ต่ำไม่รีบไม่ช้า แต่ฉับพลันทำให้เสียงถกเถียงหยุดลง ทุกคนล้วนมองมา
“กองทัพใหญ่ชาวจินยกรังลงใต้ คนของพวกเราลอบโจมตีเมืองหลวงแคว้นจินสำเร็จ” เฉิงกั๋วกงเอ่ยพลางยิ้มเล็กน้อย “ภายในสามวัน ข่าวจะยืนยันท้ายสุด”
ยืนยันอันใด?
“ทั่วป๋าจงฮ่องเต้แคว้นจินบาดเจ็บหนักรักษาไม่หายสิ้นพระชนม์” เฉิงกั๋วกงเอ่ย
อะไรนะ?
ฮ่องเต้แคว้นจินตายแล้ว!
ในท้องพระโรงฮือฮาขึ้นทันที
“มิน่าชาวจินอยู่ดีๆ ถอนทหารไป” หนิงเหยียนเอ่ย
เพราะเมืองหลวงถูกล้อม ทั้งยังเจอฮ่องเต้ประชวรอีก ราชสำนักวุ่นวายไปหมด จึงเพียงยืนยันว่าทหารจินที่แดนเหนือถอยไป ไม่รู้ว่าที่แท้เพราะฮ่องเต้แคว้นจินตายแล้ว
“ดีเหลือเกิน” ขุนนางคนหนึ่งอดไม่ได้ปรบมือสีหน้าซาบซึ้ง “องค์ชายแคว้นจินมากมาย ท่านอ๋องทั้งหลายก็ครอบครองทหารเสริมความแข็งแกร่งให้ตนเอง ตอนนี้ฮ่องเต้ตายแล้ว คิดดูก็รู้ว่าภายในต้องวุ่นวายแน่”
แรกสุดกองทัพใหญ่ถูกผลาญที่แดนเหนือ ตามติดด้วยภายในแคว้นตกสู่ความวุ่นวายภายในแคว้นจินครั้งนี้เสียหายหนักหนาแน่นอนแล้ว
ขุนนางทั้งหลายมองไปทางเฉิงกั๋วกง สีหน้าปั้นยาก ไม่มีความสงสัยก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้ว
หากนี่เป็นแผนการที่วางไว้ตั้งแต่เริ่มแรกจริงๆ ถ้าเช่นนั้นก็ช่าง…
“ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา!”
เสียงหนึ่งดังขึ้น
เสียงนี้ทุกคนล้วนคุ้นเคยนัก
หนิงอวิ๋นเจาคุกเข่าลงกับพื้นหันไปทางราชบัลลังก์ของฮ่องเต้ในท้องพระโรง
บนราชบัลลังก์ว่างเปล่า แต่หลังม่านของราชบัลลังก์กลับมีคนนั่งอยู่
นั่นคือฮองเฮาที่อยู่หลังม่าน แต่ไม่ใช่ฮองเฮาเพียงพระองค์เดียว ข้างกายฮองเฮายังตั้งเตียงหลังหนึ่งนี้ไว้ บนเตียงฮ่องเต้ทอดพระวรกายอยู่
แม้ฮ่องเต้ไม่อาจตรัสวาจา ไม่อาจขยับได้ แต่เพราะว่ากันว่าพระสติยังแจ่มชัด ท้ายที่สุดทุกคนจึงตัดสินใจว่าจะยังคงให้ฮ่องเต้เข้าประชุมขุนนาง ฟังทุกคนถกเถียงราชกิจ
คล้ายเช่นนี้ ทุกคนถึงจะตัดสินใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” หนิงอวิ๋นเจาเงยหน้าขึ้น สีหน้ายิ่งโศกเศร้ากว่าวันวาน โขกศีรษะคำนับหนักๆ อีกหน
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เฉิงกั๋วกงคุกเข่าลงตามมาติดๆ ก้มศีรษะคำนับ
ขุนนางทั้งหลายที่เหลือไม่ลังเลอีกต่อไป รีบคำนับตาม
“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”
ชั่วขณะเสียงในตำหนักประหนึ่งหมู่ระฆังลั่นพร้อมกัน
ฮองเฮาเห็นท่าทางของขุนนางเหล่านี้ได้ยินคำชื่นชมนี้ก็อดไม่ได้เช็ดน้ำตา
“ฝ่าบาทเป็นเจ้าแผ่นดินที่ทรงพระปรีชาจริงๆ” นางสะอื้นเอ่ย
เพียงแต่ดันเป็นโรคชนิดนี้ได้อย่างไร
นางมองไปทางฮ่องเต้ เห็นหางตาของฮ่องเต้น้ำพระเนตรยิ่งไหลพราก
หลายวันนี้น้ำพระเนตรของฮ่องเต้ไม่เคยหยุด
เริ่มแรกทุกคนคิดว่าเพราะโรคกำเริบ ฮ่องเต้ในพระทัยเสียพระทัย แต่เวลานานเข้าไม่รู้ว่าหมอหลวงคนไหนบอกว่าเพราะไม่มีสิ่งอื่นแสดงความในใจได้แล้ว มีเพียงหลั่งน้ำตา
ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าเสียพระทัยหลั่งน้ำพระเนตร ดีพระทัยก็หลั่งน้ำพระเนตรได้เหมือนกันใช่หรือไม่?
ตอนนี้จากแผนการของฝ่าบาท ฮ่องเต้แคว้นจินตายแล้ว แคว้นจินภายในวุ่นวายเสียหายหนักหนา ได้รู้เรื่องนี้ฝ่าบาทคงจะดีพระทัยมากเหมือนกันกระมัง
“ฝ่าบาทก็ดีพระทัยมากเช่นกัน” ฮองเฮายื่นมือเช็ดน้ำพระเนตรให้ฮ่องเต้ พลางตรัสเสียงสั่นไปข้างนอก “ขุนนางทั้งหลายลุกขึ้นเถิด”
ขุนนางมากมายคำนับขอบพระทัยลุกขึ้น
แต่เฉิงกั๋วกงคุกเข่าไม่ขยับ
“ได้ยินว่าวันนี้ราชสำนักยังไม่แต่งตั้งองค์รัชทายาท?” เขาพลันเอ่ยขึ้น
ขุนนางที่อยู่ที่นั้นในใจสะดุ้ง
มาแล้ว!
เฉิงกั๋วกงจะต้องสอดมือเข้ายุ่งเรื่ององค์รัชทายาทแน่นอนอย่างที่คิด
“เฉิงกั๋วกงคำพูดนี้ผิดแล้ว!” เสียงของหนิงอวิ๋นเจาดังขึ้น สีหน้าเคร่งขรึมอยู่บ้าง ในมือชูราชโองการขึ้นมา “ฝ่าบาทแต่งตั้งองค์รัชทายาทแล้ว”
“ไม่!” เสียงของฮองเฮาดังขึ้นด้านหลังม่านทันที เสียงสั่นทั้งยังกรีดแหลม “นี่ไม่ใช่ราชโองการของฝ่าบาท!”
ได้ยินเสียงนี้ ขุนนางทั้งหลายที่นั่นล้วนถอนหายใจทีหนึ่ง
เริ่มอีกแล้ว
หลายวันนี้ราชสำนักวุ่นวาย ในคุกของกรมอาญาขังขันทีกับองครักษณ์เสื้อแพรไว้เต็มแล้ว เพื่อการสอบสวนเค้นถาม มีคนถูกจับเข้ามาไม่หยุด ก่อเรื่องจนในเมืองหลวงอลหม่านผู้คนหวาดหวั่น แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จริงเรื่องที่สำคัญที่สุดของราชสำนักช่วงนี้คือเรื่องเดียว ก็คือเกี่ยวกับการเลือกองค์รัชทายาท
หนิงอวิ๋นเจาทุกวันอุ้มราชโองการมายืนยันว่าให้ไหวอ๋องเป็นองค์รัชทายาท ในเวลาเดียวกันรอบกายเขาก็ล้อมด้วยขุนนางกลุ่มหนึ่ง แต่ฮองเฮาด้านนี้ย่อมไม่อนุญาต ยืนยันจะเอาองค์ชายใหญ่ของตนเองเป็นองค์รัชทายาท ข้างกายนางก็มีขุนนางกลุ่มหนึ่งปกป้องเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีองค์ชายองค์อื่นเคลื่อนไหวกันลับๆ ขุนนางคนอื่นก็รักษาความเป็นกลางดูเรื่องสนุก ชั่วขณะหนึ่งวุ่นวายเหลือทน
ประชุมขุนนางทุกครั้งล้วนเริ่มต้นด้วยการโต้เถียงเรื่องเลือกองค์รัชทายาท แล้วก็ใช้เรื่องนี้เป็นการสิ้นสุดอีก
ทะเลาะถึงวันนี้ต่างฝ่ายกำลังสูสีทัดเทียมไม่มีผลลัพธ์
ตอนนี้เฉิงกั๋วกงกลับมาด้วย ก็เริ่มต้นเข้าร่วมในนั้นด้วยแล้ว
“ราชโองการของฝ่าบาทมีเพียงใต้เท้าน้อยหนิงท่านคนเดียวที่ได้เห็นได้ถือ” เฉิงกั๋วกงมองไปทางหนิงอวิ๋นเจา “ก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะสงสัย เรื่องเช่นนี้อย่างไรก็ต้องใช้เหตุผลโน้มน้าวผู้คน”
ฮองเฮาที่นั่งอยู่หลังม่านดวงตาเป็นประกาย
พูดเช่นนี้เฉิงกั๋วกงก็ไม่เชื่อราชโองการฉบับนี้เหมือนกันสิ
หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบ
“สำหรับผู้แซ่หนิงแล้ว ฝ่าบาทก็คือเหตุผลของสวรรค์” เขาเอ่ย
เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยน
“เจ้าว่าเจ้ามีเหตุผล เขาว่าเขามีเหตุผล” เขาเอ่ย “เหตุผลไม่วินิจฉัยย่อมไม่กระจ่าง”
“เฉิงกั๋วกงความหมายของท่านคือ?” ฮองเฮาที่อยู่ด้านในอดไม่ไหวตรัสถาม
เฉิงกั๋วกงคำนับไปทางที่ฮองเฮาประทับอยู่
“กระหม่อมคิดว่า เรื่องราชโองการไม่ต้องเอ่ยแล้ว” เขาเอ่ย
ดีเหลือเกิน!
ฮองเฮาแทบอดไม่อยู่เลิกม่านเปิดดำเนินออกมา
เฉิงกั๋วกงยิ้มเล็กน้อย
“ฝ่าบาททรงพระปรีชาเช่นนี้ ไม่ใช่จัดการไว้ล่วงหล้าแล้วหรือ?” เขาเอ่ยต่อ
จัดการไว้ล่วงหน้า?
คนที่อยู่ที่นั่นล้วนไม่เข้าใจอยู่บ้างมองไปหาเขา
“หรือทุกคนล้วนลืมไปแล้ว?” เฉิงกั๋วกงมองไปหาทุกคนเช่นกัน “ตอนนั้นคุณหนูจวินเสนอให้ฝ่าบาทแต่งตั้งไหวอ๋องเป็นองค์รัชทายาท ฝ่าบาทไม่ได้บอกว่าให้ทุกคนหารือกันหรือ?”
ตอนนั้นคุณหนูจวินเอ่ยประโยคนี้ออกมานอกสุสานหลวง ทุกคนล้วนรู้ แต่หลังจากนั้นฮ่องเต้ไม่ได้ตอบรับอย่างชัดเจน แต่ให้ขุนนางหารือ นี่ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนล้วนรู้
“ถ้าเช่นนั้น ทุกคนก็น้อมรับพระบัญชาของฝ่าบาท หารือกันให้ดีๆ ว่าแต่งตั้งไหวอ๋องเป็นองค์รัชทายาทได้หรือไม่” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “นี่ไม่ใช่น้อมรับพระบัญชาหรือ?”
ในท้องพระโรงเงียบไปวูบหนึ่ง
เช่นนี้คือน้อมรับพระบัญชาหรือ?
“พระบัญชาเช่นนี้ ไม่ใช่ใต้เท้าหนิงคนเดียวรู้ แต่พวกเราทุกคนล้วนได้ยินกับหูตนเอง เห็นกับตาตนเอง” เฉิงกั๋วกงเอ่ยต่อ “เช่นนี้ถ้าวินิจฉัยจนกระจ่างปรากฏผล ก็ใช้เหตุผลโน้มน้าวคนได้แล้ว”
เหมือนจะมีเหตุผลนะ
คำพูดเช่นนี้เหมือนจะไม่เลวเหมือนกัน
ที่ประชุมวุ่นวายพักหนึ่งเล็กน้อย เสียงถกเถียงเบาๆ ดังขึ้น
แต่นี่จะมีผลลัพธ์อันใดแตกต่างจากความวุ่นวายเช่นนี้ตอนนี้? แม้หนิงอวิ๋นเจาด้านนี้กำลังน้อยกว่า แต่อย่างไรเขาก็อาศัยราชโองการของฮ่องเต้
เฉิงกั๋วกงมองผู้คนที่ยืนตัวตรงอยู่
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นข้าจะแสดงความเห็นของข้าก่อน” เขาเอ่ย
คำพูดนี้ทำให้ที่ประชุมเงียบไปอีกหน สายตาทั้งหมดล้วนจับอยู่บนร่างเขา
“ข้าคิดว่า ไหวอ๋องดียิ่ง” เฉิงกั๋วกงเอ่ยขึ้น
ฮองเฮานั่งกลับลงไปบนแท่นบรรทมดังตุบ
จบสิ้นแล้ว
……………………………………….
……………………………………….
“เฉิงกั๋วกงให้ทุกคนหารือในที่ประชุม บอกว่าจะใช้เหตุผลโน้มน้าวคน แต่ก็นะ”
เฉินชีเอ่ยขึ้น พูดถึงตรงนี้ก็คล้ายกลั้นหัวเราะไม่อยู่ คำพูดเอ่ยต่อไปไม่ได้
คุณหนูจวินที่เปื้อนฝุ่นมอมแมมกำลังปลดผ้าคลุมอยู่มองเขา
“แต่ก็นะ?” นางเอ่ยถาม
“แต่ก็นะ เฉิงกั๋วกงนำกำลังพลสามหมื่นเฝ้าอยู่นอกเมืองหลวงนี่เอง ปฏิเสธจะไปค่ายใหญ่นอกเมืองหลวง บอกว่าต้องเฝ้าคุ้มกันเมืองหลวงปกป้องความมั่นคงของเมืองหลวง” เฉินชียิ้มเอ่ยพลางยักคิ้วหลิ่วตา “บอกว่ารอองค์รัชทายาทแต่งตั้งแล้ว ราชสำนักมั่นคงแล้วถึงไป ไม่ให้โจรจินฉวยโอกาสก่อเรื่อง”
เขาพูดพลางก็หัวเราะฮ่าฮ่า
“ข้าว่าเขานี่ข่มขู่ทุกคนว่าอย่าก่อเรื่องชัดๆ”
หลายครั้งที่แม่ทัพผู้ครอบครองอำนาจทหารมีประโยชน์ในช่วงสำคัญที่สุดในการผลัดเปลี่ยนราชบัลลังก์
นอกจากนี้ยามนี้สงครามวุ่นวายเพิ่งสงบ เฉิงกั๋วกงอำนาจยิ่งเหลือล้น นอกจากนี้แสดงออกชัดว่าสนับสนุนไหวอ๋อง ถ้าเช่นนั้นในราชสำนักนี่ขุนนางมากมายล้วนต้องขบคิดให้ดีๆ สักนิดว่าจะเลือกอย่างไรแล้ว
คุณหนูจวินกำคอเสื้อเหม่อลอยเล็กน้อย
ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้…
“สำเร็จแล้ว !”
มีคนฉับพลันเลิกม่านพุ่งเข้ามา เสียงสั่นเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินหันศีรษะมองไป เห็นผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว
สีหน้าของเขาตื่นเต้น
“เมื่อครู่นี้เอง วังหลวงประกาศราชโองการแล้ว แต่งตั้งไหวอ๋องเป็นองค์รัชทายาท” เขาเอ่ยเสียงสั่น
……………………………………….
……………………………………….
แต่งตั้งองค์รัชทายาทก็มีพิธีการ
แรกสุดต้องตัดชุดพิธีการขององค์รัชทายาท เดิมทีฮ่องเต้ไม่ได้คิดจะแต่งตั้งโอรสที่อายุน้อยเป็นองค์รัชทายาท ดังนั้นในวังจึงไม่ได้เตรียมชุดพิธีการที่ให้ไหวอ๋องซึ่งอายุน้อยเช่นนี้สวมไว้
ชั่วขณะหนึ่งทำงานวุ่นวาย นอกจากนี้ยังมีพิธีการมากมายต้องสอน วังไหวอ๋องไม่ได้ประตูใหญ่ปิดสนิทไม่มีใครกล้าเข้าใกล้คล้ายก่อนหน้านี้อีกต่อไป แต่คนไปมาไม่ขาดสาย
“นอกจากชุดพิธีการขององค์รัชทายาท ชุดพิธีการของฮ่องเต้ก็เริ่มเตรียมด้วย” เฉิงกั๋วกงเอ่ย “อย่างไรฝ่าบาทพระวรกายก็สุขภาพพลานามัยไม่ดี รอองค์รัชทายาทแต่งตั้งเสร็จสิ้น ทุกคนก็หารือเรื่องสละราชบัลลังก์ จะได้ให้ฝ่าบาทสงบพระทัยรักษาอาการประชวร”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“จูจั้นครั้งนี้ยังไม่กลับมาหรือ?” นางเอ่ยถาม
ไม่ได้สนใจเรื่องสละราชบัลลังก์ แต่ถามถึงจูจั้น
เฉิงกั๋วกงยิ้มอ่อนโยน
“แดนเหนือด้านนั้นยังต้องระวัง” เขาเอ่ย “รอผ่านไปช่วงหนึ่งก็จะให้เขากลับมา”
คุณหนูจวินพยักหน้า มองวังไหวอ๋องที่คนมาคนไปวิ่งวุ่นวาย
“ท่านจะไปพบองค์ชายไหม?” เฉิงกั๋วกงเอ่ยถาม
ไหวอ๋องไม่ใช่ไหวอ๋องก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยฐานะของคุณหนูจวิน เวลานี้พบไหวอ๋องไม่ง่าย
แต่แน่นอนนี่เป็นเพียงตามธรรมเนียมเท่านั้น หากอยากพบก็แค่เฉิงกั๋วกงเอ่ยปากหนึ่งประโยค
“ข้าอยาก เข้าเฝ้าไทเฮา” คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่งก็มองเฉิงกั๋วกงแล้วเอ่ยขึ้น
……………………………………….
……………………………………….
ประตูตำหนักหนาหนักถูกขันทีทั้งหลายผลักเปิด แสงตะวันสาดเข้ามา ทำให้ในตำหนักกลายเป็นสว่างไสว
แต่จากนั้นประตูก็ถูกดึงปิด
“หมอหลวงบอกว่า หากไทเฮาไม่เจอแสงจะฟื้นตัวได้ดีกว่า” ขันทีคนหนึ่งเอ่ยอย่างระมัดระวัง
สตรีข้างกายสวมอาภรณ์ขั้นเสี้ยนจู่เท่านั้น สำหรับขันทีที่เห็นฮองเฮาและองค์หญิงเป็นประจำแล้ว คนเช่นนี้ไม่อยู่ในสายตาจริงๆ
แต่เผชิญหน้ากับสตรีคนนี้เขากลับวางท่าต่ำต้อยยิ่งกว่าเผชิญหน้ากับฮองเฮาและองค์หญิง
เพราะฐานะของสตรีคนนี้ไม่ใช่เพียงหมอเทวดา ยังเป็นวีรสตรีที่ช่วยประชาชนเมืองหลวงไว้ และก็เพราะเวลานี้ที่ตำหนักด้านหน้ากำลังจัดพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทอยู่
แม้องค์รัชทายาทองค์นี้ ราชสำนักเป็นผู้หารือตัดสินใจ แต่ใครก็ไม่ลืมว่าคนแรกที่เสนอให้ไหวอ๋องเป็นรัชทายาทคือนาง
องค์รัชทายาทก็ไม่ใช่เพียงองค์รัชทายาท ใช้ไม่นานนักก็จะปกครองแผ่นดินกลายเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ นี่คือเจ้าของวังหลวง
ส่วนนางก็คือผู้มีพระคุณคนสำคัญที่สุดของเจ้าของวังหลวงแห่งนี้
สตรีคนนี้ไม่เพียงช่วยรักษาอาการประชวรของฮ่องเต้องค์ใหม่ รักษาฝีดาษเขาจนหาย ยังช่วยชีวิตเขาไว้ด้วย จากชินอ๋องที่เดิมทีถูกขังให้ตายไปอย่างเงียบงันทั้งชีวิตกลายเป็นโอรสสวรรค์ที่ผู้คนเคารพยำเกรง
แม้ชะตาดั้งเดิมของเขาก็คือโอรสสวรรค์ก็ตาม
บุตรชายเฉิงกั๋วกงหยุดเท้า
ขันทีสองคนรีบเลิกม่านขึ้น เผยไทเฮาที่นอนอยู่บนเตียง
ไทเฮาถึงวันนี้ก็ยังหมดสติไม่ตื่น หมอหลวงทั้งหลายสิ้นไร้หนทาง บอกว่าได้รับความตระหนกเกินไปทำร้ายจิตใจอย่างหนัก ส่วนเวลาใดจะตื่นขึ้นมาก็บอกได้ไม่แน่ ได้แต่ใช้โอสถบำรุงไป
คุณหนูจวินเดินเข้าไป ขันทีทั้งหลายปล่อยม่านลง บดบังเงาร่างไว้
ขันทีที่นำทางโบกมือ พาคนถอยออกไป ในห้องบรรทมของไทเฮาเหลือเพียงคุณหนูจวินผู้เดียว
หากเป็นก่อนหน้านี้ ไม่มีทางมีขันทีกล้าให้คุณหนูจวินเผชิญหน้ากับไทเฮาตามลำพังเด็ดขาด
แต่ตอนนี้ ไม่ใช่ก่อนหน้านี้แล้ว
คุณหนูจวินนั่งลง มองไทเฮาที่คล้ายหลับลึกอยู่ มองอย่างตั้งใจเนิ่นนานนัก หลังจากนั้นจึงยื่นมือลูบพระเศียรของไทเฮา ลูบช้าๆ อยู่พักหนึ่งก็ยกขึ้น ในมือมีเข็มเงินเรียวยาวเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
เมื่อเข็มเงินเล่มนี้ปรากฏ ไทเฮาพลันประหนึ่งตื่นจากฝันร้ายหอบหายใจ ฉับพลันเบิกตาขึ้น
แววตาของนางเลื่อนลอยอยู่ชั่วพริบตาจากนั้นก็เพ่งมอง มองคุณหนูจวินตรงหน้า สีหน้าเขียวม่วง คนก็ฉับพลันดิ้นรนลุกขึ้น
“เจ้า เจ้าตอนนี้กล้าปลุกข้าตื่นแล้ว!” นางตะโกนเสียงแหบ “เจ้าไม่กลัวข้าพูดความจริงแล้วรึ?”
นางพูดพลางแววตาเหี้ยมเกรียม
“นอกเสียจากสังหารข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะต้องพูดความจริงออกมาแน่นอน”
คุณหนูจวินยิ้ม
“ตอนนี้ไม่มีใครสนใจความจริงของท่านแล้ว” นางเอ่ย “มีคนมากยิ่งกว่านั้นไม่มีทางให้ท่านพูดความจริงออกมา”
เพราะภาพรวมกำหนดแน่นอนแล้ว
เหมือนครั้งกระโน้นเมื่อฉีอ๋องกลายเป็นองค์รัชทายาทเช่นนั้น
ความจริงอันโสมมเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องถูกขุดขึ้นมาอีก ทุกคนหวังจะเห็นเพียงความงดงามสว่างไสว
ไทเฮาถลึงตามองนางอย่างเคียดแค้น
“เจ้ามาโอ้อวดหรือ?” นางเอ่ยเสียงแหบ
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
“ข้าเพียงอยากถามท่านคำถามเดียว” นางเอ่ย
ไทเฮามองนาง
คุณหนูจวินก็มองนาง
“เลี้ยงมานานปานนั้น ความรู้สึกสักนิดก็ไม่มีจริงๆ หรือ?” นางเอ่ย
คำนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย ทำให้คนไม่เข้าใจ
แววตาของไทเฮางุนงงไปชั่ววูบ นางมองคุณหนูจวิน ฉับพลันนึกสิ่งใดขึ้นได้ ทันใดนั้นจากอึ้งพลันตะลึงงัน คนก็พลันขยับไปข้างหลังในทันใด
“เจ้า เจ้า” นางตะโกนเสียงสั่น สีหน้าหวาดผวายื่นมือชี้คุณหนูจวิน “เจ้าเป็นคนหรือเป็นผี?”
คุณหนูจวินมองนางพลางลุกขึ้นยืน
“อดีตข้าเคยคิดว่าข้าเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าพวกเจ้าถึงเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิง” นางเอ่ย พูดจบก็หมุนตัวเดินไปด้านนอก
ไทเฮาขดอยู่บนแท่นบรรทมมองแผ่นหลังของสตรีคนนี้ สีหน้าตะลึงงัน คล้ายมองเห็นสตรีคนนั้นหันศีรษะกลับมา แต่ไม่ใช่หน้าตาของคุณหนูจวิน เป็นเด็กหญิงอายุเจ็ดแปดขวบคนหนึ่ง
“ท่านย่า ท่านย่า” นางยิ้มร่าเอ่ยเรียก ในมือถือไม้ตาข่ายโถมเข้ามาหานาง “ดูผีเสื้อที่ข้าจับได้สิเพคะ ทำลายประดับหน้าผากให้ท่าน
ไทเฮาอดไม่ได้ร้องเสียงดังยื่นมือออกแรงผลักไป
“ไปให้พ้น ไปให้พ้น” นางตะโกน
เด็กหญิงถูกมือของนางชนสลายหายไป
สตรีที่เดินมาถึงประตูหยุดเท้าหมุนตัวมองนางหนหนึ่ง
“ไม่มี!” ไทเฮาพลันตะเบ็งเสียงตะโกน สีหน้าเปลี่ยนเป็นโหดเหี้ยม คล้ายเช่นนี้ถึงขับไล่ความหวาดกลัวทั้งหมดไปได้ “ไม่มี! สักนิดก็ไม่มี!”
คุณหนูจวินขานอ้อ รั้งสายตากลับหมุนตัวก้าวเท้าต่อ ม่านถูกเลิกขึ้นแล้วทิ้งตัวลงปิดบังสายตาของไทเฮาอีกหน
“ไม่มี! ไม่มี!” นางยังคงเอ่ยไม่หยุดเช่นเดิม ร่างกายค่อยๆ ขดกุมหัวเข่า ตัวสั่นระริก “ไม่มี ไม่มี สักนิดก็ไม่มี”
ประตูตำหนักปิดลง ขันทีทั้งหลายค้อมกายส่ง มองคุณหนูจวินจากไป
ไม่รู้ว่าเดินมาไกลเท่าไร มือที่กุมอยู่ด้านหน้าร่างของคุณหนูจวินถึงคลายออก ถอนหายใจแผ่วเบา ตรงหน้าก็คือตำหนักหน้าแล้ว เวลานี้กำลังจัดพิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาท แต่เพราะอาการประชวรของฮ่องเต้จึงทำให้เรียบง่ายแล้วก็ไม่มีเสียงมหรสพ
จะไปดูสักหน่อยหรือไม่?
แม้นางไม่มีคุณสมบัติไป แต่นางกลับรู้ว่าจากที่ใดลอบมองได้ อย่างไรตั้งแต่เล็กนางก็ทำเรื่องเช่นนี้ไม่น้อย
มุมปากของคุณหนูจวินผุดรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมา แต่นาทีต่อมารอยยิ้มของนางพลันชะงักอยู่ที่มุมปาก เพราะบนทางเดินของตำหนักด้านหน้า คนผู้หนึ่งยืนอยู่
รูปร่างสูงใหญ่ อาภรณ์สีแดงสด ทว่าแสงตะวันสดใสกลับถอยหลบ ยืนอยู่ใต้แสงตะวันชัดๆ กลับประหนึ่งถูกเงาดำครอบไว้
ลู่อวิ๋นฉี?
เขามาที่นี่ได้อย่างไร?
เขาออกมาอีกได้อย่างไร?
คุณหนูจวินสีหน้าเปลี่ยนไปในทันใด