Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 77 พูดไม่ออก
จำเป็นกับใคร ใครปล่อยสุนัขชั่วเช่นนี้ออกมาได้
แล้วยังให้เขามีตำแหน่งอยู่ในราชสำนักอีก?
ราชสำนักนี่ที่แท้เป็นใต้หล้าของผู้ใด?
บัณฑิตกู้สีหน้านิ่งสงบ
“นี่คือความจำเป็นของราชสำนัก สอบสวนต่อไปจะพัวพันใหญ่หลวงเกินไปมากเกินไป ทุกคนเพียงต้องการรู้เรื่องการต่อสู้ในตำหนักเวลานั้น ในเมื่อค้นหาสาเหตุกระจ่างแล้วเรื่องก็จบลงได้แล้ว” เขาอธิบาย “ฝ่าบาทพระวรกายสุขภาพพลานามัยไม่ดี องค์รัชทายาทเพิ่งแต่งตั้ง ตอนนี้ต้องทำให้ใจคนสงบ”
“จะจบเรื่องไม่ให้พัวพันมากขึ้น มีวิธีการมากมายนัก ไม่จำเป็นจะต้องปล่อยเขาออกมา” คุณหนูจวินมองเขาพลางก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง “จำเป็นกับใคร?”
นางบีบคั้นบังคับคนเอ่ยถามอีกครั้ง คล้ายคำตอบนี้ของบัณฑิตกู้ไม่ใช่คำตอบอย่างสิ้นเชิง
บัณฑิตกู้มองนาง
“คุณหนูจวินอยากพูดว่าข้าเป็นคนของลู่อวิ๋นฉี ปล่อยเขาออกมาจำเป็นกับข้าหรือ?” เขายิ้มเอ่ย
คุณหนูจวินมองเขา แต่ไม่ได้ยิ้ม
บัณฑิตกู้ก็เก็บรอยยิ้มไปด้วย
“ไม่ใช่จำเป็นกับข้า” เขาเอ่ยต่อ “จำเป็นกับองค์รัชทายาท”
คุณหนูจวินสีหน้าเยาะหยัน
“พูดเช่นนี้ ไหวอ๋องกับฮ่องเต้ก็ล้วนเหมือนกันสิ?” นางเอ่ยทีละคำๆ
เหมือนฉีอ๋องที่ไร้ยางอายและขี้ขลาดคนนั้น กล้าเพียงหลบอยู่ข้างหลัง อาศัยเพียงขุนนางโหดเหี้ยมมาครองแผ่นดินอย่างมั่นคง
นี่เป็นการหลบหลู่ไหวอ๋องหรือหลบหลู่นาง?
“คุณหนูจวิน จำเป็นเช่นเดียวกันไม่ได้หมายความว่าเป็นคนเช่นเดียวกัน” บัณฑิตกู้ก็เอ่ยทีละคำๆ เช่นกัน เขาก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่งบ้าง “คุณหนูจวินไม่รู้ว่าวันนี้สถานการณ์เป็นอย่างไรหรือ? คุณหนูจวินคิดว่าไหวอ๋องได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาททุกสิ่งก็ล้วนแน่นอนปลอดภัยไม่มีเรื่องแล้วหรือ? ราชสำนักและใต้หล้าเวลานี้คลื่นใต้น้ำโหมซัด เวลานี้ภัยข้างนอกยังไม่สงบภัยข้างในมากมาย”
เขายื่นมือชี้ตำหนักสูงตระหง่านเบื้องหลังร่าง
“เวลานี้ฮองเฮายังอยู่ในวัง นอกจากนี้ฐานะไม่อาจสั่นคลอน”
เรื่องนี้จริงแท้ ฐานะของฮองเฮาไม่มีใครสั่นคลอนได้ ต่อไปขุนนางใหญ่ทั้งหลายให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์ได้ แต่กลับไม่มีใครแตะฮองเฮาได้ และองค์รัชทายาทก็จำเป็นต้องเคารพฮองเฮา นี่คือธรรมเนียมของแผ่นดิน ไม่เช่นนั้นย่อมต้องแบกชื่ออกตัญญู
ส่วนฮองเฮาก็เห็นชัดว่าไม่มีทางชอบรัชทายาทพระองค์นี้
คุณหนูจวินมองบัณฑิตกู้
บัณฑิตกู้ยังคงไม่ให้โอกาสนางเอ่ยวาจา เสียงเร่งดังขึ้นอีกหน
“เวลานี้มีองค์ชายสามพระองค์เป็นผู้ใหญ่แล้ว นอกจากนี้ไร้โทษไร้ความผิด ได้รับยศชินอ๋อง”
“เวลานี้ใช้การถกเถียงในราชสำนักตัดสินตัวรัชทายาท แม้ส่วนใหญ่เห็นด้วย แต่ก็ยังมีขุนนางยังคงเห็นต่าง”
“เวลานี้องค์รัชทายาทอายุเพียงสิบพรรษา เจ้าแผ่นดินเยาว์วัยแว่นแคว้นคลางแคลง”
“เวลานี้เฉิงกั๋วกงในมือกุมทหารมาก วันนี้เขาสนับสนุนไหวอ๋องเป็นองค์รัชทายาท แต่ใครกล้ารับประกันว่าอนาคตเขาจะเป็นกบฏเฉินเฉียว[1]หรือไม่”
คุณหนูจวินดวงตาพลันดุดัน
“เจ้า..” นางเอ่ย
“คุณหนูจวิน ท่านมองตัวท่านเองสูงเกินไป” บัณฑิตกู้ขัดนาง ดวงตาดุดันเช่นกัน “แล้วท่านก็ดูเบาวิสัยมนุษย์ นี่คือราชสำนัก นี่คือแผ่นดินบ้านเมือง นี่คือสิ่งที่ยั่วยวนที่สุดในใต้หล้า คนรับประกันได้เพียงตอนนี้นาทีนี้เวลานี้เท่านั้น ไม่มีผู้ใดรับประกันอนาคตภายภาคหน้าได้ หวงเฉิงยามเพิ่งเข้าเป็นขุนนางก็ไม่ได้คิดกุมอำนาจ ชิงเหอปั๋วยามแรกนำทหารก็ไม่ได้คิดละโมบอำนาจ ฉีอ๋องยามยังเยาว์ก็ไม่เคยคิดถึงตำแหน่งโอรสสวรรค์”
มือที่กุมหน้าร่างคุณหนูจวินกำแน่น
“ใจคนเปลี่ยนง่าย ใครกล้ารับประกันภายหน้า” บัณฑิตกู้น้ำเสียงเคร่งขรึม มองไปทางตำหนักด้านนั้นอีกหน “ใครกล้ารับประกันว่าความชอบใหญ่หลวงจะไม่เปลี่ยนกลายมาเป็นมากเกินไป? ใครกล้ารับประกันว่าหนิงฉางจะไม่กลายเป็นหวงเฉิง”
คุณหนูจวินมองเขา
“แล้วใครกล้ารับประกันว่าบัณฑิตกู้จะไม่กลายเป็นขันทีหยวนเป่า” นางก็เอ่ยเคร่งขรึมบ้าง
บัณฑิตกู้มองมาทางคุณหนูจวิน ฉับพลันก็หัวเราะ
“ข้าไม่กล้ารับประกัน” เขาเอ่ย “ดังนั้น ขอคุณหนูจวินจับตาดูข้าให้ดี”
“ใจคนไม่ใช่แค่จับตาดูก็จะจับอยู่” คุณหนูจวินเอ่ยเรียบๆ
บัณฑิตกู้พยักหน้า
“แต่มีคนจับตาดูอย่างไรก็ดีกว่าไม่มีคนจับตาดูอยู่นิดหนึ่ง” เขาเอ่ย “คุณหนูจวิน เรื่องราวในโลกนี้ไม่มีขาวสะอาด แล้วก็ไม่มีสมบูรณ์พร้อม ดีขึ้นนิดหนึ่งก็ไม่เลวแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นนิดหนึ่ง อนาคตดีขึ้นอีกนิดหนึ่ง ดีขึ้นทีละนิดๆ”
แค่ดีขึ้นนิดหนึ่งหรือ?
คุณหนูจวินยืนอยู่ทีเดิมเศร้าหมองนิดๆ แสงตะวันค่อยๆ ขึ้นสูงทำให้ตำหนักหลังนี้ยิ่งสูงตระหง่านและขึงขัง
พิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทในที่สุดก็จบลง ขุนนางนับร้อยเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบคำนับไปทางด้านในตำหนักอย่างพร้อมเพรียง บางคนสีหน้าเรียบเฉย บางคนสีหน้าดูแคลน แต่ฉับพลันก็มีคนร่างกายแข็งทื่อมองไปด้านหลัง ต่อจากนั้นก็มีคนมากกว่าเดิมมองไปด้านหลัง สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนกลายเป็นปั้นยากและแปลกพิกล
บนทางเดินคนผู้หนึ่งเดินมาช้าๆ ไม่ใช่ชุดขุนนางสีแดงสดของวันวาน แต่เป็นชุดสีเขียวของขุนนางธรรมดา ทว่าเงาร่างของคนผู้นี้ปรากฏกลับยังทำให้คนแสบตาดุจเดิม
ในขบวนแถววุ่นวายพักหนึ่ง เสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาดังขึ้น แต่นาทีต่อมาเมื่อสายตาของคนผู้นั้นมองมา เสียงกระซิบกระซาบนี่พลันประหนึ่งหยดน้ำเยือกแข็งพริบตาจับตัวแข็ง
ลู่อวิ๋นฉีรั้งสายตากลับมาช้าๆ ยืนอยู่ที่หางแถวของขบวนแถว เขาสีหน้านิ่งสนิท ร่างกายแข็งขัดแต่เหยียดตรงมองไปยังตำหนักใหญ่สูงตระหง่านเบื้องหน้า สายตาดูแคลนเหยียดหยันเคียดแค้นหวาดกลัวรอบด้านล้วนไม่มอง
เขายืนอยู่ตรงนี้ เขาจะยืนอยู่ตรงนี้ตลอดไป มองเขา มองนาง จวบจนวางวาย
……………………………………….
……………………………………….
บัณฑิตกู้มองสตรีคนนั้นนั่งรถจากไปแต่ไม่ได้ตามไปอีก เขายืนอยู่หน้าประตูวังคล้ายไม่รู้จะไปที่ใดอยู่บ้าง แต่ครู่ต่อมาดวงตาของเขาก็เป็นประกาย มองรถม้าคันหนึ่งขับเข้าใกล้
รถม้าคล้ายไม่ได้เจตนาจะหยุดลงที่หน้าประตูวัง แล้วองครักษ์หน้าประตูวังก็ไม่มีเจตนาจะขวาง
แต่รถม้าก็ยังคงหยุดลง ม่านรถเลิกเปิด เผยใบหน้าของสตรี
“ถวายบังคมองค์หญิง” บัณฑิตกู้ก้าวเข้าไปข้างหน้าคำนับ
เฉกเช่นก่อนหน้านี้ยามอยู่วังไหวอ๋องดูแลไหวอ๋อง วันนี้ในวังไทเฮาและฮ่องเต้ล้วนประชวรหนัก ฮองเฮาพระองค์เดียวจัดการวังหลังไม่ได้พัก ดังนั้นองค์รัชทายาทจึงเชิญองค์หญิงจิ่วหลีเข้าวังมาช่วยฮองเฮาจัดการวังหลัง
องค์หญิงจิ่วหลีมองเขา ใบหน้าอมยิ้มผงกศีรษะเล็กน้อย
“บัณฑิตกู้” นางเอ่ย แล้วเสริมอีกหนึ่งประโยค “ไม่ได้พบกันเนิ่นนาน”
ได้ยินประโยคนี้ บัณฑิตกู้ก็เงยศีรษะยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน
“พ่ะย่ะค่ะ ไม่ได้พบกันเนิ่นนาน” เขาเอ่ย
สองคนสบตากันทีหนึ่ง คล้ายต้องการพูดอันใดแล้วก็คล้ายไม่มีสิ่งใดให้พูด
“องค์หญิงเสด็จมาพอดี คุณหนูจวินเพิ่งผ่านไป” บัณฑิตกู้คิดอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น
องค์หญิงจิ่วหลีพยักหน้า
“เมื่อครู่ได้พบแล้ว นางบอกว่ามีธุระต้องทำ วันหน้าค่อยพบกัน” นางเอ่ย
บัณฑิตกู้ตอบอ้อคำหนึ่ง ระหว่างทั้งสองคนก็เงียบงันอีกครั้ง ความเงียบงันนี้กลับไม่ได้ทำให้คนกระอักกระอ่วน ตรงกันข้ามทำให้คนสงบและสบาย
คล้ายกับว่าหลายปีมานี้ พวกเขาเผชิญหน้ากันอย่างเงียบงันเช่นนี้มาหลายครั้งเหลือเกิน
“ถ้าเช่นนั้นข้าเข้าไปก่อน” องค์หญิงจิ่วหลีผงกศีรษะเอ่ย
บัณฑิตกู้คำนับอีกครั้ง
องค์หญิงจิ่วหลีปล่อยผ้าม่านลง รถม้าขับเข้าไปในพระราชวัง
บัณฑิตกู้มองรถม้าของนาง ไม่ขยับอยู่เนิ่นนาน
……………………………………….
……………………………………….
องค์รัชทายาทแต่งตั้งเสร็จสิ้นก็มอบให้องค์รัชทายาทจัดการเรื่องของแผ่นดิน ฮองเฮาสิ้นสุดหน้าที่หลังม่านกลับไปดูแลฮ่องเต้ที่วังหลัง กำลังพลของเฉิงกั๋วกงก็ถอยกลับไปที่ค่ายใหญ่นอกเมืองเช่นนั้นอย่างที่บอกก่อนหน้านี้ ส่วนทหารจินที่กระจัดกระจายตกหล่นอยู่ที่มณฑลจิงตงในที่สุดก็ถูกกวาดล้างทั้งหมด นอกจากนี้ยังจับอวี้ฉือไห่ได้เป็นๆ
เรื่องต่างๆ นานาในนี้รวมถึงเรื่องราวสลับซับซ้อนของราชสำนักในเพลาต่อมา ชาวบ้านทั้งหลายไม่สนใจอีก ทุกคนเพียงยืนยันว่ามีฮ่องเต้พระองค์ใหม่ ทหารจินถูกโจมตีถอยร่น ชีวิตในที่สุดก็สงบสุขก็ล้วนโล่งอกวางใจแล้ว
บนถนนใหญ่ของเมืองหลวงฟื้นกลับมาครึกครื้น แต่ยามเช้าตรู่ก็ยังคงเงียบสงบ
ประตูถูกเคาะดังก๊อกก๊อก บนถนนอันเงียบสงบกังวานยิ่ง
“คุณชายหนิง ท่านทำไมไม่ใช่มาเร็วเกินไปก็มาสายเกินไป?” ฟางจิ่นซิ่วมองคุณชายเยาว์วัยที่ยืนตรงอยู่นอกประตู แล้วขมวดคิ้วเอ่ยขึ้น
คำนี้ทำให้หนิงอวิ๋นเจาอึ้งนิดหนึ่ง
“คงเป็นเพราะ บังเอิญ?” เขาเอ่ย
บังเอิญเขามาเร็วเกินไป ดังนั้นจึงไร้วาสนากับจวินเจินเจิน
บังเอิญเขามาสายเกินไป ดังนั้นจึงไร้วาสนากับจวินจิ่วหลิง
ฟางจิ่นซิ่วเบ้ปาก แม้ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร แต่ก็รู้ว่าต้องคิดวุ่นวายไร้สาระอีกแน่
“เข้ามานั่งเถอะ” คุณหนูจวินได้ยินเสียงจึงออกมาแล้ว อมยิ้มเชื้อเชิญ
ฟางจิ่นซิ่วสะบัดมือเดินออกไปแล้ว
“สัมภาระเก็บเรียบร้อยแล้วไหม?” นางโยนประโยคหนึ่งทิ้งไว้
คุณหนูจวินมองแผ่นหลังของนางแล้วขานรับทีหนึ่ง มองฟางจิ่วซิ่วเดินเข้าไปในเรือนด้านหลัง
“ดื่มชาหรือออกไปกินข้าว?” นางมองหนิงอวิ๋นเจาแล้วเอ่ยถาม
เช้าเช่นนี้ ต้องยังไม่ได้ทานอาหารเช้าแน่นอน
หนิงอวิ๋นเจาแย้มยิ้ม
“ดื่มชาสักถ้วยก็พอแล้ว ทานอาหาร ไม่มีเวลาจริงๆ” เขาตอบ “เจ้าก็รู้ว่าในราชสำนักวันนี้มีเรื่องมากมายเหลือเกิน”
คุณหนูจวินพยักหน้าเชิญเขานั่งลง ยกชามาด้วยตนเอง
“จะไปข้างนอกหรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินพยักหน้า
“อีกเดี๋ยวก็ไปแล้ว” นางเอ่ยแล้วยิ้มอีกหน “ดังนั้น เจ้ามาบังเอิญยิ่ง
นี่คือตอบประโยคที่ว่าบังเอิญนั่นของเขา
หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะฮ่าฮ่า
“ถ้าเช่นนั้นก็บังเอิญจริงๆ ข้ากำลังจะถามเจ้าเรื่องหนึ่งพอดี” เขาเอ่ยขึ้น
คุณหนูจวินมองเขาและรอคอย
นับจากกบฏวังหลวงจนถึงตอนนี้พวกเขาเพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก เรื่องนี้กล่าวได้ว่าพวกเขาร่วมมือกันทำ แต่การร่วมมือกระทำครั้งนี้ตั้งแต่เริ่มจนจบทั้งสองคนกลับไม่ได้พบหน้าไม่ได้เอ่ยวาจากันเลย
คุณหนูจวินถึงขั้นไม่รู้ชัดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร รายละเอียดมากมายมีเพียงหนิงอวิ๋นเจาที่รู้
ตอนนี้เวลานี้มีเรื่องราวมากมายเหลือเกินต้องพูดต้องถาม แล้วก็มีเรื่องราวมากมายเหลือเกินเกี่ยวกับตอนนี้รวมถึงหลังจากนี้ที่ต้องถกเถียงหารือ
เรื่องราวมากเกินไปแล้ว ทั้งหมดล้วนสำคัญปานนั้น ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดจากตรงไหน พูดถึงอันไหนก่อนดี
หนิงอวิ๋นเจาเงียบงันไปชั่วครู่
“ครั้งนี้เจ้ากับท่านชายจู จริงหรือว่าหลอก?” เขาเงยศีรษะขึ้นเอ่ยถาม
……………………………………….
[1] กบฏเฉินเฉียว (陈桥兵变) กบฏทหารที่ล้มล้างราชวงศ์ก่อนหน้าแล้วก่อตั้งราชวงศ์ซ่ง