Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาคที่ 5 บทที่ 78 ผู้เป็นที่รักกั้นด้วยขุนเขามหานที
คุณหนูจวินอึ้งไปนิดหนึ่ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาถามเช่นนี้
ตอนนั้นที่ใช้ฐานะคู่หมั้นของบุตรชายเฉิงกั๋วกงกลับมาจากแดนเหนือ ยามเขามาพบตนเอง คำพูดประโยคแรกก็ถามเรื่องนี้เช่นกัน
เรื่องสำคัญมากมายปานนั้นพูดได้ แต่สิ่งที่เขาต้องการถามและสนใจมีเพียงเรื่องนี้
คุณหนูจวินมองเขา สายตาหลุบลงเล็กน้อย ยื่นมือกุมถ้วยชาตรงหน้า
หนิงอวิ๋นเจาเห็นการเคลื่อนไหวนี้พลันยิ้ม รอยยิ้มเบิกบานใจอยู่บ้าง
เขาก็ไม่พูดจา ยื่นมือกุมถ้วยชาตรงหน้าตนเองเช่นกัน
แต่ไม่นานนัก คุณหนูจวินก็เงยศีรษะขึ้น
“ข้าจะไปแดนเหนือ” นางเอ่ย “พูดให้ชัดก็คือไปเขตแคว้นจิน”
เฉกเช่นเดียวกับหนิงอวิ๋นเจาที่ครุ่นคิดหลายครั้งหลายหนกลับถามประโยคนั้นที่ไม่สำคัญที่สุดออกมา การตัดสินใจยามนี้ของคุณหนูจวินก็เป็นอันที่ไม่เหมาะสมที่สุดเช่นกัน
ยามนี้เวลานี้ราชสำนักคลื่นใต้น้ำโหดซัด มีเรื่องมากเหลือเกินต้องคุยต้องถาม แล้วก็มีเรื่องเกี่ยวกับตอนนี้รวมถึงหลังจากนี้มากเหลือเกินต้องถกเถียงหารือต้องทำ
อย่างน้อยนางก็น่าจะเฝ้าอยู่ที่เมืองหลวง แต่นางกลับจะจากไป
“เฉิงกั๋วกงบอกว่าจูจั้นเฝ้าอยู่ที่แดนแหนือ ยังมีเรื่องที่ทำไม่เสร็จ” คุณหนูจวินยิ้ม “ข้าไม่ใช่เด็กน้อยเสียหน่อย คำพูดนี้หลอกข้าไม่ได้”
นางก้มศีรษะอีกหน หมุนถ้วยชาในมือ
“คนที่ไปลอบสังหารฮ่องเต้แคว้นจินต้องเป็นจูจั้นแน่ เรื่องนี้เสี่ยงอันตรายเพียงใดคิดดูก็รู้ เขาต้องเกิดเรื่องแล้วแน่”
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“ใช่แล้ว ทำเรื่องเช่นนี้ล้วนเป็นนักรบพลีชีพ ใช้ชีวิตแลกชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินเงยศีรษะมองเขา
“ดังนั้นข้าต้องไปตามเขากลับมา” นางเอ่ย “ผู้อื่นทำเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ข้าคุ้นเคยกับแคว้นจินยิ่ง”
เพราะตอนนั้นอาจารย์ก็พากองทหารชิงซานสังหารศัตรูในเขตแคว้นจิน
จดหมายที่เขาทิ้งไว้มีแผนที่ละเอียดของแคว้นจินอยู่ส่วนหนึ่ง
หนิงอวิ๋นเจากุมถ้วยชาแล้วยิ้ม
“ถ้าเช่นนั้น ดูท่าตอนนี้คงเป็นเรื่องจริง” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินมองเขา ครั้งนี้ไม่ได้หลุบตา แล้วก็ไม่ได้หมุนถ้วยชาในมือ
“ใช่” นางพยักหน้าเอ่ยอย่างจริงจัง
หนิงอวิ๋นเจายังคงอมยิ้ม
“ข้าควรเอ่ยอวยพรสักคำไหม?” เขาเอ่ยขึ้น
แต่เขากลับไม่ได้พูด
“ข้าควรเอ่ยคำว่าขอบคุณสักคำหรือว่าขออภัย?” คุณหนูจวินมองเขาพลางเอ่ยอย่างตั้งใจ
แต่นางก็ไม่ได้พูดเช่นกัน
หนิงอวิ๋นเจารอยยิ้มสลายไป ยกถ้วยชาในมือ
คุณหนูจวินสองมือประคองถ้วยชา ชนกับถ้วยชาของเขาเบาๆ นิดหนึ่ง
ทั้งสองคนต่างดื่มคำเดียวหมด ประจันหน้ากันต่อไปคล้ายกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ก็คล้ายไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะขึ้นก่อน
“แต่ คิดดูแล้วก็ไม่ยินยอมอยู่นิดๆ จริงๆ” เขาเอ่ยขึ้นมา
คุณหนูจวินมองเขา
“สิ่งที่ข้าทำก็ไม่น้อย” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ คิ้วขมวดเล็กน้อย “ข้าก็น่าจะได้สิ่งตอบแทนสักอย่างสิ”
“แน่นอนย่อมได้ เชิญเจ้าพูด” คุณหนูจวินเอ่ย “ขอเพียงข้าทำได้”
หนิงอวิ๋นเจาเลิกคิ้ว
“ยังมีเงื่อนไขจำกัดอีกนะ” เขาเอ่ย “ดูท่าข้าจะสู้ท่านชายจูไม่ได้จริงๆ”
คุณหนูจวินลำบากใจอยู่บ้างเล็กน้อย
แต่ไหนแต่ไรเขาอ่อนโยนประหนึ่งหยก มองออกก็ไม่พูด ไม่เคยทำให้คนกระอักกระอ่วน
ใบหน้าของหนิงอวิ๋นเจาฟื้นคืนรอยยิ้มอ่อนโยน
“คนอย่างไรก็ต้องเอาแต่ใจสักครั้ง” เขาเอ่ยขึ้นมา
คุณหนูจวินสีหน้าฟื้นคืน มองเขาพลางพยักหน้า
“เชิญเจ้าพูด” นางเอ่ยแล้วหยุดนิดหนึ่งอีกหน “แน่นอนพูดเวลาใดก็ได้”
“ไม่พูดหลังจากนี้แล้ว” หนิงอวิ๋นเจาอมยิ้มเอ่ย “ตอนนี้เลยแล้วกัน”
คุณหนูจวินมองเขาอย่างตั้งใจ รอคอยเขาเอ่ยปาก
หนิงอวิ๋นเจามองนาง
“พวกเราเดินหมากกันอีกครั้งเถอะ” เขาเอ่ย
……………………………………….
……………………………………….
เทศกาลโคมไฟยามเทศกาลหยวนเซียว บนถนนที่ต้นไม้ประดับโคมสว่างไสวไม่เหมือนราตรี มีสตรีนางหนึ่งอยู่หลังร่างเขา มองกระดานหมากที่ถูกผู้คนล้อมอยู่เบื้องหน้า เอ่ยเดินหมากตาต่อไปอย่างกระตือรือร้น
มีชายหนุ่มคนหนึ่งได้ยินเข้าแล้ว เกิดสนใจเดินหมากตอบหนึ่งตา
พวกเขาตอบโต้กันไปมาเช่นนี้ ใต้ท้องฟ้ายามราตรีเดินหมากกันกระดานหนึ่ง
หลังเกมหมากสิ้นสุด เขาถึงหันศีรษะมา นางก็เพิ่งมองมาหาเขา ถึงพบว่าอีกฝ่ายเป็นคนแปลกหน้าที่คุ้นเคยของตนเอง
นับจากเวลานั้นเป็นต้นมาก็เริ่มไม่ตัดขาดการไปมาหาสู่กันอีก
แม้เริ่มแรกพวกเขาไม่ได้คิดจะไปมาหาสู่กัน
แต่ใครจะรู้ภายภาคหน้าได้เล่า ใครจะมั่นใจภายภาคหน้าได้อีกเล่า
คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจา มองเขาแล้วยิ้มนิดหนึ่ง หลังจากนั้นพยักหน้า
……………………………………….
……………………………………….
โต๊ะริมหน้าต่างเป็นสถานที่ซึ่งคุณหนูจวินมักจะเขียนหนังสือ พู่กันหมึกกระดาษแท่นฝนเก็บขึ้น วางกระดานหมากที่ไม่นับว่าประณีตกระดานหนึ่งไว้
“ขออภัยด้วย บัณฑิตเฒ่าข้างบ้านมีเพียงเจ้านี่ ร้านค้าล้วนยังไม่ทันเปิดร้านจึงซื้อไม่ได้ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วด้านนั้นวิ่งไปก็ไกลอยู่บ้างเช่นกัน” เฉินชีท่าทางขอโทษขอโพยเอ่ยขึ้น พลางปัดคราบสกปรกจุดหนึ่งบนกระดานหมาก
แต่คราบสกปรกฝังลึกลงไปในกระดานหมากแล้ว เช็ดไม่ออกอย่างสิ้นเชิง
“เดินหมาก มีกระดาษหมาก มีเม็ดหมากก็พอแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย
ที่สำคัญที่สุดคือคนกระมัง ฟางจิ่นซิ่วที่อยู่ด้านข้างเบ้ปาก ไม่เข้าใจจริงๆ เวลาอะไรแล้วกลับอ้อยอิ่งเดินหมากตอนเช้าตรู่ ก็บอกแล้วว่าพวกเขาไม่เหมือนคนปกติจริงๆ
นางสะบัดมือเดินออกไปแล้ว เฉินชีตามมายืนอยู่ที่ประตูเรือนด้านหลังหันศีรษะกลับมามองทีหนึ่ง เห็นสองคนที่นั่งประจันหน้ากันเริ่มเดินหมากแล้วจริงๆ พวกเขาสีหน้าจดจ่อและตั้งใจ สักประโยคก็ไม่สนทนากัน ต่างวางหมากบนกระดาษหมากทีละก้าวๆ
“เดินหมากจริงๆด้วยแฮะ” เฉินชีเอ่ยพึมพำ แล้วขมวดคิ้วอีกหน
เขาไม่ใช่ไม่เคยเห็นบุรุษสตรีดวลหมากกัน แต่ไม่รู้ว่าทำไมใต้แสงอรุณขมุกขมัวที่ห้อมล้อมอยู่ บุรุษสตรีที่ตั้งใจจดจ่อดวลหมากกันอยู่นี้ดูไปแล้วขมขื่นอย่างไม่มีสาเหตุอยู่บ้าง
มีสิ่งใดให้ขมขื่น ต้องรู้ว่าสองคนนี้ตรงหน้าไม่ใช่คนธรรมดานะ
พวกเขาล้วนเป็นคนที่ลงแรงที่สุดในการสนับสนุนไหวอ๋องเป็นองค์รัชทายาท อนาคตเมื่อไหวอ๋องขึ้นครองราชย์เป็นโอรสสวรรค์ พวกเขาย่อมล้วนมีความชอบที่ช่วยผลัดเปลี่ยนบัลลังก์
ฐานะตำแหน่งนี้ย่อมต้องมีเกียรติอย่างยิ่ง ผู้คนย่อมต้องอิจฉา บนโลกนี้พวกเขาต้องการอะไรแล้วเอามาไม่ได้ พวกเขายังมีสิ่งใดขมขื่นอีก
“ข้าคิดว่าข้าอาจป่วยก็ได้” เฉินชีหันศีรษะมาเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่ว
“ป่วยก็กินยา” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยทั้งที่ศีรษะก็ไม่เงยขึ้น
เฉินชีอดเศร้าไม่ได้ แล้วก็ติดจะกระฟัดกระเฟียดอยู่บ้างด้วย
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปหยิบยาให้ข้าสิ” เขาเอ่ยขึ้น
ฟางจิ่นซิ่วเหล่ตามองเขาทีหนึ่ง แล้วยกเท้าเดินออกไป
เฉินชีถอนหายใจเฮือกๆ สองทีก็ตามไป
“ถ้าอย่างนั้นข้าหยิบเอง เจ้าดูหน่อยว่าข้ากินเช่นนี้ได้หรือไม่?” เขาเอ่ย
……………………………………….
……………………………………….
ยอดเยี่ยมอีกเท่าใด เกมหมากก็มีเวลาที่สิ้นสุด
หนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นอมยิ้มคำนับให้คุณหนูจวินทีหนึ่ง
“ขอตัวแล้ว” เขาเอ่ย
จากไปครั้งนี้จะเสี่ยงอันตรายเพียงใด เขาย่อมรู้ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยรั้งแล้วก็ไม่ได้กำชับให้รักษาตัว เพียงบอกลาหนึ่งประโยคเท่านั้น
คุณหนูจวินมองเขา อยากพูดอะไรบางอย่าง ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูด ก้มศีรษะคำนับกลับ
หนิงอวิ๋นเจาหมุนตัวก้าวยาวจากไป
คุณหนูจวินยื่นมือรับผ้าคลุมที่ฟางจิ่นซิ่วส่งมา นอกโรงหมอจิ่วหลิงกำลังคนขบวนหนึ่งรออยู่แล้ว คุณหนูจวินขึ้นม้าไม่รั้งรอสักนิดควบม้าวิ่งไปข้างหน้า
แสงอรุณสว่าง ร้านรวงสองฝากกำลังเปิดร้าน ชาวบ้านบนถนนเริ่มเดินไปมา เสียงพูดคุยหัวเราะเสียงทักทาย เสียงสตรีโวยวายว่ากล่าวเด็กน้อย เอะอะวุ่นวายทั้งยังครึกครื้นส่งกำลังคนขบวนนี้จากไปไกล