Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 101
บรรดานักเล่านิทานของหยางเฉิงพักนี้ไม่ดีใจเป็นอย่างมาก
คนฉลาดวางอุบายปราดเปรื่องเพิ่งเปิดเรื่องเล่าได้ไม่กี่วัน เดิมทีควรเป็นเวลาที่ได้รับความนิยมที่สุดเป็นที่พูดถึงที่สุด ผลปรากฏว่าในโรงน้ำชาในเหลาสุราคนฟังกลับน้อยลงไปครึ่งหนึ่ง
นี่ก็เพราะคนต่างถิ่นมากมายในเมือง แม้คนต่างถิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นักเล่านิทาน แต่ก็แย่งกิจการของพวกเขา
คนเหล่านี้เป็นคนหรู่หนาน ซึ่งเป็นสถานที่เกิดเรื่องตอนหนึ่งในนิทานตอนคุณหนูจวินหนีบคนป่วยอ่อนแอ พาคนเฒ่าพิการ ระหกระเหินหลับหรู่หนานที่พวกเขาเล่า
แต่ที่คิดไม่ถึงคือที่หรู่หนานคุณหนูจวินมีเรื่องเล่าซึ่งเป็นที่เล่าลือยิ่งกว่าเล่าอยู่
หลายวันนี้มีคนหรู่หนานรวมถึงแถบใกล้หรู่หนานมาหาหมอไม่ขาด
ระเห็จมาไกลขนาดนี้เพื่อหาหมอ คนจำนวนมากย่อมเป็นผู้ที่ตระกูลทรัพย์สินมั่งคั่ง ถึงจะรับประกันได้ว่าคนป่วยจะสะดวกสบายระหว่างทางไม่ถึงกับเหน็ดเหนื่อยลำบากเกินไป อาการป่วยหนักขึ้น
นอกจากนี้เดินทางยาวไกลได้ก็ย่อมไม่ใช่ป่วยหนักกำลังจะตายอะไร เช่นนั้นยังไม่ทันเดินทางมาถึงหยางเฉิงย่อมไม่เหลือชีวิตแล้ว
ดังนั้นเมื่อได้รู้ว่าคุณหนูจวนิไม่อยู่ที่หยางเฉิง แม้ฟางเฉิงอวี่เสนอที่พักอาหารให้ แต่คนส่วนมากก็ยังคงจากไป คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่ไม่ขาดแคลนเงิน อีกทั้งแทนที่จะรออยู่ที่นี่ยังมีเวลาไปตามหาหมอชื่อดังคนอื่นอีก
แต่ก็มีคนจำนวนหนึ่งรั้งอยู่ บ้างก็ไม่มีแรงเดินทางไปรักษา บ้างเงินน้อยหมดไปแล้ว
ก็เป็นคนที่รั้งอยู่เหล่านี้เองว่างไม่มีธุระ โดยเฉพาะเมื่อค้นพบว่าคนหยางเฉิงถึงกับไม่รู้จักความร้ายกาจของโรงหมอจิ่วหลิง ทั้งโกรธแค้นคับอก ทั้งเป็นเกียรติ เล่าเรื่องราวต่างๆ นานาของโรงหมอจิ่วหลิงตามสถานที่พักซึ่งตระกูลฟางจัดให้หรือที่หัวถนนแก่ชาวบ้านหยางเฉิงอย่างคึกคัก
คุณหนูจวินกลับบ้านเก่า นายท่านเหยียนทุบบ้านล้มกำแพง
คุณหนูจวินไม่ถอยไม่หลีก ณ ซากปรักหักพังเปิดโรงหมอจิ่วหลิงอีกครั้ง
สัญญาดุจทองพันชั่ง ทำบุญสร้างชื่อ
คนพิการทั้งบ้านรอความตาย ยาสามชุดฝังเข็มสองครั้งจอมพลังหวนคืน
แม่เฒ่าเหยียนสั่งสอนบุตร บูรณะโรงหมอจิ่วหลิง
บังเอิญพบพานสหายเก่าบนถนน คุณหนูจวินบังคับรั้งชายผู้มีวาสนา
“หยุด หยุด อันนี้เล่าไม่ได้”
ตอนที่ชายผู้โม้ติดลมอยู่พูดเรื่องประโยคก่อนหน้าออกมาก็ถูกสหายร่วมถิ่นหรู่หนานด้านข้างตวาดด่าทันที
ผู้ชายตอนนี้ถึงรู้สึกตัวว่าหลุดปากหน้าแดงกระแอมทีหนึ่ง
“เรื่องนี้ไม่เล่าแล้ว…” เขาว่า
ชาวบ้านหยางเฉิงที่กำลังฟังตาวาวหูตั้งร้องโห่ทันที
“เล่า เล่า เล่าตอนนี้แหละ” พวกเขาเอ่ยกล่อม
“ตอนนี้ไม่มี ตอนนี้ไม่มี” คนหรู่หนานโบกมือปฏิเสธอย่างพร้อมเพรียง ทำสีหน้าไม่อาจก้มหัวให้อำนาจไม่อาจหวั่นไหวกับความร่ำรวย
คุณหนูจวินเป็นคนหรู่หนานของพวกเขา ไม่ว่าเล่าอย่างไร เรื่องกอดบังคับรั้งชายหนุ่มผู้หนึ่งกลางถนนอย่างไรก็ไม่งาม พวกเขารู้เรื่องดื้อรั้นของเด็กน้อยในบ้านของตนเองก็พอแล้ว ต่อหน้าคนนอกยังไงก็ต้องปกป้อง
“ตระกูลฟางออกเงินเท่าไรจ้างพวกเจ้ามาล่ะ ยังแบ่งอะไรเล่าได้อะไรเล่าไม่ได้อีก ไม่ได้แต่งมาก่อนให้ดีใช่หรือไม่ล่ะ”
แต่ในความคึกคักนี้ก็ย่อมขาดคำเยาะหยันถากถางไปไม่ได้
ที่จริงแล้วตั้งแต่คนมาหาหมอจากหรู่หนานทยอยมา คำถามและคำถากถางเช่นนี้ก็ไม่เคยขาด
นี่ก็เป็นเรื่องยากจะเลี่ยง อย่างไรคุณหนูจวินเป็นหมอเทวดาเรื่องนี้ก็กะทันหันเกินไปแล้ว
ทุกครั้งที่เกิดคำถามและคำถากถางขึ้น คนหรู่หนานล้วนจะไม่เข้าใจและโกรธแค้น ทั้งสองฝ่ายก็จะเกิดทะเลาะถกเถียงกันเพราะเหตุนี้
แต่เมื่อคนหรู่หนานได้รู้เรื่องราวต่างๆ นานาช่วงนี้เกี่ยวกับตระกูลฟางจากปากคนหยางเฉิง คนหรู่หนานก็เปลี่ยนเป็นสงบลง
“ที่จริงพวกเจ้าจะคิดเช่นนี้ก็ไม่แปลก”
ครั้งนี้ชาวหรู่หนานผู้หนึ่งหยุดการถกเถียงของบรรดาสหายร่วมภูมิลำเนาไว้ ก้าวออกมายืนสีหน้าอ่อนโยนมองผู้คนด้านหน้าที่สีหน้าดูแคลน
“ตอนที่คุณหนูจวินเพิ่งพานายน้อยฟางมาถึงหรู่หนานก็ไม่มีใครเชื่อว่านางจะเปิดโรงหมอจริงๆ” เขาเอ่ย “แล้วก็ไม่มีใครเชื่อว่านางจะยืนหยัดอยู่ที่หรู่หนานได้ ดังนั้นหูกุ้ยคนนั้นถึงกล้าขายบ้าน นายท่านเหยียนคนนั้นถึงกล้าล้มบ้าน เพราะนางเด็กสาวกำพร้าเพียงลำพัง อายุก็น้อย บิดามารดาล้วนเสียแล้ว ญาติครอบครัวล้วนไม่มี ตัวคนเดียวเช่นนี้ ยากจะเชื่อว่านางมีความสามารถจะต่อต้านการรังแกเช่นนี้จริงๆ นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่าอย่าดูคนที่หน้าล่ะนะ”
คำพูดนี้ทำให้คนที่หัวเราะครึกครื้นค่อยๆ สงบลง
“การคาดเดาต่างๆ เกี่ยวกับตระกูลฟางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่เช่นนี้รึ?”
เขาเอ่ยต่อ
“เพราะพวกเขาเป็นพ่อค้า ทหารชาวนาแรงงานพ่อค้า ต้อยต่ำที่สุด แม้มีเงิน ก็เพียงแค่มีเงินเท่านั้น จะถือราชโองการ ทำให้ขุนนางมากขนาดนั้นก้มหัวเชื่อฟังเคลื่อนย้ายได้อย่างไร”
“แต่พวกเจ้าที่แท้สงสัยอะไรเล่า?”
“ราชโองการไม่ใช่ของจริงหรือ? พวกเจ้าล้วนมองเห็นแล้วนี่ บรรดาขุนนางก็ยอมรับแล้วนี่ เป็นของจริง”
“ก็เหมือนกับตอนแรกที่หรู่หนาน คุณหนูจวินประกาศเปิดโรงหมอจิ่วหลิงอีกครั้งบนบ้านที่ล้มถล่ม ไม่มีค่าถามอาการค่าหมอค่ายาได้ยาโรคหายฝีมือเยี่ยมโรคร้ายหายดี พวกเราก็ไม่เชื่อเหมือนกันแหละ”
“นางรักษาหายคนหนึ่ง รักษาหายสองคน พวกเราล้วนคิอว่านางใช้เงินตระกูลฟางซื้อเทียบยาหมอชื่อดังมา”
“แต่นางรักษาหายคนที่สาม คนที่สี่ คนที่นางรักษาล้วนรักษาหายแล้ว คนทั้งหมดล้วนมองอยู่ ไม่มีลูกเล่นอันใดหลบซ่อนปิดบังได้ ล้วนเป็นนางคนเดียวทำจนได้”
“ก็เพราะพวกเรามองเห็นแล้ว ดังนั้นพวกเราถึงเชื่อนาง”
“พวกเจ้าที่ไม่เชื่อก็เพราะไม่ได้เห็นเรื่องที่นางทำที่หรู่หนานกับตา ถ้าอย่างนั้นหากพวกเจ้าไม่เชื่อที่พวกเราพูด ทำไมไม่ไปหรู่หนานลองถามดูเล่า?”
“หรู่หนานก็ไม่ไกล สินค้าไปมาก็มีไม่น้อย บางทีพวกเจ้าก็อาจไปลองดูได้”
“แน่นอนว่าเรื่องราวผ่านไปแล้ว ได้ยินผู้อื่นพูดพวกเจ้าก็ยังคงไม่เชื่อ แต่พวกเจ้าก็ได้เห็นด้วยตาแล้วนี่”
“นายน้อยตระกูลฟางไม่ใช่ตัวอย่างตัวเป็นๆ รึ?”
“ตอนที่พวกเราอยู่ที่หรู่หนานเห็นนายน้อยฟาง คิดว่าเขาเป็นแค่คนง่อยคนหนึ่ง คิดไม่ถึงสักนิดว่าที่จริงเดิมทีเขาเป็นคนง่อยที่กำลังจะตายคนหนึ่ง”
“แต่พวกเจ้ารู้นี่ พวกเจ้ามองเห็นเขาโตขึ้นมา นายน้อยฟางในอดีตเป็นอย่างไรพวกเจ้ารู้ชัดเป็นที่สุด ตอนนี้นายน้อยฟางเป็นอย่างไรพวกเจ้าก็ล้วนเห็นกับตาแล้วนี่”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าที่แท้สงสัยอะไรกันเล่า? แค่เพราะพวกเจ้ารู้สึกว่านางไม่มีทางทำได้ ดังนั้นที่นางทำได้แล้วก็คือเรื่องหลอก ก็คือหลอกลวงคนรึ?”
“จะเชื่อเรื่องหนึ่งต้องหาเหตุผลที่ตนเองจะเชื่อพบถึงจะยอมเชื่อรึ? สิ่งที่พวกเจ้าไม่เชื่อก็คือเรื่องหลอกลวง ก็คือไม่มีอยู่งั้นรึ?”
“แต่บนโลกนี้มีเรื่องน่าเหลือเชื่อมากมายนักจริงๆ สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีอยู่รึ”
“ไม่อาจเพราะพวกเจ้าไม่เชื่อก็จะต้องเยาะหยันตั้งคำถามกับมันนี่”
บนถนนเงียบกริบ หน้าของคนที่เดิมทีหัวเราะเยาะถางถางขึ้นสีแดง หลบสายตา
ฟางเฉิงวี่ที่ยืนอยู่ไกลๆ เผยรอยยิ้ม
“เฉิงอวี่ คนผู้นี้จ่ายเงินไปมากใช่หรือไม่?” ฟางอวี้ซิ่วที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามเสียงเบา
“พี่รอง” ฟางเฉิงอวี่มองนาง ร้องเรียกทีหนึ่งดั่งไม่ได้รับความยุติธรรม “คนเหล่านี้ไม่ใช่ข้าจ่ายเงินจ้างมาจริงๆ นะ คนเหล่านี้ล้วนเป็นความดีความชอบของจิ่วหลิง ทุกคนล้วนมาเพื่อนางจริงๆ”
ฟางอวี้ซิ่วเม้มปากยิ้ม
“ใช่ ข้ารู้ จิ่วหลิงร้ายกาจนัก จิ่วหลิงไม่มีสิ่งใดทำไม่ได้ เรียกคำหนึ่งร้อยขานรับ” นางเอ่ยขึ้น
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มอีกครั้ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“ใช่แล้ว” เขาเอ่ย
ฟางอวี้ซิ่วยื่นมือทิ่มหน้าผากของเขา
“นาง คนร้ายกาจขนาดนี้ ไม่ไปเรียกหรอก ที่เรียกนี่อย่างไรก็เป็นเจ้าทำล่ะสิ?” นางเอ่ยขึ้น
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักไม่ยอมรับแล้วก็ไม่ได้ปฏิเสธ
“พวกเขามักจะสงสัยว่าพวกเราหลอกลวง” เขามองไปยังกลุ่มคนด้านนั้นอีกครั้ง ใบหน้ามีรอยยิ้ม “แต่พวกเขาลืมไปเรื่องหนึ่ง บนโลกนี้ไม่ใช่ใครคิดหลอกใครก็หลอกได้ หลอกคนก็ต้องมีความสามารถจริงๆ ด้วย หากไม่ใช่จิ่วหลิงทำเรื่องเหล่านี้จริงๆ เพียงแค่อาศัยเงินจะทำได้ถึงขั้นหนึ่งคนเรียกร้อยคนขานรับเช่นนี้ได้อย่างไร”
ฟางอวี้ซิ่วมองกลุ่มคนด้านนั้นก็ยิ้มด้วย
ใช่สิ หากไม่มีความสามารถจริงๆ รักห่วงใยจริงๆ พวกนางจะจริงใจกับนางเช่นนี้ได้อย่างไร
แรงล้วนส่งผลต่อกัน
พี่สาวน้องชายสองคนกำลังพูดคุย บนถนนพลันมีเสียงประทัดดังรัวขึ้นระลอกหนึ่ง
อะไร?
คนบนถนนก็มองตามเสียงไปด้วย เห็นเพียงมีคนวิ่งไปทางสถานที่ซึ่งมีเสียงประทัดอยู่
“ไปดูเร็ว มีคนเปิดสำนักคุ้มภัยใหม่แห่งหนึ่ง !”
สำนักคุ้มภัย?
เจ๋อโจวร้านแลกเงินมากมาย สำนักคุ้มภัยก็มากมาย แต่เปิดสำนักคุ้มภัยแห่งหนึ่งไม่ง่าย จำต้องมีอาจารย์ที่มีชื่อเสียง มีผู้คุ้มกันเพียงพอถึงทำให้คนเชื่อถือได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็จะเปิดตามใจได้
ไม่รู้ว่าเป็นอาจารย์มีชื่อคนไหนจะก่อตั้งสำนักเอง
ผู้คนล้วนรุมเข้าไปด้วยสงสัยใคร่รู้ เห็นเพียงบนถนนด้านหน้าประตูบานหนึ่งที่ค่อนข้างห่างไกลทั้งยังเก่าพังอยู่บ้างกำลังจุดประทัดเกิดหมอกควันกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า หมอกควันสลายไป ผู้ชายรูปร่างผอมแห้งคนหนึ่งเหยียบบันไดกำลังใช้มือข้างเดียวแขวนป้ายสำนักแผ่นหนึ่งไว้บนประตูอยู่
ป้ายสำนักเก่าอยู่บ้างเหมือนเช่นบ้านหลังนี้ อักษรด้านบนทาสีน้ำมันใหม่แล้ว
อี้โหย่วสิง สามคำแวววาวใต้แสงตะวัน
……………………………………….