Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 109
ทะลุผ่านตรอกก็มาถึงถนนอีกเส้นหนื่ง เทียบกับถนนใหญ่ด้านนี้ ถนนสายนี้เล็กแคบและสงบมากกว่า ทิวทัศน์ยามราตรียิ่งมืดมิด บนถนนเส้นหนึ่งมีเพียงโคมไฟส่องสว่างของแผงลอยกระจายบางตา
เฒ่าแก่กำลังนั่งอยู่ด้านหลังเตาไฟงีบหลับ ได้ยินเสียงฝีเท้าก็ขยี้ตาลุกขึ้นมา
“พวกท่านกินอะไรหน่อยไหม?” เขาเอ่ยถาม มองผู้ชายสี่คนที่นั่งลงที่โต๊ะด้านข้างแล้ว
“ขนม หั่นเนื้อจานหนึ่งมาแล้วเอาเหล้าไหหนึ่ง” ผู้ชายคนหนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นเสียงแจ่มใสพลางลูบหนวดดกครึ้มใต้คาง
เฒ่าแก่ขานรับรีบไปจัดการ ตักเนื้อพะโล้จากในหม้อหั่นเสร็จอย่างรวดเร็ว เทสุรา จัดขนมหนึ่งจาน ยกมาด้วยกัน
ผู้ชายมีหนวดที่สั่งอาหารนั่งอยู่ในกลุ่มใต้แสงโคมใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ถูฝ่ามือท่าทางทนรอไม่ไหว
“ไม่ได้กินขนมร้านนี้ตั้งนานแล้ว” เขาว่า ยิ้มให้กับคนอื่นในโต๊ะยื่นมือ “เร็ว ทุกคนลองชิม แม้ว่าพวกเจ้าจะเป็นคนเมืองหลวง แต่น่ากลัวจะไม่รู้ว่าขนมร้านนี้อร่อยที่สุด”
เฒ่าแก่ได้ยินประหลาดใจทั้งยิ้มยินดี
“ท่านลูกค้าชมเกินไปแล้ว” เขาเอ่ยขึ้น
เดิมทียังคิดอยากพูดพร่ำสักหลายประโยค แต่สีหน้าอีกสามคนบนโต๊ะท่าทางรำคาญ
“ไป ไป” หนึ่งในนั้นโบกมือเอ่ยขึ้น
เฒ่าแก่รีบร้อนถอยออกไป
ชายหนุ่มมีหนวดที่เอยชมขนมอร่อยต่างจากสามคนนี้ จิตใจเบิกบานหยิบตะเกียบกินคำโต พลางรินสุรา
“กินกิน ดื่มดื่ม” เขาร้องเรียกอย่างกระตือรือร้น “วันนี้ข้าจ่ายเงิน”
เขาจ่ายเงินเรอะ นั่นเป็นเรื่องหายากจริงเชียว
แต่สามคนบนโต๊ะกลับไม่รู้สึกดีใจมากเท่าไรนัก แล้วก็ไม่ได้รู้สึกยินดี แต่ละคนๆ คิ้วขมวดกลัดกลุ้มอยู่บ้าง
“ข้าว่าเบื้องบนพวกเจ้าที่แท้มีหนังสืออนุญาตหรือไม่?” ผู้ชายอ้วนเตี้ยอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงเบา
ผู้ชายมีหนวดที่กำลังเคี้ยวเนื้อพะโล้อยู่ ใช้สุราถ้วยหนึ่งให้เนื้อไหลลื่นลงไป
“คำพูดนี้ของเจ้าดูถูกคนเล้ว” เขาว่า “หัวหน้าของพวกข้านั่นเป็นบุคคลใด? หนึ่งวาจาเอื้อนเอ่ย สี่อาชายากตามกลับคืน วันนี้พูดว่าจะตัดฟืนแปดสิบท่อน พรุ่งนี้ก็ขาดไม่ได้แม้แต่ท่อนดียว”
เฒ่าแก่ผู้นั่งยองๆ อยู่ข้างเตาไฟร้องโอ้ในใจ ที่แท้เป็นคนตัดฟืนรึ?
เห็นชัดว่าเป็นกิจการใหญ่ อย่างน้อยกับสามคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ สีหน้าของพวกเขาก็จริงจังยิ่งนัก
“เงินพวกเราล้วนมอบให้ได้ พวกเราต้องการของ พวกเจ้าต้องระวังความปลอดภัยหน่อย” ผู้ชายอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “อย่าถ่วงเวลาให้นานนัก”
“ก็บอกแล้วว่าไม่มีทาง”ผู้ชายมีหนวดสบถทีหนึ่ง “หัวหน้าของพวกเรานั่นเป็นผู้ใด จะทำเรื่องไม่รักษาสัจจะเช่นนี้ได้อย่างไร”
“หัวหน้าพวกเจ้าที่แท้เป็นบุคคลใด เจ้านับถือเขาขนาดนี้?” ผู้ชายอีกคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยถามอย่างสงสัย
ผู้ชายมีหนวดสีหน้าเต็มไปด้วยความชื่นชม
“เขาเป็นคนผู้ร้ายกาจเป็นที่หนึ่งของใต้หล้า” เขาเอ่ยขึ้นเป็นจริงเป็นจัง
“ข้าไม่สนหรอกว่าเขาร้ายกาจเป็นที่หนึ่งหรือร้ายกาจเป็นที่สอง ขอแค่ส่งมอบของที่ข้าต้องการตามเวลา” ผู้ชายอ้วนเตี้ยขมวดคิ้วหน้าบึ้งเอ่ยขึ้น
“หลิวสื่อ เจ้าดูหัวใจดวงนี้ของเจ้าสิ ทำการค้า ใจกว้างหน่อย” ผู้ชายมีหนวดถือตะเกียบ ยื่นมือตบหัวไหล่ของเขาเอ่ยขึ้น
ฝ่ายที่ถูกเรียกว่าหลิวสื่อยังไม่ทันเอ่ยคำพูด มือที่ตกลงมาบนหัวไหล่เขาก็ยกขึ้นไปทิศหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ตะเกียบสองข้างราวกับศรคมบินหายไปในความมืด
เสียงปึกเหมือนชนเข้ากับกำแพงข้างถนน
“ออกมาซะ” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น คนก็หันไป
เขาไม่ได้ลุกขึ้นยืน เพียงแต่นั่งวางมาด มองไปทิศทางหนึ่ง
“ลับๆ ล่อๆน่าเกลียดนักก็ไม่ใช่หลบได้ชาญฉลาดมากเท่าไร” เขาเอ่ยต่อ
ผู้ชายอีกสามคนที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะลุกขึ้นยืนเคร่งเครียด
ใคร?
คุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านหลังประตูบ้านหลังหนึ่งก็ร่างเกร็งเครียดเช่นกัน มองตะเกียบสองข้างที่ตกอยู่ไม่ไกลผ่านราตรีมืดสลัว
ตะเกียบหักตกกระจาย
เห็นได้ว่าแรงที่เขวี้ยงออกมามากปานใด หากเป็นคนล่ะก็ คิดว่าคงทะลุเนื้อเข้าไปแล้ว
นางกลั้นลมหายใจนิ่งไม่ขยับ ในเวลาที่ทำให้คนหายใจไม่ออกนี่เอง ในที่สุดเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้นในหู คนห้าหกคนปรากฏตัวขึ้นกะทันหันท่ามกลางความมืดของถนนใหญ่
ในใจคุณหนูจวินพรูลมหายใจ คนยังคงกลั้นหายใจนิ่งไม่ขยับเหมือนเดิม
“ใคร?”
มองคนหลายคนนี้ล้อมเข้ามา ผู้ชายสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังร่างชายมีหนวดสีหน้าตะลึงงันเอ่ยถาม
“ยังเป็นใครได้ เจอหน้าก็ชักอาวุธออกมา เห็นอยู่ว่าไม่ใช่คนดีอะไร” ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น
เสียงตึงตังด้านนั้น ที่แท้เป็นเฒ่าแก่แผงลอยสับเท้าวิ่งไปแล้ว
และในเวลาเดียวกันนี้แผงลอยอีกสองร้านที่สว่างอยู่บนถนนก็ดับโคมเช่นกัน ถนนเส้นนี้พริบตาเหลือเพียงคนของพวกเขาสองฝั่งประจันหน้ากัน
“เห็นไหม นี่ก็คือนิสัยของคนเมืองหลวง” เสียงของผู้ชายมีหนวดติดจะชื่นชมอยู่บ้าง “เรื่องของยุทธภพทำอย่างยุทธภพ ไม่มีทางพบเรื่องเล็กน้อยก็ตกใจโหวกเหวกโวยวาย ที่แท้เมืองใหญ่ก็เห็นเรื่องใหญ่จนคุ้นแล้ว”
เวลานี้เจ้ายังมีกะจิตกะใจวิจารณ์ผู้อื่นอีก?
ผู้ชายสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาสีหน้ายุ่งเหยิงราวกับไม่รู้ควรจะตอบสนองอย่างไร
“สหายพวกท่านคิดจะทำอะไร?” ผู้ชายอ้วนเตี้ยตะโกนเสียงสั่น “เข้าใจผิดอะไร?”
ฝั่งนั้นไม่ตอบคำถาม ผู้ชายมีหนวดก็สบถทีหนึ่งอีก
“เจ้าตาบอดรึไง จะคิดทำอะไรได้เล่า? เอาดาบหั่นเนื้อให้เจ้า ปรนนิบัติเจ้าดื่มสุรารึ?” เขาเอ่ยขึ้น ถลึงตามองสามคนนี้อีกครั้ง “บอกให้พวกเจ้าระวังหน่อย พวกเจ้าเข้าเมืองก็ถูกพบแล้วใช่หรือไม่? นำทางศัตรูตระกูลฝั่งตรงข้ามของพวกเจ้าตามมาด้วยแล้ว?”
ใช่ ใช่รึ?
“ค้าขายเช่นนี้เป็นเรื่องไม่อาจเปิดเผยแต่ก็เย้ายวนคน ก็บอกกับพวกเจ้าก่อนแล้วกี่ตระกูลแย่งกันทำอยู่ พวกที่ทำงานสายนี้อย่างพวกเจ้าคนไหนไม่ใช่คนเหี้ยม? จัดการปัญหาเรียบง่ายป่าเถื่อน จัดการพวกเจ้า กิจการก็เป็นของพวกเขาแล้ว” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น
จริง จริงด้วย
สีหน้าสามคนไม่สงบทั้งยิ่งหวาดกลัวเพิ่มหลายส่วน
“ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นทำอย่างไร?” คนหนึ่งเอ่ยถาม
“ยังดีข้าคนนี้เป็นคนยึดถือกฏเกณฑ์และคุณธรรม” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น “ในเมื่อพวกเจ้าทำการค้ากันแล้ว พวกเราย่อมเป็นพวกเดียวกัน”
เขาพูดพลางยื่นมือชักดาบเล่มหนึ่งบนหลังออกมา คนก็ลุกขึ้นยืน
“ข้าฟันพวกเขาเอง”
สามคนโล่งใจ ยังไม่ทันเอ่ยปาก ผู้ชายมีหนวดก็หันกลับมาอีกครั้ง
“แต่ พวกเจ้าต้องจ่ายเงินนิดหน่อย” เขาว่า
คุณหนูจวินที่ยืนอยู่มุมกำแพงกลอกตาอยู่ในความมืด
ฮ่ะฮ่ะ
นางเอ่ยขึ้นในใจ
รู้อยู่แล้วเชียว
นางรู้แต่สามคนนั้นเห็นได้ชัดว่าตอบสนองไม่ทันอยู่บ้าง
“เพื่อ เพื่ออะไร?” ผู้ชายอ้วนเตี้ยหลุดปากเอ่ยถาม
ไม่ได้บอกว่ากฏเกณฑ์กับคุณธรรมอะไรรึ…กฏเกณฑ์และคุณธรรมยังต้องจ่ายเงินด้วยรึ?
“พวกเจ้าก็รู้กฏเกณฑ์ของพวกเรา” ผู้ชายมีหนวดสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเรานอกจากตัดฟืน ตัดอย่างอื่นล้นต้องคิดเงิน ข้าถึงไม่ผิดต่อดาบของข้า รวมถึงกฎของหัวหน้าของพวกกเรา”
เช่นนี้รึ
“พวกเจ้าคิดดูอีกทีก็ได้…” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น เก็บดาบถึงกับท่าทางเหมือนจะเสียบกลับไป
ต่อให้ร้องโวยวายเสียงดังดึงทหารตรวจการณ์เมืองมาก็ไม่กล้ารับประกันว่าทหารตรวจการณ์เมืองจะมาทันช่วยพวกเขาจากคมดาบหรือไม่
ต่อให้วิ่งหนี ก็วิ่งไม่พ้นอีก
ผู้ชายสามคนมองผู้มาเยือนที่เงียบงันไร้เสียงราวกับภูตผีบีบเข้ามาใกล้ทุกที โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธที่แวววาวอยู่ในมือพวกเขา รู้สึกเพียงขนหัวลุก
นี่ย่อมไม่ใช่เวลาจะคิดหรือพิจารณาแล้ว
“ตกลง ตกลง จ่ายเงิน” พวกเขารีบร้อนเอ่ย
“ถ้าเช่นนั้นก็ตามกฎ รวมถึงคนเหล่านี้…” ผู้ชายมีหนวดเอ่ยขึ้น ประเมินบรรดาผู้ชายที่บีบเข้ามาใกล้เหมือนกับประเมินสินค้าอย่างหนึ่ง “ฝีมือไม่เลว อาวุธก็ไม่เลว แม้นับไม่ได้ว่าเป็นของชั้นดี แต่ชั้นกลางก็ใกล้เคียง ถ้าอย่างนั้นเก็บพวกเจ้าคนละห้าร้อยตำลึงแล้วกัน”
เขาพูดจบก็หันหน้าไปมองผู้ชายสามคนนี้
“จ่ายสดหรือว่าจดบัญชีไว้”
พี่ใหญ่!
ขอเหอะ!
“จ่ายสด!” ชายสามคนใกล้จะร้องไห้อยู่แล้ว พวกเขาเอ่ยขึ้นพร้อมเพรียง พลางควักตั๋วเงินในแขนเสื้อออกมาสั่นเทิ้ม “จ่ายสด”
ผู้ชายมีหนวดรับตั๋วเงินไปคลี่ออก เหมือนยังจะส่องกับโคมดูสักหน่อย
“พี่ใหญ่!” ผู้ชายสามคนร้องตะโกนพร้อมกัน คนก็ถอยหลบไปข้างหลังด้วย
ผู้ชายห้าหกคนนั้นบีบเข้ามาใกล้แล้ว อาวุธในมือฟันมาหาพวกเขาพร้อมกัน
ผู้ชายมีหนวดไม่ได้ก้มตัวหลบ ยัดตั๋วเงินเข้าไปในอกเสื้อ คนหนึ่งก้าวก้าวเข้าไปเผชิญหน้า ดาบในมือฟันเข้าไปตรงๆ
เสียงเคร้งดังขึ้น อาวุธปะทะกันเกิดประกายไฟแถบหนึ่ง
……………………………………….