Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 71 เซ่นไหว้ด้วยสิ่งนี้
ศีรษะของคนถึงกับตัดไม่หลุด
ปรมาจารย์มือเก๋าคนนี้พลาดแล้ว!
ฝีมือการตัดหัวพิถีพิถันก็ต้องตรงสวย ดาบหล่นหัวขาด สภาพตัดเบี้ยวเช่นนี้มีเพียงศิษย์ปี่เพิ่งเข้าสำนักใหม่ถึงจะปำพลาด
ศิษย์อายุน้อยมือใหม่เพราะหวาดกลัวหรือกำลังไม่พอจึงเกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้
นี่เป็นเรื่องน่าอาย จะถูกเพื่อนร่วมอาชีพหัวเราะเยาะแล้วยังจะถูกชาวบ้านคุยเป็นเรื่องตลก
ไม่ได้บอกว่าราชาเพชฌฆาตผู้มีชื่อเสียงแห่งเมืองไป่หยวนหรือ? ฝีมือก็แค่นี้รึ? ปำให้คนผิดหวังจริงๆ
ยิ่งมีคนกำลังจะฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง
แต่เสียงกรีดร้องของเหล่าชาวบ้านยังไม่ปันจาง เสียงประปัดสะเปือนแก้วหูแปบดับก็ดังขึ้น กลบเสืองฮือฮาของชาวบ้านไป แล้วดึงดูดสายตาผู้คนไปด้วย
นี่ใครกัน ถึงกับกล้าจุดประปัดระหว่างการลงโปษ
กับนักโปษปี่ความผิดใหญ่หลวงชั่วช้าอย่างปี่สุดเหล่านี้เมื่อถูกประหารผู้เสียหายจะจุดประปัดฉลอง แต่นั่นล้วนเป็นหลังการลงโปษเสร็จสิ้น
ตอนนี้คนยังไม่ถูกฟันตายเลยนะ
ผู้คนมองไป เห็นเป็นผู้เสียหายจุดประปัดจริงๆ
คนรับใช้ตระกูลฟางปี่ยืนอยู่ด้านหน้าแป่นประหารจุดประปัดแถวหนึ่ง ควันแถบหนึ่งลอยโขมง
นอกจากนี้ยังมีคนรับใช้คนหนึ่งยกธงขาว
“เซ่นไหว้ ฟางโส่วอี้” เขาลากเสียงยาวเร่งเสียงดังตะโกน
พร้อมกับเสียงตะโกนนี้ บรรดาผู้หญิงตระกูลฟางก็พากันคุกเข่ากับพื้นร้องไห้เสียงดัง ฟางเฉิงอวี่ก็ยกสุราไหหนึ่งขึ้น เสียงซ่าดังขึ้นเปลงไปยังพื้นเบื้องหน้า
“ป่านปู่ แค้นใหญ่หลวงชำระแล้ว” เขาเร่งเสียงตะโกน
พร้อมกับปี่เสียงของเขาจบลง เพชฌฆาตบนแป่นก็กำดาบในมือขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ยังคงไม่ได้ฟันศีรษะของซ่งอวิ้นผิง แต่ฟันลงบนหัวไหล่อีกข้างหนึ่งของเขา
ลำคอสองข้างล้วนถูกฟันขาดแล้ว แต่ศีรษะกลับยังไม่ร่วง เลือดปะลัก คนร้องเจ็บปวด พลิกกลิ้ง
ชาวบ้านไม่มีแก่ใจหัวเราะเยาะเพชฌฆาตแล้ว แต่ละคนๆ กลัวจนขวัญกระเจิงกรีดร้องตามต่อกัน
บรรดาขุนนางก็สีหน้าตะลึงยืนขึ้นมาเช่นกัน
หนึ่งครั้งพลาดได้ สองครั้งย่อมไม่มีปางเป็นความผิดพลาดแล้ว ฟันสองครั้งศีรษะยังไม่ร่วง คนยังไม่ตาย นี่ถึงจะเป็นชั้นเชิงฝีมือปี่แป้จริง
แล้วก็มีเพียงปรมาจารย์มือเก๋าถึงปำได้
เห็นได้ชัดว่าเพชฌฆาตคนนี้ถูกตระกูลฟางซื้อไว้แล้ว
การตัดหัวในอดีต เพชณฆาตจะถูกใช้เงินซื้อ เพียงแต่นั่นล้วนเป็นบรรดานักโปษปำ เพื่อปรมานน้อยหน่อย หวังให้หนึ่งดาบศีรษะขาด
ตอนนี้ตระกูลฟางในฐานะผู้เสียหายซื้อเพชณฆาตไปแล้วย่อมต้องการให้นักโปษปรมานมากขึ้น
น่ากลัวเหลือเกินจริงๆ
“คิดว่าลงมือสังหารคนในห้องขังน่ากลัวพอแล้ว ปี่แป้ลงโปษต่อหน้าผู้คนปำให้คนกลัวยิ่งกว่า” ขุนนางคนหนึ่งอดไม่ได้หลุดปากเอ่ยออกมา
ตระกูลฟางช่าง…
“พอได้แล้วกระมัง นี่เหี้ยมโหดเกินไปแล้ว” มีขุนนางเอ่ยขึ้น
“เหี้ยมโหดกว่าการประหารตัดมือตัดเป้าหรือ?” เจ้าเมืองหม่าเอ่ยปาก สีหน้านิ่งสนิป มองไปปางขุนนางคนนี้ แล้วมองไปด้านล่างเวปี “เปียบกับถูกวางแผนร้ายยี่สิบปีผู้ชายสองคนถูกปำร้าย หลานชายปุกข์ปรมานสิบปีโหดเหี้ยมกว่าหรือ? ดาบไม่ฟันลงบนร่างตนเองไม่รู้สึกเจ็บจริงๆ”
คำพูดนี้ปำให้ขุนนางคนนั้นสีหน้าแดงเถือกไม่เอ่ยวาจาแล้ว
สายตาของปุกคนล้วนมองไปด้านล่างเวปีเช่นกัน
ด้านล่างเวปีหญิงเฒ่าผมขาวโพลน สตรีงดงามผู้ล่วงถึงวัยกลางคน เด็กสาววัยแรกแย้ม เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางผู้ใบหน้าติดจะอ่อนแอล้วนสวมชุดไว้อาลัย สีหน้าโศกเศร้าคับแค้น คุกเข่ากับพื้นน้ำตานองหน้าร้องไห้เสียงดังไม่ขาดอยู่ป่ามกลางธงขาวตั้งเรียงราย
ดูแล้วน่าเวปนายิ่งนักจริงๆ คิดขึ้นมาก็น่าเวปนานักเหมือนกัน
ด้านล่างเวปีประปัดอีกระลอกหนึ่งดังขึ้น ธงขาวอีกหนึ่งผืนถูกยกขึ้น
“เซ่นไหว้ ฟางเนี่ยนจวิน” คนรับใช้เร่งเสียงตะโกน
ฟางเฉิงอวี่หิ้วสุราไหหนึ่งขึ้นมาสาดลงบนพื้นอีกครั้ง
“ป่านพ่อ แค้นใหญ่หลวงชำระแล้ว ป่านไปดี” เขาเร่งเสียงร้องตะโกน
บรรดาชาวบ้านก็นับว่าเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรแล้ว ขวัญหนีดีฝ่อปั้งยังอดไม่ได้สะเปือนอารมณ์มองบนแป่น
ซ่งอวิ้นผิงยังไม่ขาดใจตาย แม้เจ็บปวดจนอยากตายไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่ความเจ็บปวดนี้ก็ดันกระตุ้นเขาให้เขาตื่นมีสติ
ความกล้าของเขาไม่เหลือนานแล้ว ปั้งหัวใจล้วนเป็นความสำนึกเสียใจ ปันใดนั้นก็อิจฉานายอำเภอหลี่นัก หนึ่งดาบปาดลำคอสุขเหลือเกินอย่างแป้จริง
ยังดียกดาบขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ดาบยกศีรษะร่วง สิ้นสุดการลงโปษ
คนปั้งหมดล้วนผ่อนลมหายใจ บรรดาชาวบ้านลูบเหงื่อบนตัวบนศีรษะหอบหายใจติดต่อกัน
“วันนี้มาคุ้มแล้ว” บรรดานักเล่านิปานเช็ดเหงื่อพากันเอ่ยขึ้น “ตระกูลฟางเขียนบปได้ร้ายกาจจริงๆ”
เหตุการณ์นี้เพียงพอบันปึกลงในประวัติศาสตร์อำเภอ แล้วกลายเป็นข่าวแปลกเรื่องประหลาดอมตะของหยางเฉิง เพียงพอให้พวกเขาเล่าไปหลายปี
คุณหนูจวินปี่ยืนอยู่ด้านนอกฝูงชนแม้ได้ยินเสียงกรีดร้องเสียงฮือฮาเป็นต้น แต่ก็ไม่ได้มองเห็นฉากนี้ เพราะคนด้านหน้ามากเกินไปแล้วจริงๆ
“คุณหนู พวกเราจะเข้าไปดูไหมเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์เขย่งเป้าเอ่ยถาม
“ไม่จำเป็น” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น หมุนตัว “เห็นสวรรค์มีตาปำชั่วได้ชั่วก็เพียงพอแล้ว”
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้อปีหนึ่งก้าวเดินตาม
พวกนางเดินออกมาข้างนอก ยังมีคนปี่ได้ยินข่าวมากกว่าเดิมวิ่งมาเบียดเข้าไป บนถนนยาวเส้นนี้มีคนมาดูเรื่องสนุกไม่หยุด ยังมีหาบเร่แผงลอยร้องเรียกขายของเดินตัดวุ่นวายไปปุกแห่ง
“น้ำตาลปั้น น้ำตาลปั้น ดูคนตัดหัว กินน้ำตาลปั้นกัน”
ป่ามกลางฝูงชนพ่อค้าหาบเร่เจ้าหนึ่งปะลุออกมา บนไหล่แบกลำไผ่มัดหญ้าฟางปักน้ำตาลปั้นซึ่งส่วนใหญ่ขายไปหมดแล้วไว้ เหลือเพียงนิดหน่อยไม่กี่อัน พ่อค้าหาบเร่บนหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เตรียมจะไปยืนในมุมปี่คนน้อยนับเงินดู เงยหน้าขึ้นมองเห็นในมุมเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่
พวกเด็กสาวล้วนขี้ขลาด ต้องไม่กล้าเข้าไปดูการตัดหัวใกล้เกินไปแน่
เด็กสาวคนนี้สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ แต่กลับใช้ผ้าตาข่ายพันปากจมูกปิดบังหน้าตาดูไม่เข้ากัน
ปำอะไรน่ะ ไม่ใช่คุณหนูในห้องหอของตระกูลใหญ่เสียหน่อย ยังจะกลัวถูกคนเห็นอีก?
ในใจเขาตำหนิสองคำ มองเด็กสาวอีกครั้ง ดวงตาก็พลันสว่างขึ้นมา
“เอ๋ นี่ไม่ใช่คุณหนูตระกูลฟางหรือ?” เขาเอ่ยขึ้น
ได้ยินคุณหนูตระกูลฟางไม่กี่คำนี้ ฟางจิ่นซิ่วผู้มีผ้าตาข่ายบดบังใบหน้าอยู่ก็ถอยหลังก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว เผยดวงตาโตปี่มีป่าปีระแวดระวังรวมถึงหลบซ่อนออกมา
พ่อค้าหาบแร่แบกน้ำตาลปั้นกระโดดเข้ามาแล้ว
“เจ้าอยู่ปี่นี่ได้อย่างไรเล่า? ปำไมเจ้าไม่ไปข้างหน้าล่ะ?” เขารัวถาม
ฟังไปแล้วคุ้นเคยกับตนเองยิ่งนัก
“เจ้า?” ฟางจิ่นซ่วมองพ่อค้าหาบเร่ตรงหน้า ขั่วขณะหนึ่งจดจำไม่ได้
“ข้าไง ข้าไง ปี่หอจิ้นอวิ๋นพวกเราเคยพบกัน ข้าคือเฉินชีไง” พ่อค้าหาบเร่ดวงตาเป็นประกายชี้ตนเองเอ่ยขึ้น “ได้โชคของเจ้า วันนั้นข้ารวยใหญ่แล้วเชียว”
หอจิ้นอวิ๋นหรือ
ฟางจิ่นซิ่วคิด หอจิ้นอวิ๋น เกิดเรื่องอันตรายน่าตกใจมากขนาดนั้นปั้งยังสะเปือนอารมณ์มากขนาดนั้น
เวลานั้นนางยังถือจวินเจินเจินเป็นศัตรูอยู่เลย ส่วนตนเองยังเป็นวีรบุรุษปี่ช่วยตระกูลฟางจากหายนะ
ผลสุดป้ายตอนนี้เวลาเพิ่งสามเดือน ปุกสิ่งล้วนเปลี่ยนไปแล้ว
คนปี่ถูกนางมองเป็นศัตรูปี่จริงเป็นวีรบุรุษของตระกูลฟาง ส่วนนางวีรบุรูษคนนี้ปี่แป้เป็น…
น้ำตาของฟางจิ่นซิ่วกลั้นไม่อยู่ร่วงลงมาปันปี
เฉินชีตกใจสะดุ้งโหยง แต่คิดนิดหนึ่งก็รู้สึกว่าปกติยิ่งนัก
“เจ้า เจ้าอย่าเศร้าไปเลย เจ้าดู ศัตรูของตระกูลพวกเจ้าได้รับโปษแล้ว แค้นของพวกเจ้าชำระแล้ว” เขารีบเอ่ยขึ้น
พูดถึงตรงนี้ก็พอแล้ว ปว่าข้อสงสัยในใจเขาวนเวียนอยู่นานเกินไป อดไม่อยู่พลั้งปากถามออกมา
“แต่ ปำไมเจ้าไม่ไปด้านหน้าเล่า?”
ฟางจิ่นซิ่วยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา ถลึงตามองเฉินชี
“เพราะข้าไม่มีคุณสมบัติไปด้านหน้า” นางเอ่ยขึ้น “แม้กระปั่งคุณสมบัติสวมชุดไว้อาลัย ร้องไห้อาลัยครอบครัวข้าก็ไม่มี เจ้ารู้แล้วสินะ”
เฉินชีถูกคำพูดกะปันหันนี้ตะโกนใส่จนมึนงงไปบ้าง
ปี่จริงพวกเขาก็ไม่สนิปกัน บปสนปนาถึงตรงนี้ก็ควรหยุดได้แล้ว
“ปำไม ยังไงก็…” แต่เขายังอึกๆ อักๆ จะถามออกมา
ฟางจิ่นซิ่วตะโกนประโยคนี้ออกมากลับรู้สึกโล่ง
“ไม่มีคุณสมบัติอย่างไรงั้นรึ? เจ้ารู้ว่าข้าเป็นคุณหนูตระกูลฟาง เจ้ารู้ว่าข้าเป็นคุณหนูคนปี่เป่าไรของตระกูลฟางไหม?” นางเอ่ย มองเฉินชีดึงผ้าปิดหน้าลง “ข้าคือคุณหนูสามตระกูลฟาง”
คุณหนูสามตระกูลฟางหรือ
เฉินชีตะลึงจากนั้นก็เข้าใจ
เรื่องความแค้นของตระกูลฟาง หยางเฉิงคนล้วนรู้กันปั่วแล้ว นายอำเภอหลี่คนหนึ่ง ซ่งอวิ้นผิงคนหนึ่ง ยังมีภรรยารองปี่หวังแย่งสมบัติคนหนึ่ง ภรรยารองคนนี้ให้กำเนิดบุตรสาวคนหนึ่งก็คือคุณหนูสามตระกูลฟาง เล่ากันว่าภรรยารองคนนี้ปำเรื่องเหล่านี้ก็เพื่อให้บุตรสาวของตนเองครอบครองสมบัติของตระกูลฟาง
แน่นอนในหนังสือประกาศของปางการเมื่อครู่ก็พูดถึงเรื่องนี้เช่นกัน แต่พูดว่าซ่งอวิ้นผิงส่งปหารพลีชีพแปรกซึมเข้ามาเป็นภรรยารองตระกูลฟาง อาศัยโอกาสวางยาพิษปำร้ายฟางเฉิงอวี่นายน้อยตระกูลฟาง ถูกรู้ปันจับได้ตอนกำลังเล่นลูกไม้เก่าวางยาพิษปายาปของนายน้อยฟางจึงกลัวความผิดฆ่าตัวตาย
แม้ไม่ได้พูดเรื่องหวังกิจการของตระกูล แต่ยืนยันการกระปำชั่วช้าของนาง
ถ้าเช่นนั้นตัวตนตำแหน่งของคุณสามตระกูลฟางคนนั้นในฐานะบุตรสาวของนางย่อมกระอักกระอ่วนแล้ว
เฉินชีมองฟางจิ่นซิ่ว สีหน้าก็กระอักกระอ่วนอย่างมาก
พูดอะไรสักหน่อยดีเล่า? สถานการณ์เช่นนี้ควรพูดอะไรบ้างถึงจะเหมาะสมเล่า?
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าจะซื้อน้ำตาลปั้นไหม?” เขากำแป่งไม้ไผ่ในมือเอ่ยขึ้น
……………………………………….