Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 72 ปล่อยตามใจสักพัก
ฟางจิ่นซิ่วหันหน้าจากไป
เฉินชีกระแอมสองทีรีบไล่ตาม
ฟางจิ่นซิ่วไม่สนใจเขาก้มหน้าเดินก้าวไว
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” เฉินชีตามติดไม่ห่าง รีบร้อนเอ่ยขึ้น “ข้าพูดผิดแล้ว”
เขาพูดพลางยื่นลำไม้ไผ่ในมือส่งไป
“ข้าเลี้ยงน้ำตาลปั้นเจ้า เจ้าอย่าโกรธเลยนะ” เขาว่า
ฟางจิ่นซิ่วหวิดถูกมัดหญ้าฟางบนลำไม้ไผ่จิ้มหน้าเข้า ไม่อาจไม่หยุดเท้า
“เจ้าทำอะไร?” นางยื่นมือปัดแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์
มัดหญ้าฟางถูกปัดออก เฉินชีชั่วขณะหนึ่งจับไม่แน่น ลำไม้ไผ่ตกลงบนพื้น น้ำตาลปั้นด้านบนร่วงกระจายเต็มพื้นไปด้วย
“นี่มันเงินทั้งนั้นนะ” เขาร้อง คนก็นั่งยองๆ ลงไปรีบร้อนเก็บ ใบหน้าเจ็บปวดใจ
น้ำตาลปั้นอันหนึ่งจะกี่อีแปะกันเชียว ที่ตกพื้นอยู่นี่ก็แค่เจ็ดแปดอันเท่านั้น มีอะไรให้ปวดใจกัน
ฟางจิ่นซิ่วเบะปาก
ไม่ใช่แค่เงินรึ
นางคลำเอวโดยไม่รู้ตัว ถุงเงินที่นางพกติดตัวประจำทุกวันข้างในเงินมากนัก
แต่ที่ๆ คลำไปถึงว่างเปล่า คนก็ได้สติกลับมาด้วย
นางไม่ใช่คุณหนูสามของเต๋อเซิ่งชางที่เอวคล้องพวงเงิน โยนครั้งหนึ่งพันตำลึงคนนั้นอีกแล้ว
ฟางจิ่วซิ่วก้มหน้าลงจะก้าวไวๆ วิ่งออกไป กลับเห็นเฉินชียังคงนั่งยองอยู่บนพื้นเก็บน้ำตาลปั้น ปากก็ขมุบขมิบส่งเสียงไม่หยุด
“ครั้งหนึ่งก็เพิ่งได้เงินน้ำตาลปั้นเจ็ดแปดชิ้นนี้เอง น่าเสียดายจริงๆ แล้ว น่าเสียดายแล้ว ข้าทำตั้งนานแหนะ” เขาเอ่ยพึมพำกับตนเอง
ฟางจิ่นซิ่วหยุดฝีเท้า
“ข้าไม่ได้โกรธเจ้า” นางว่า แล้วก็ชะงักไปครู่หนึ่ง “ขอโทษด้วย”
เฉินชีเงยหน้ายิ้ม
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เจ้าไม่โกรธก็ดีแล้ว” เขาว่า เอาน้ำตาลปั้นปักไว้บนมัดหญ้าฟางทีละอันๆ ให้ดี มองซ้ายมองขวาแล้วก็ขยิบตาให้นางอีกครั้ง “ยังขายต่อได้อีก”
ฟางจิ่นซิ่วอึ้งเล็กน้อย
“นี่จะขายอีกได้อย่างไรเล่า สกปรกหมดแล้วนะ”
เฉินชีเป่าลมใส่น้ำตาลปั้นสั้นๆ
“สกปรกที่ไหน ไม่สกปรกเลยสักนิด” เขาว่า
คนผู้นี้ทำไมเป็นเช่นนี้นะ ฟางจิ่นซิ่วกลอกตา แต่โวยวายไปเมื่อครู่นี้ความหงุดหงิดก็คลายไปไม่น้อย นางก้มศีรษะเดินไปข้างหน้าต่อ
“ถ้าอย่างนั้น ตอนนี้เจ้า เป็น เป็นอย่างไรแล้ว?” เฉินชีไล่ตามไปเอ่ยถาม
“ก็ไม่ยังไง” ฟางจิ่นซิ่วไม่ใคร่จะใส่ใจ
เฉินชีมองห่อผ้าน้อยบนหัวไหล่ของนางจุ๊ปาก
“ที่จริงถูกไล่ออกมาก็ดี ออกมาอย่างไรก็อิสระกว่า” เขาว่า
“ข้าไม่ได้ถูกไล่ออกมา” ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองเขาเอ่ยขึ้น “เป็นข้าต้องการจากมา”
เฉินชีมองนางส่งเสียงอ้อสองที
“เจ้าเชื่อไม่เชื่อก็ช่าง” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย ไม่มองเขาอีกก้าวไวๆ ไปข้างหน้า
เฉินชีรีบไล่ตามไปอีกครั้ง
“ข้าเชื่อสิ” เขาว่า “เจ้าพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้ ย่อมไม่ใช่คนที่ถูกตระกูลฟางไล่ออกมา”
ฝีเท้าของฟางจิ่นซิ่วชะงักไปเล็กน้อยครู่หนึ่งก็ก้าวเดินอีกครั้งไม่พูดไม่จา
เฉินชีแบกน้ำตาลปั้นตามนางทะลุผ่านฝูงชนที่ยังทะลักมา
“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้เจ้าคิดจะทำอย่างไร? เจ้าจะไปที่ไหน?” เขาเอ่ยถาม
ฟางจิ่นซิ่วหยุดฝีเท้า
“นี่เกี่ยวอะไรกับเจ้า?” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เฉินชีหัวเราะหึหึ
“เจ้าดูสินี่ไม่ใช่พวกเราบังเอิญรู้จักกัน แล้วยังบังเอิญพบกัน ตอนนี้เจ้าตัวคนเดียว อย่างไรข้าก็ต้องเป็นห่วงอยู่บ้างสิ” เขาว่า
“ไม่จำเป็น ข้ากับเจ้าก็ไม่ได้สนิทกัน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย เดินหน้าต่อ
เฉินชีรีบตามไป
“ญาติพี่น้องมิตรสหายคงไปพึ่งพิงไม่ได้แล้วสินะ? เจ้าจะไปจากหยางเฉิงไหม?” เขาเอ่ยถามต่อ
คนผู้นี้น่ารำคาญนัก
ฟางจิ่นซิ่วเดินไปไม่สนใจ
ไปไหน ที่จริงนางเองก็ยังไม่ได้คิด แต่เฉินชีพูดถูก นางไม่มีทางไปพึ่งพิงญาติพี่น้องมิตรสหาย และหยางเฉิงก็อยู่ไม่ได้แล้วเหมือนกัน
ตั้งแต่เล็กที่นางร่ำเรียนมากที่สุดก็คือกิจการของร้านแลกเงิน ไม่สู้ไปที่อื่น ไปยังร้านแลกเงินในสถานที่ซึ่งไม่รู้จักนางหางานทำเถอะ
“เจ้าตัวคนเดียวเดินทางไหวหรือเปล่าน่ะ อย่างไรเจ้าก็เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง” เฉินชีอยู่ด้านข้างพูดอยู่คนเดียว
“ก่อนหน้านี้ข้าเดินทางข้างนอกเองอยู่บ่อยๆ ข้าไม่ใช่ไม่เคยออกจากบ้าน” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เฉินชีส่ายหน้า
“นั่นไม่เหมือนกัน” เขาว่า “คุณหนูสามตระกูลฟางออกจากบ้าน กับเด็กสาวคนอื่นออกจากบ้านไม่เหมือนกันนะ”
ย่อมต้องมีผู้คุ้มกันแน่นหนา รถม้าแข็งแรง คนยังไม่มาชื่อก็ตะโกนออกไปแล้ว คนไม่เกี่ยวข้องล้วนถอยหลีก
เท้าของฟางจิ่นซิ่วชะงักลงเล็กน้อยอีกครั้ง
“คุณหนูสามตระกูลฟางก่อนหน้านี้ ออกจากบ้านครั้งแรกก็ไม่คุ้นชินเช่นกัน หวาดกลัว ปรับตัวไม่ได้” นางว่า มองเฉินชี “เรื่องอะไรครั้งแรก ยามเริ่มต้นล้วนไม่คุ้นชิน ล้วนหวาดกลัว แต่ทำมากเข้า คุ้นชินก็สบายแล้ว”
เฉินชีมองนาง สีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยจากนั้นก็ยิ้มพยักหน้าให้นาง
“ไม่ว่าเป็นหรือไม่เป็นคุณหนูสามตระกูลฟาง เจ้าก็ยังเป็นเจ้า” เขาว่า
ฟางจิ่นซิ่วแค่นเสียงเหอะ
“พูดเหมือนเจ้าคุ้นเคยกับข้านัก” นางว่า
เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“คนบางคนก็พานพบครั้งหนึ่งดุจมิตรสหายเก่าแก่เช่นนี้” เขาว่า
ฟางจิ่นซิ่วกลอกตาอีกครั้ง กำลังจะก้าวเดิน สีหน้าของนางก็ตะลึงไป
เฉินชีมองตามไป เห็นฝั่งตรงข้ามถนนมีผู้หญิงสองคนยืนอยู่ ในนั้นคนหนึ่งท่าทางเหมือนสาวใช้ในมือถือของกินกองพะเนิน ในปากยังเคี้ยวจนแก้มตุ่ย นางมองมาทางด้านนี้เช่นกัน ดวงตาฉับพลันเบิกกลม
“อื้ออื้อ” ในปากนางยัดไว้เต็มไม่อาจเอ่ยวาจาได้ ยื่นมือชี้มาส่งเสียงในคอ
คุณหนูจวินมองข้ามมา สบสายตากับฟางจิ่นซิ่ว
เรื่องของฟางจิ่นซิ่วนางฟังหลิ่วเอ๋อร์เล่าทีหลัง ส่วนเรื่องที่นางหยวนเป็นตัวตั้งตัวตีกล่อมฟางจิ่นซิ่วออกจากตระกูลฟาง เช้าวันนี้ฟางเฉิงอวี่ก็บอกนางแล้วเหมือนกัน
กับฟางจิ่นซิ่ว นางก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
นี่ช่างเป็นโชคชะตากลั่นแกล้งคนจริงๆ
แม้เชื่อว่าสวรรค์มีความยุติธรรม แต่ก็อดทอดถอนใจสักประโยคไม่ได้ ฟางจิ่นซิ่วโชคร้ายเหลือเกินจริงๆ
หลิ่วเอ๋อร์วิ่งเข้ามาแล้ว คุณหนูจวินก็เดินตามเข้ามา
คุณหนูจวินมองฟางจิ่นซิ่ว ฟางจิ่นซิ่วก็มองนางทีหนึ่งแล้วเคลื่อนสายตาหลบไป
เฉินชีจดจำได้อยู่เลือนรางว่าเด็กสาวคนนี้ก็เคยเห็นที่หอจิ้นอวิ๋นมาก่อนเช่นกัน ดูท่าคงเป็นคนตระกูลฟางกระมัง
เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกระอักกระอ่วน ลังเลว่าจะพูดสักประโยคคลายบรรยากาศสักหน่อยดีหรือไม่ สาวใช้ที่พยายามกลืนของกินลงไป ในที่สุดปากก็ว่าง ส่งเสียงออกมา
“เจ้าทำอะไรอยู่ที่นี่?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม มองฟางจิ่นซิ่ว
ฟางจิ่นซิ่วย่อมไม่สนใจนาง สายตาของหลิ่วเอ๋อร์หยุดลงบนร่างเฉินชีต่อ
เฉินชีฉีกยิ้มให้นาง หลิ่วเอ๋อร์เบะปากรังเกียจเคลื่อนสายตาหลบ มองน้ำตาลปั้นที่เฉินชีหาบอยู่ ท่าทางฉุกคิดเข้าใจขึ้นมาอยู่บ้าง
“อ้อ” นางว่า “เจ้าอยากซื้อน้ำตาลปั้นใช่หรือไม่ ไม่มีเงินรึ?”
เรื่องที่ฟางจิ่นซิ่วออกจากตระกูลฟางหลิ่วเอ๋อร์ย่อมรู้เช่นกัน แต่นางไม่ได้เข้าใจว่าจากไปแต่เป็นถูกไล่ออกไป
คุณหนูสามฟางที่ถูกไล่ออกไปย่อมไม่มีเงินสักอีแปะ
ฟางจิ่นซิ่วกลอกตาไม่สนใจนาง หลิ่วเอ๋อร์ก็กลอกตาไม่ได้อยากให้นางสนใจตน เปิดถุงเงินส่งให้เฉินชี
“น้ำตาลปั้นนี่ของเจ้า ข้าซื้อแทนนางทั้งหมด” นางเอ่ยเสียงดัง
เฉินชีมองถุงเงินที่ส่งมา ดวงตาสว่างวาบ ยื่นมือไปรับ
“ได้ขอรับ ได้ขอรับ” เขาเอ่ยอย่างดีใจ
ฟางจิ่นซิ่วยกมือขึ้นตีบนมือเขา ถุงเงินร่วงลงบนพื้น เฉินชีหดมือกลับไป
“ไม่ซื้อก็ไม่ซื้อสิ ทำไมต้องตีคนด้วยเล่า” เขาเอ่ยขัดเขิน
ฟางจิ่นซิ่วไม่สนใจหลิ่วเอ๋อร์กับคุณหนูจวิน เดินผ่านพวกนางเข้าไปในตรอกเล็กแห่งหนึ่ง
เฉินชีแบกน้ำตาลปั้น มองถุงเงินบนพื้น ในที่สุดก็รีบตามไป
“ไม่รู้จักเจตนาดีจริงๆ” หลิ่วเอ๋อร์โกรธกระทืบเท้า เก็บถุงเงินบนพื้นขึ้นมา
ส่วนคุณหนูจวินมองฟางจิ่นซิ่วหายลับไปในตรอกจึงรั้งสายตากลับมา
“คนขายน้ำตาลปั้นนั่นตามนางทำไม? นางมีเงินรึ?” หลิ่วเอ๋อร์ก็มองตามไปเหมือนกัน มองเห็นน้ำตาลปั้นที่เฉินชีแบกอยู่ชูสูงสะบัดทีหนึ่งลับไปไม่เห็น
“ไม่ใช่ต้องการขายน้ำตาลปั้นให้นาง” คุณหนูจวินว่า “คนขายน้ำตาลปั้นคนนี้รู้จักกับนาง
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ๋อ
คุณหนูจวินยกเท้าเดินไปข้างหน้า นางรีบติดตามไป ต่างกับเมื่อครู่ที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้ว เงียบสนิทไปอยู่ครู่หนึ่ง
“คุณหนู” นางเดินตามติดหลายก้าว ลังเลอยู่บ้างก็เอ่ยปาก “ถ้าไม่เช่นนั้น ท่านพูดสักคำให้นางกลับมาเถอะ คำพูดที่ท่านพูด คนตระกูลฟางต้องฟังแน่”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว ยื่นมือลูบศีรษะหลิ่วเอ๋อร์
“หลิ่วเอ๋อร์เป็นคนดีรู้จักบุญคุณต้องทดแทนจริงๆ” นางเอ่ยชม
“ข้าย่อมเป็นคนดีที่รู้จักบุญคุณต้องทดแทนแน่นอนอยู่แล้ว” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยขึ้นดั่งแน่นอนอยู่แล้ว “คนที่ว่าข้าไม่ดีล้วนตาบอดแล้วล่ะ”
คุณหนูจวินยิ้มอีกครั้ง
“แต่ข้าไม่อาจให้นางกลับไปได้” นางเอ่ยขึ้น เก็บรอยยิ้มสีหน้าจริงจัง “แบบนั้นย่อมทำให้นางลำบาก นางก็เป็นเด็กดีคนหนึ่ง ให้นางเป็นอิสระทำตามใจสักพักเถอะ เช่นนี้นางถึงใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้บ้าง พอปลอบประโลมได้สักนิด”
……………………………………….