Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 73 คนที่ไม่ควรปรากฏตัว
ให้นางกลับไปคือทำให้นางลำบาก?
หลิ่วเอ๋อร์ก็เข้าใจได้เหมือนกัน
แม้มีคุณหนูอยู่ ไม่มีใครรังแกฟางจิ่นซิ่วได้ แต่มารดาบังเกิดเกล้าของฟางจิ่นซิ่วทำเรื่องเช่นนี้ ทุกคนก็รู้ว่านางไม่เกี่ยวข้อง แต่ในใจยากจะเลี่ยงรู้สึกแย่
ไม่เพียงคนตระกูลฟางที่ในใจรู้สึกแย่ ฟางจิ่นซิ่วใยไม่ใช่?
ถึงแม้คนตระกูลฟางละเว้นนาง ตัวนางเองก็ละเว้นตนเองไม่ลง
เป็นเช่นนี้ ยังไม่สู้หนึ่งดาบตัดขาด ไม่พบหน้าไม่คิดถึง
“นายหญิงผู้เฒ่า ฟางเฉิงอวี่ ยังมีพี่ใหญ่กับพี่รองล้วนคอยลอบมองนางอยู่ลับๆ ไม่ต้องกังวล” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ
คำพูดของคุณหนูไม่ผิดแน่นอน หลิ่วเอ๋อร์เริ่มแย้มยิ้มอีกครั้ง ทิ้งความกังวลนี้ไป
“คุณหนู ท่านลองชิมอันนี้” นางว่า หยิบของกินห่อหนึ่งในมือส่งให้
เมื่อมาถึงตรงนี้ด้านหน้าก็พอดีมีเสียงเอะอะอยู่บ้าง ทั้งสองหยุดฝีเท้ามองไป เวลานี้พวกนางเดินเข้ามาตรงที่จวนที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่แล้ว ด้านในจวนที่ว่าการอำเภอมีขุนนางกลุ่มหนึ่งนำผู้ติดตามเดินออกมา ดูท่าทางกำลังจะขึ้นม้าจากไป
เรื่องของหยางเฉิงครั้งนี้ขุนนางมามากมาย ไม่ใช่ขุนนางทั้งหมดล้วนต้องการไปตรวจตราการประหาร ทุกคนจากมาเป็นเวลาไม่น้อยแล้ว เรื่องราววันนี้ล้วนสิ้นสุดแล้วล้วนทยอยกันจากไป
เพราะชาวบ้านล้วนรวมตัวกันอยู่ที่แท่นประหาร จวนที่ว่าการอำเภอด้านนี้จึงสงบเงียบยิ่งนัก ดังนั้นบรรดาขุนนางเหล่านี้ออกเดินทางจึงไม่ต้องใช้ทหารเปิดทาง ทุกคนหยอกล้อกันสบายๆ ตามใจ
คุณหนูจวินรั้งสายตากลับมาเดินหน้าต่อกับหลิ่วเอ๋อร์ บรรดาขุนนางเหล่านี้รวมถึงผู้ติดตามคนมากมายแต่ไม่วุ่นวายเดินทางไปตามถนน สองฝ่ายเดินสวนกันไป
หลังจากเดินผ่านกับคนบนม้าได้สองสามคน คุณหนูจวินก็ชะงักเท้ากะทันหัน ราวกับคิดได้ว่าใครฉับพลันหมุนตัวไป
สายตาของนางหยุดอยู่บนร่างของคนบนม้าที่เพิ่งเดินผ่านเมื่อครู่
หลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้ตั้งตัวเดินเลยไป ถึงเพิ่งรู้สึกกว่าคุณหนูจวินหยุดนิ่งอยู่รีบหันกลับมา
“คุณหนูเป็นอะไรเจ้าคะ” นางเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ
คุณหนูจวินไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่มองคนบนม้ากลุ่มนี้ที่กำลังเดินไปบนถนน
คุณหนูที่แท้ก็แค่อยากดูเรื่องสนุกสินะ ตัดหัวน่ากลัวเกินไปแล้ว ไม่ดูก็ช่าง ขุนนางที่มาจากเมืองเหล่านี้ยามปกติยากจะพบหน้าสักครั้ง พบแล้วก็ยากเลี่ยงอยากมองของหายากสักที
หลิ่วเอ๋อร์ก็มองตามไปเหมือนกัน
ขุนนางเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นขุนนางพลเรือน อายุสามสิบสี่สิบปี เหมือนกับเหล่าขุนนางพลเรือนทั้งหมดมีกลิ่นไอของหนังสือ รวมถึงความน่าเกรงขามที่สนามราชการฝึกออกมา
พวกเขาคุ้นชินกับสายตาของผู้คน ดังนั้นแม้รู้สึกว่าเด็กสาวสองคนริมถนนมองข้ามมา แต่ก็ไม่ได้สนใจสักนิด สายตาไม่เสมองตัวตรงเดินทางไป มีเพียงผู้ติดตามชุดเขียวคนหนึ่งที่มองข้ามมา
สายตาของคุณหนูจวินก็กำลังมองเขาเช่นกัน
นี่เป็นผู้ชายอายุสามสี่สิบปีคนหนึ่ง ผิวหน้าขาวสะอาด เหลือหนวดบางๆ สองเส้นไว้ หน้าตาธรรมดาพกพากลิ่นไอซื่อๆ จริงใจที่ผู้ติดตามทั้งหมดล้วนมี
มองเห็นเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีสองคน เขาก็ไม่ได้สนใจนัก ยื่นมือลูบหนวดสองเส้นรั้งสายตากลับไป
สายตาของคุณหนูจวินเคลื่อนตามเขาไปด้วย พร้อมกันนั้นภายในดวงตาก็ยากปิดบังความประหลาดใจได้
“ทำไมเขามาที่นี่ได้?” นางเอ่ยพึมพำ
หลิ่วเอ๋อร์ได้ยินเข้า
“ใครหรือเจ้าคะ? คนที่คุณหนูรู้จักหรือเจ้าคะ?” นางรีบชะเง้อมองไปทางคนบนม้าที่เดินผ่านไป
“เป็นสหายขุนนางของนายท่านหรือเจ้าคะ?”
ไม่ใช่สหายขุนนางของจวินอิ้งเหวิน
คุณหนูจวินมองข้ามไป เพราะคนผู้นั้นเดิมก็ไม่ใช่ขุนนาง
สายตาของนางจับอยู่บนร่างของผู้ติดตามชุดเขียวคนนั้น
เขาเป็นผู้ติดตาม แต่ไม่ใช่ผู้ติดตามของขุนนางเหล่านี้คนหนึ่งคนใด เขาคือขันทีหยวนเป่า
ขันทีหยวนเป่าไม่ใช่ขันที่ที่มีชื่อเสียงมากมายอะไร ตรงกันข้ามไม่สะดุดตาอย่างยิ่ง ถึงขนาดที่หลังฉีอ๋องขึ้นครองบัลลังค์ก็ไม่ได้ทำงานอยู่ในพระราชวัง
ที่คุณหนูจวินจำเขาได้ก็เพราะตอนฉีอ๋องยังคงเป็นฉีอ๋องอยู่ เข้าเมืองมาเข้าเฝ้าที่วังหลวงไม่กี่ครั้งก็พาเขามาด้วย
เวลานั้นตนเองถูกมารดาลงโทษให้ยืน นางจึงคุกเข่าอยู่ที่ด้านนอกห้องหนังสือของพระบิดาเสียเลย จิ่วหลีปลอบอย่างไรก็ปลอบไม่ได้ หยวนเป่าที่ยืนรอรับใช้อยู่นอกประตูจึงเล่นกลเล็กน้อยไม่กี่อย่างหยอกนางให้หัวเราะ นางพอใจมากให้หยกก้อนหนึ่งเป็นรางวัลแก่เขา ยังถามเขาว่าชื่ออะไร จดจำชื่อของเขาได้
ต่อมาฉีอ๋องขึ้นครองบัลลังค์ ในพระราชวังคนใหม่ผลัดคนเก่า นางยังถามถึงหยวนเป่า
ฉีอ๋องบอกว่าหยวนเป่าร่างกายไม่แข็งแรง ไม่อยากจากภูมิลำเนาเดิม ดังนั้นจึงอยู่ที่ซานตงเฝ้าตำหนักเดิมแล้ว
ผ่านไปหลายปีขนาดนั้น เพราะความประทับใจตอนยังเล็กลึกซึ้ง นางมองทีเดียวก็จดจำหยวนเป่าได้
แม้มีหนวดสองเส้นเพิ่มขึ้นมา แต่เมื่อครู่เขายื่นมือออกมาลูบพอดีบังหนวดไว้ เป็นหน้าตาของหยวนเป่าชัดๆ
นางจำผิดรึ? คนผู้นี้เพียงแค่หน้าตาเหมือนหยวนเป่ามากหรือ? ไม่เช่นนั้นนี่ก็ประหลาดเกินไปแล้ว เฝ้าตำหนักเดิมอยู่ จะวิ่งมาเป็นผู้ติดตามของผู้อื่นได้อย่างไร?
ใครจะใช้ขันทีคนเก่าคนแก่ยามยังไม่ขึ้นครองราชย์ขององค์ฮ่องเต้เป็นผู้ติดตามได้?
หรือเหมือนองครักษ์เสื้อแพรถูกส่งมาสอดส่องขุนนางในท้องถิ่น?
หรือเกี่ยวข้องกับเรื่องราวครั้งนี้ของตระกูลฟาง?
คุณหนูจวินสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ครู่หนึ่ง
“หลิ่วเอ๋อร์” นางเก็บสีหน้าเอ่ยว่า “เจ้าตอนนี้กลับไปรอพวกนายหญิงผู้เฒ่า บอกพวกนางข้ารู้สึกว่ามีบางเรื่องไม่ชอบมาพากล ข้าจะไปดูสักหน่อย อาจกลับช้าไปบ้าง”
หลิ่วเอ๋อร์สีหน้าเคร่งเครียด
“เรื่องอะไรเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม
“เรื่องอะไรข้าก็ยังไม่รู้” คุณหนูจวินว่า
“ถ้าอย่างนั้น ข้าไปเป็นเพื่อคุณหนูนะเจ้าคะ” หลิ่วเอ๋อร์ยิ่งเคร่งเครียดเอ่ยขึ้น “หากมีเรื่องเล่าเจ้าคะ? คุณหนูตัวคนเดียว”
“ข้าจัดการธุระตัวคนเดียวถึงจะสะดวก” คุณหนูจวินเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นอกจากนี้เจ้าไปบอกคนในบ้าน เช่นนี้หากมีเรื่องเกิดขึ้นถึงจะช่วยข้าได้ง่ายขึ้นไงล่ะ”
หลิ่วเอ๋อร์แม้ไม่วางใจ แต่ก็ยังคงพยักหน้าเชื่อฟังคำพูด
“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูท่านระวังหน่อยนะเจ้าคะ” นางว่า
คุณหนูจวินพยักหน้า โบกมือให้นาง หลิ่วเอ๋อร์ยังคงอาลัยอาวรณ์หันไป เดินไปพลางหันมาพลาง มองคุณหนูจวินก้าวไวๆ ไปตามถนนใหญ่
…
“คุณหนูฟาง คุณหนูฟาง”
เฉินชีร้องเรียก มองฟางจิ่นซิ่วที่ยังคงก้าวเร็วไวเดินอยู่ด้านหน้า
ฟางจิ่นซิ่วแสร้งไม่ได้ยิน เฉินชีทำอะไรไม่ได้ เร่งฝีเท้าอ้อมไปด้านหน้านาง ยื่นมือมาขวางไว้
“ทำอะไร?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยอย่างไม่พอใจ “เจ้าตามข้ามาทำอะไร?”
เฉินชีพ่นลมหายใจ
“คุณหนูฟาง เจ้าทะลุตรอกนี้มั่วสั่วที่แท้ต้องการจะไปไหนเล่า?” เขาเอ่ยถาม
ฟางจิ่นซิ่วมองด้านหน้า ด้านนอกปากตรอกคือถนนใหญ่เส้นหนึ่ง
“ข้าจะออกจากเมือง” นางว่า “ข้าจะไปแล้ว”
เฉินชีมองด้านนอก ก็จดจำได้ว่าเป็นถนนใหญ่ที่ออกจากเมือง เขาแหงนหน้ามองสีท้องฟ้า แสงตะวันเอนคล้อย
“คุณหนูฟาง หากท่านจะไปก็อย่าเลือกเวลานี้เลยนะ ท่านออกจากเมืองเดินไปไม่ได้ไกลเท่าไรฟ้าก็มืดแล้ว” เฉินชีเอ่ยขึ้น “ท่านคิดออกว่าจะไปไหนแล้วหรือ? ฟ้ามืดเดินทางถึงที่ไหนถึงพักได้? ท่านจะเดินไปหรือว่าเช่ารถคันหนึ่งล่ะ?”
เรื่องเหล่านี้ฟางจิ่นซิ่วคิดมาก่อนที่ไหน คืนวานดึกดื่นนางออกจากบ้าน นั่งเหี่ยวแห้งตรงมุมถนนอยู่ค่อนคืน เดิมทีตัดสินใจว่าเช้าตรู่ก็จะไป แต่ยังอยากมองเห็นคนชั่วถูกตัดศีรษะ มองดูการเซ่นไหว้ของตระกูล ก็นับว่าทำสุดน้ำใจของบุตรสาวตระกูลฟาง
ส่วนหลังจากนั้นจะไปที่ไหน นางไม่เคยคิดสักนิด
“ยังไงขอเพียงจากไปก็พอแล้ว” นางว่า หนึ่งฝ่ามือผลักเฉินชีออกก้าวไวๆ เดินไปด้านนอก
เฉินชีได้แต่ตามไปอีกครั้ง
“ข้าว่าแม่นางน้อยท่านดูแล้วออกจะฉลาด ทำไมเลอะเทอะเช่นนี้ด้วยเล่า?” เขาว่า “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจออกจากตระกูลฟางแล้ว เจ้าก็เป็นแม่นางน้อยที่มีความคิดเป็นของตนเองคนหนึ่ง เจ้าต้องคิดให้ดีว่าหลังจากนี้จะใช้ชีวิตอย่างไรทำอย่างไร ให้ความสำคัญ เจ้าทำแบบนี้นับเป็นอะไร? พนันรึ?”
เขาพูดพลาง ศีรษะก็ชนกับแผ่นหลังของฟางจิ่นซิ่ว ตกใจสะดุ้งโหยงรีบถอยหลังก้าวหนึ่ง แต่ไม่เห็นแม่นางน้อยคนนี้บ่ายหน้าหันมาตีเขา ตรงกันข้ามกลับแนบไปกับกำแพงด้านข้าง มองออกไปด้านนอก
เวลานี้พวกเขาเดินมาถึงปากตรอกแล้ว ก้าวหนึ่งก้าวออกไปก็จะเป็นถนนใหญ่
“ทำไมรึ?” เฉินชีเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ยื่นศีรษะมองตามไปด้วย
บนถนนคนไปคนมา เทียบกับก่อนหน้านี้คนเพิ่มขึ้นมากมาย ดูท่าแท่นประหารด้านนั้นคงจบเรื่องแล้ว คนที่ชมดูเรื่องสนุกสลายตัวหมดแล้ว บนถนนคนสองสามคนจับกลุ่มอยู่ด้วยกันสีหน้าตื่นเต้นวาดมือวาดไม้ เห็นได้ชัดว่าเล่าสีสันของการตัดหัวอยู่
หรือหวั่นเกรงถูกคนพูดเรื่องตระกูลฟาง?
เฉินชีมองตามสายตาของฟางจิ่นซิ่วไปก็มองเห็นไม่ไกลออกไปจากปากตรอก คนสองคนยืนพูดคุยกันอยู่ คนหนึ่งชายวัยกลางคน คนหนึ่งเด็กสาว
เขาอดไม่ได้ร้องอ๋อ
“นั่นไม่ใช่คนเมื่อครู่…” เขายื่นมือชี้เอ่ยขึ้น
คำพูดยังไม่ทันพูดจบก็ถูกฟางจิ่นซิ่วตีมือลงไป
“อย่าพูด” นางกดเสียงเอ็ดขึ้น สายตามองคุณหนูจวิน แล้วสายตาก็จับบนร่างของผู้ชายคนนั้นอีก
แม้เทียบกับตอนนั้นที่หอจิ้นอวิ๋นจะดูแล้วหม่นหมองไปมาก แต่นางยังคงมองปราดเดียวก็จดจำได้ว่านั่นคือบิดาของหลินจิ่นเอ๋อร์ อาลักษณ์หลิน
ทำไมนางเดินอยู่ด้วยกันกับเขา?
……………………………………….