Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 74 พร่ำบ่นอย่างจริงใจ
แม้ในที่สุดจะไม่รู้ว่าอาลักษณ์หลินที่แท้ถูกจวินเจินเจินพูดอะไรถึงอดกลั้นที่บุตรสาวถูกหยามเกียรติได้ แต่ฟางจิ่นซิ่วไม่รู้สึกว่าอาลักษณ์หลินยังจะรู้สึกขอบคุณจวินเจินเจิน ยิ่งไม่มีทางพบหน้าจวินเจินเจินแล้วยินดี
แล้วก็ไม่รู้สึกว่าระหว่างพวกเขามีเรื่องใดให้คุยกัน
ฟางจิ่นซิ่วมองไปด้านนั้นอย่างระมัดระวัง จวินเจินเจินกำลังเอ่ยวาจา อาลักษณ์หลินฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ สีหน้าท่าทางเอาจริงเอาจังอยู่บ้าง
จวินเจินเจินพูดจบ อาลักษณ์หลินก็เอ่ยปากพูดบ้าง ทั้งยังส่ายศีรษะเหมือนถอนหายใจ ส่วนจวินเจินเจินก็เอ่ยอะไรออกมาหลายประโยคทันที อาลักษณ์หลินยิ้มแล้ว
“ดูท่าพวกเขาจะคุยกันสำราญใจนัก” เฉินชีเอ่ยขึ้นด้านหลังฟางจิ่นซิ่ว
ฟางจิ่นซิ่วราวกับลืมการมีอยู่ของเขาไป ตกใจสะดุ้ง เกือบเดินออกไป แต่ความเคลื่อนไหวนี้ก็เหมือนจะดึงดูดคนที่พูดจากันอยู่บนถนนให้มองข้ามมา
ฟางจิ่นซิ่วผลักเฉินชีหนึ่งฝ่ามือรีบร้อนถอยกลับเข้าไปในตรอก
เฉินชีไม่ทันตั้งตัวหวิดล้มลงไปนั่งกับพื้น
“เจ้าทำอะไร…” เขาเอ่ยถาม
“อย่าพูด” ฟางจิ่นซิ่วถลึงตาเอ็ดเสียงเบา
เฉินชีรีบอุดปากตนเองสีหน้าเคร่งขรึมพยักหน้า ฟางจิ่นซิ่วคร้านจะสนใจเขาทำตัวประหลาด เกาะกำแพงยื่นศีรษะออกไปอย่างระมัดระวังอีกครั้ง
ถนนด้านนั้นมองไม่เห็นอาลักษณ์หลินกับจวินเจินเจินแล้ว
ไปไหนแล้ว?
ฟางจิ่นซิ่วเดินออกมา ยืนมองสะเปะสะปะไปทั่ว บนถนนคนไปคนมา พ่อค้าหาบเร่ร้องขายของ คนจับกลุ่มคุยเล่นครึกครื้นเหมือนเดิม แต่มองไม่เห็นเงาร่างของอาลักษณ์หลินกับจวินเจินเจิน
“บางทีอาจไปแล้วกระมัง” เฉินชีเข้ามาใกล้ข้างหลังนางอย่างระมัดระวังกดเสียงเบาเอ่ยขึ้น “จะตามหาพวกเขาไหม? ข้าคุ้นเคยในเมืองยิ่งนัก พวกหาบเร่ตามถนนข้าก็คุ้ยเคยหมด หาคนสักคนไม่ใช่เรื่องยาก
ฟางจิ่นซิ่วรั้งสายตากลับมา
ตามหานางทำไม?
ก่อนหน้านี้ตอนเป็นคุณหนูสามตระกูลฟาง เรื่องอันใดนางยังไม่บอกกับตนเองเลย
ตอนนี้ตนเองไม่ใช่คนตระกูลฟางแล้ว มีเรื่องอันใดยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับตนแล้ว
“ไม่ต้อง” นางเอ่ยเสียงหงุดหงิด ยืนอยู่ที่เดิมแต่กลับไม่ยอมออกเดิน
เฉินชีขบคิดครู่หนึ่ง
“ใช่ เรื่องของผู้อื่นพวกเราอย่าเพิ่งไปสน ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องของเจ้า” เขาว่า พลางยื่นมือชี้เพิงน้ำชาแห่งหนึ่งริมถนน “มามา คุณหนูฟาง พวกเราไปนั่งด้านนั้นก่อน หารือกันสักหน่อยว่าไปที่ไหนเหมาะ ออกเดินทางเวลาใดเหมาะสม นั่งรถหรือว่าขี่ม้า ครุ่นคิดรอบคอบ หนทางเบื้องหน้าไร้กังวล”
ครั้งนี้ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้พุ่งไปที่นอกประตูเมืองอย่างหงุดหงิดเช่นก่อนหน้าแล้ว แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
เฉินซีคว้าโอกาสไว้ทันที
“ข้ารู้สึกว่าขี่ม้าดี อากาศร้อน ขี่ม้ารวดเร็ว” เขาว่า ราวกับฟางจิ่นซิ่วอนุญาตแล้ว เขาครุ่นคิดคำถามต่อไปอย่างตั้งใจพลางเดินไปที่เพิงน้ำชา
ฟางจิ่นซิ่วลังเลครู่หนึ่งจึงตามไป
“…แต่ว่าอากาศร้อน ขี่ม้าตากแดดทรมาน นั่งรถดีกว่ากระมัง” เฉินชีก็หันหน้ากลับมาเอ่ยอย่างตั้งอกตั้งใจอีกครั้ง
“คิดว่าไปที่ไหนก่อนเถอะ ค่อยดูเส้นทางตัดสินใจว่าขี่ม้าหรือนั่งรถ” ฟางจิ่นซิ่วหน้าบึ้งเอ่ยขึ้น
เฉินชีพยักหน้ารับ
“ใช่ ใช่ ยังคงเป็นท่านคิดถูก ข้าเลอะเทอะหมดแล้ว” เขาลูบหัวหัวเราะฮ่าฮ่า
ทั้งสองคนเข้ามาในเพิงน้ำชาแล้ว
“เฉินชี หลอกเงินที่ไหนมาอีกแล้วเล่า?” เฒ่าแก่เพิงน้ำชาทักทายด้วยรอยยิ้ม สายตากลับกวาดบนร่างฟางจิ่นซิ่วทีหนึ่ง
เฉินชีสบถใส่เขาทีสองที
“ข้าตั้งใจค้าขายเล็กน้อยต่างหาก” เขาเอ่ยขึ้น พลางคว่ำเงินไม่กี่เหรียญออกมาจากถุงเงินนับดู ตั้งใจแบ่งออกมาสามเหรียญ ยื่นไปให้เฒ่าแก่เพิงน้ำชาเชิดคางขึ้น “ยกน้ำชาดีๆ มา”
ด้านในเพิงน้ำชานี่มีชาดีอะไรเล่า แล้วเงินสามอีแปะยังจะดื่มชาดีๆ อะไรได้
ฟางจิ่นซิ่วมองผู้ชายคนนี้เก็บเงินที่เหลือบนโต๊ะใส่ลงในถุงเงินอย่างระมัดระวัง
นางกวาดมองปราดเดียวก็นับได้ชัดเจนว่าเพียงสิบกว่าอีแปะเท่านั้น ดูท่าทางนั่นของเขาราวกับชื่นชมเงินทองเท่าภูเขา
นางโตมาขนาดนี้ยังไม่เคยเห็นเงินน้อยขนาดนี้มาก่อน ด้านในถุงเงินที่ติดตัวออกจากบ้านใส่ไว้น้อยที่สุดก็เป็นเศษตำลึงเงินกำหนึ่ง
“คุณหนูฟางผู้ใช้ชีวิตดีๆ มาจนชิน ดื่มชาเช่นนี้ได้หรือไม่?”
ทันใดนั้นเฉินชีก็เงยหน้าเอ่ยยิ้มๆ เฒ่าแก่เพิงน้ำชายกน้ำชาเข้ามา เฉินชีดันถ้วยน้ำชามาถึงตรงหน้าฟางจิ่นซิ่ว
ถ้วยกระเบื้องใบใหญ่ ด้านในเป็นน้ำชาสีน้ำตาล ไม่ได้กลิ่นหอมของชา
“เจ้าคิดว่าข้าไม่เคยดื่มรึ? ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น ยกถ้วยขึ้นดื่มคำใหญ่
หลังนางร่ำเรียนขี่ม้าเป็นก็ติดตามคนของร้านแลกเงินออกจากบ้านครั้งหนึ่ง ยามเร่งรีบเดินทางระหว่างทางทุกสิ่งล้วนไม่สะดวกสบาย ก็เคยแวะพักเพิงน้ำชาเรียบง่ายริมทางเช่นกัน
แต่ว่า นั่นไม่ใช่เพราะไม่มีเงิน แต่เป็นเพราะมีเงินก็ซื้อหาชาดีๆ ไม่ได้
นอกจากนี้เวลานั้นออกจากบ้านความแปลกใหม่ของโลกภายนอกกลบทับความไม่สะดวกสบายระหว่างทางไป น้ำชาแย่ๆ ครั้งหนึ่งก็เป็นสีสันความสนุกอย่างหนึ่ง
เมื่อสีสันแต่งแต้มกลายเป็นสิ่งปกติ บางทีก็ไม่สนุกแล้ว
นางดื่มติดต่อกันหลายคำ ความขมฝาดของน้ำชาคุ้นชินแล้วก็คลายกระหายได้อยู่เหมือนกัน
คลายกระหายแล้ว ท้องของนางก็ร้องโครกครากขึ้นมา
เฉินชีมองมา ใบหน้าของฟางจิ่นซิ่วแดงเล็กน้อย
หลายเดือนนี้นางไม่ได้กินอาหารอย่างสุขสำราญ แต่กินดื่มก็ไม่เคยขาดช่วง แม้กระทั่งของทานเล่นขนมก็มีทั้งสิ้น พูดความจริงไม่ได้อดโซมาก่อน
เมื่อวานเที่ยงคืนออกจากบ้านทั้งคืนไม่ได้นอน ทั้งเช้าตรู่ก็เร่งไปดูการตัดหัว จนกระทั่งถึงตอนนี้ยังไม่มีน้ำสักหยดเข้าไป
ก็รู้สึกว่าหิวอยู่บ้างแล้ว
“เฒ่าแก่ เฒ่าแก่ เอาเนื้อผัดน้ำมันมา…” เฉินชีหันหน้าไปตะโกนบอกเฒ่าแก่เพิงน้ำชา ยื่นนิ้วสองนิ้วออกมา คำพูดมาถึงริมฝีปากกลับเก็บไปหนึ่งนิ้ว “หนึ่งชาม”
เขาพูดจบก็ยิ้มให้ฟางจิ่นซิ่วอีกครั้ง
“ขอโทษด้วย ตอนนี้ข้าไม่มีเงินอะไร ทำได้เพียงเลี้ยงเจ้ากินเนื้อผัดน้ำมันชามหนึ่ง เจ้าอย่าถือสา”
ฟางจิ่นซิ่วอยากพูดอะไร เฉินชีก็แย่งเอ่ยปากก่อนอีก
“แน่นอนว่าก็ไม่ต้องปฏิเสธ สภาพข้าอย่างไร สภาพเจ้าอย่างไร ในใจพวกเราล้วนเข้าใจกระจ่าง สภาพเป็นอย่างไร เรื่องราวก็ทำอย่างนั้น พวกเราใจคอกว้างขวาง ไม่ต้องคิดมากโศกเศร้า ยิ่งไม่ต้องพูดคำว่าบุญคุณเอยชดใช้เอยอะไรทำนองนั้น” เขายิ้มเอ่ยขึ้น “พวกเราเป็นสหายพบหน้ากัน นั่งลงกินข้าวมือหนึ่งดื่มชาคำหนึ่งง่ายๆ แบบนี้”
ฟางจิ่นซิ่วจะเอ่ยปากอีกครั้ง เฉินชีก็แย่งก่อนอีกครั้ง
“แน่นอนว่า ก็ไม่ต้องสงสารข้า ข้าก็ไม่ใช่สงสารเจ้า” เขาเอ่ยขึ้นสีหน้าจริงจัง
ฟางจิ่นซิ่วกลอกตาใส่เขา
“ข้าไม่ได้จะว่าอะไร แล้วก็ไม่ได้คิดมากอย่างเจ้าขนาดนี้ด้วย เจ้าหุบปากได้ไหม?” นางเอ่ยขึ้น
เฉินชีหัวเราะหึหึ ยื่นมือทำท่าอุดปากไม่พูดอีกครั้ง เนื้อผัดน้ำมันก็ยกมา ฟางจิ่นซิ่วไม่เกรงใจหยิบตะเกียบขึ้นมา เพิ่งจะกินก็หยิบชามเปล่าใบหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาแบ่งครึ่งหนึ่ง
“ข้าไม่กิน ข้าไม่กิน ข้ากินข้าวมาแล้ว” เฉินชีรีบโบกมือเอ่ยขึ้น
“ข้ากินไม่หมด” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย แล้วก็ดันชามที่แบ่งมาครึ่งหนึ่งให้เขา “ก็ไม่ใช่ของดีอะไรด้วย”
เฉินชีหัวเราะ ไม่ได้เกรงใจอีก
“ที่จริงก็ออกจะดีนะ” เขาว่า “เนื้อผัดน้ำมันที่ตาเฒ่าผังทำเทียบกับเหลาสุราใหญ่ยังอร่อยกว่าอีกนะ”
เฒ่าแก่เพิงน้ำชาได้ยินเข้าก็หัวเราะ
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว ที่ข้าทำดั้งเดิมนักล่ะ สักนิดก็ไม่ขาด” เขาว่า “ฝีมือของหอชิ่งฝูแรกสุดก็เรียนมาจากบรรพบุรุษตระกูลข้า”
ฟางจิ่นซิ่วยิ้ม ไม่พูดก้มหน้ากินเข้าไปคำโต
เฉินชีหยุดตะเกียบนิดหนึ่งก็กินอย่างดีอกดีใจเช่นกัน
เนื้อหนึ่งชาม ชาสองถ้วย คนสองคนกินหมดอย่างรวดเร็วยิ่งนัก ระหว่างนี้เฉินชีก็แนะนำฟางจิ่นซิ่วว่าวันนี้อย่าเพิ่งออกจากเมืองก่อน รอเลือกสถานที่ดีแล้วค่อยไป
“วันนี้เจ้าก็พักที่บ้านข้าก่อน” เฉินชีเอ่ยขึ้น
ฟางจิ่นซิ่วมองเขาทีหนึ่ง
ให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งไปพักบ้านตนเอง คำพูดนี้ไม่น่าฟังอยู่นะ
“บ้านข้าไม่มีคน มีแค่มารดาคนหนึ่ง” เฉินชีรีบร้อนเอ่ยอีก
พูดจบก็รู้สึกว่ายิ่งไม่ถูกต้องแล้ว
“สรุปความหมายของข้าก็คือ…” เขารีบร้อนเอ่ยปากอีกครั้ง
ฟางจิ่นซิ่วขัดเขา
“ข้าพักโรงเตี๊ยม” นางว่า
เฉินชีประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้ามีเงินหรือ?” เขาเอ่ยถาม
ฟางจิ่นซิ่วมองห่อผ้าน้อยในมือ คืนวานสะพายออกมาจนนางไม่สนใจจะเปิดดูมาจนถึงตอนนี้ เมื่อครู่ตอนทานอาหารดูสักหน่อยก็พบว่าด้านในมีเงินอยู่สองถุง ถุงหนึ่งเป็นเศษตำลึงเงิน ถุงหนึ่งเป็นทองแผ่นตัดเป็นชิ้นเล็กสะดวกแก่การจับจ่ายประจำวันหมดแล้ว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะคำพูดของนางหยวน หรือการนั่งเดียวดายยามค่ำคืน หรือที่ดูการตัดหัว หรือกินอิ่มท้องเมื่อครู่ ความเก็บกดในใจนางคลายออกไปมากแล้ว
ไม่ไปคิดกำจัดอดีตให้หมดสิ้นอะไรอีก แล้วก็ไม่ไปคิดว่านี่เป็นเงินตัดสายเลือดความสัมพันธ์สิบกว่าปี ก็เหมือนกับที่ดื่มชากินเนื้อกับเฉินชีเมื่อครู่ เลี้ยงก็เลี้ยง กินก็กิน คิดมากมายขนาดนั้นทำอะไร
นางตัดสินใจใช้เงินเหล่านี้ พักโรงเตี๊ยม เดินทางออกไปจากที่นี่รวมถึงเริ่มต้นชีวิตใหม่
“ข้ามีเงินสิ” ฟางจิ่นซิ่วพูดกับเฉินชี
เฉินชีร้องอ้อทีหนึ่ง มองไปทางห่อผ้าน้อยของนาง
“มีเงินเรอะ ทำใจกว้างเสียเปล่าแล้ว ไม่สู้ให้เจ้าเลี้ยงเสียดีกว่า” เขาเอ่ยพึมพำ
……………………………………….