Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 75 อยากไปยังรั้งอยู่
เสียงพึมพำของเฉินชี ฟางจิ่นซิ่วได้ยินแล้วก็คร้านจะสนใจ
นางเดินไปตามถนน หาโรงเตี๊ยมเหมาะๆ ไปพลางคิดว่าควรไปที่ใดไปพลาง
เฉินชีพึมพำๆ เดินตามมา เดินไม่ถึงสองก้าว ฟางจิ่นซิ่วก็หยุดอีกครั้ง
“อะไรอีกเล่า?” เฉินชีเอ่ยขึ้น มองสองข้างถนนเอ่ยขึ้นอีก “ยังไงก็อย่าเลือกโรงเตี๊ยมดีเกินไปเลย ต่อให้มีเงิน ตอนนี้ก็ยังคงใช้ประหยัดหน่อยดีกว่า ตอนนี้เงินที่เจ้ามีไม่เหมือนก่อนหน้านี้เอามาได้ไม่หมดใช้ไปได้ไม่สิ้น ใช้นิดหน่อยก็ประหยัดนิดหน่อย…”
ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้ขัดเขา ด้านหน้ามีเสียงคนลอยมา
“คุณหนูสาม” หลิ่วเอ๋อร์ดวงตาสว่างวาบมองฟางจิ่นซิ่วที่เดินประจันหน้าเข้ามา วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
เห็นผีแล้วจริงๆ วันนี้ทำไมพบเข้ากับพวกนางนายบ่าวอยู่ตลอด
ฟางจิ่นซิ่วหมุนตัวจะหันหน้าไป หลิ่วเอ๋อร์ก็เอ่ยปากก่อน
“ท่านเห็นคุณหนูของข้าหรือไม่?” นางเอ่ยถาม
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร้อนรน
เท้าที่ยกขึ้นของฟางจิ่นซิ่วชะงัก
หลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้สนใจว่านางต้องการหลบ สีหน้าร้อนรนมองไปทั่ว
“บอกว่ามาด้านนี้ ทำไมมองไม่เห็นแล้ว? ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้ว?” นางเอ่ยออกมาจาก
นางมีเรื่องอันใดก็ไม่เกี่ยวกับตน ตั้งแต่เริ่มต้นก็เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ยิ่งเป็นเช่นนี้
ฟางจิ่นซิ่วหน้าบึ้งไม่พูดจา
“หรือว่าเรื่องราวไม่ชอบมาพากลจริงๆ?” หลิ่วเอ๋อร์ร้อนรนเอ่ยขึ้น
“เรื่องราวไม่ชอบมาพากลอย่างไร?” ฟางจิ่นซิ่วหลุดปากเอ่ยถาม ประโยคนี้ออกจากปาก นางก็คิดอยากตบบ้องหูตนเอง ว่างเรอะเจ้า
หลิ่วเอ๋อร์ไม่ได้รู้สึกถึงความหงุดหงิดของนาง
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณหนูบอกว่าเรื่องราวไม่ชอบมาพากล นางต้องไปดูสักหน่อย ให้ข้ากลับไปบอกนายหญิงผู้เฒ่าสักคำ ข้าบอกนายหญิงผู้เฒ่าแล้ว รีบมาตามหานาง ก็หาไม่พบแล้ว” นางว่า “ข้าตามหามาพักหนึ่งแล้ว คนบนถนนบอกว่ามาด้านนี้”
จวินเจินเจินเป็นคนปากอัปมงคลคนหนึ่ง ฟางจิ่นซิ่วกำมือแน่น เรื่องมากมายขนาดนั้นที่เคยพูดล้วนเป็นจริง
“เรื่องราวไม่ชอบมาพากลอย่างไร? นางมองเห็นอะไรเข้า?” นางเอ่ยถาม
“ก็ไม่มีอะไรนะ ข้ากับคุณหนูดูการตัดหัวเสร็จกำลังเดินกลับ บนถนนพบบรรดาขุนนางกลุ่มหนึ่ง นั่นเป็นบรรดาขุนนางของเมืองไท่หยวน คุณหนูมองเห็นพวกเขา มองเข้า มองเข้าไม่รู้คิดอะไรขึ้นมาบอกว่าเรื่องราวไม่ชอบมาพากล” หลิ่วเอ๋อร์ว่า “ให้ข้ากลับไปแจ้งข่าวกับนายหญิงผู้เฒ่า ส่วนนางล่วงหน้าไปดูสักหน่อย…”
แบบนี้อีกแล้ว! ยัยคนนี้แต่ไหนแต่ไรก็คิดว่าตนเองถูก
“ดูเถอะ นางสามารถ” ฟางจิ่นซิ่วหน้าบึ้งเอ่ยขึ้น
คำพูดนี้หลิ่วเอ๋อร์ไม่ชอบฟังแล้ว
“คุณหนูของข้าย่อมสามารถยิ่งนัก” นางแค่นเสียงเอ่ย เอ่ยจบก็รู้สึกว่าน่าฟังเกินไปแล้ว ท่าทีอดรนทนไม่ไหวนิดหน่อย “สรุปเจ้าเห็นหรือไม่เห็นเล่า?”
ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองนางทีหนึ่ง
“ไปกับอาลักษณ์หลินแล้ว” นางว่า
อาลักษณ์หลินชื่อนี้ผิดคาดเกินไปแล้ว หลิ่วเอ๋อร์ชั่วขณะหนึ่งคิดไม่ทันว่าอาลักษณ์หลินเป็นใคร คิดอยู่พักหนึ่งถึงคิดออก
“กับเขา อาลักษณ์หลิน? ไปกับอาลักษณ์หลินทำอะไรเล่า?” นางเอ่ยถาม
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยอย่างไม่สบอารณ์
หลิ่วเอ๋อร์เบะปาก ประเมินฟางจิ่นซิ่ว
“จริงไม่จริงน่ะ? เจ้าไม่หลอกข้าใช่ไหม?” นางเอ่ยถามสีหน้าคลางแคลงสงสัย
“ข้าหลอกเจ้าทำอะไร?” ฟางจิ่นซิ่วโมโหเอ่ยขึ้น
หลิ่วเอ๋อร์แววตาวิบวับ
“เจ้าถูกตระกูลฟางขับออกมาแล้ว เคียดแค้นสุมอกไง” นางว่า
ฟางจิ่นซิ่วโกรธจัด
“เจ้าไม่เชื่อก็ช่าง” นางตะคอก ผลักหลิ่วเอ๋อร์ออกก้าวไวๆ ไปข้างหน้า
เฉินชีรีบแบกน้ำตาลปั้นไล่ตามไป
หลิ่วเอ๋อร์มองแผ่นหลังของฟางจิ่นซิ่วเบะปาก
“มีอะไรน่าโมโหกัน นี่ไม่ใช่สมเหตุสมผลเรอะ พูดจี้ใจดำเข้าล่ะสิ” นางแค่นเสียงเอ่ยขึ้น ไม่สนใจฟางจิ่นซิ่วอีก เชิดศีรษะยืดอกไปข้างหน้า
เฉินชีแบกน้ำตาลปั้นไล่ตามฟางจิ่นซิ่ว
“อย่าไปโกรธกับเรื่องนี้เลย นี่เป็นเรื่องที่รู้อยู่ก่อนแล้ว เจ้าต้องทำตัวให้ชิน” เขาว่า
พูดยังไม่ทันจบ ฟางจิ่นซิ่วก็หยุดฝีเท้า ถลึงตามองเขา
“รู้อะไร? ชินอะไร?” นางเอ่ยถาม
เฉินชีกะพริบตา
“ถูก.ไล่.ออก.มา.เคียด.แค้น.สุม.อก” เขาเอ่ยตะกุกตะกัก
สีหน้าฟางจิ่นซิ่วไม่น่าดูยิ่งนัก กัดริมฝีปากล่าง
“ข้าจะเคียดแค้นสุมอกด้วยเหตุใด? ข้าเคียดแค้นอะไร? เคียดแค้นพวกเขาที่ให้กำเนิดข้า เลี้ยงดูข้าหรือ?” นางตวาด
เฉินชีรีบยกมือปิดหน้า
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ ข้าไม่ใช่บอกว่าเจ้าเคียดแค้นนะ ข้าบอกว่าพวกเขาจะคิดเช่นนี้” เขาว่า “คนอื่นย้อมต้องคิดกับเจ้าแบบนี้ ไม่เชื่อเจ้าหรอก”
ตัวเป็นบุตรสาวของนางซู ไม่ควรค่าให้เชื่อถือจริงๆ
ไม่ผิด นี่เป็นสิ่งที่รู้อยู่ก่อนแล้ว นางต้องทำตัวให้ชิน
ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าหดหู่
“แต่นี่เป็นเพียงผู้อื่นมอง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนี้” เฉินชีรีบร้อนเอ่ยขึ้น “พวกเราบางครั้งก็ไม่อาจทำอันใดกับความคิดผู้อื่นได้ แต่พวกเราเองรู้อยู่ในใจไม่มีสิ่งใดให้อับอาย ปลงให้ตกหน่อย”
ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้เอ่ยวาจาหมุนตัวเดินช้าๆ ไปตามถนน
“เจ้ามองข้า อย่างเช่นข้า” เฉินชีตามมาข้างหลังนาง “พวกเขาชอบพูดถึงเรื่องบรรพบุรุษของข้า ท่านอ๋องอะไร ลูกหลานฮ่องเต้อะไร ตอนนั้นมีหน้ามีตามากเท่าไร หลังจากนั้นทำท่าเวทนาสภาพของข้า ที่จริงพวกเขาไม่เวทนาข้าสักนิด ก็แค่มีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น เอาข้ามาล้อเล้นเบิกบานใจ แต่ข้าไม่รู้สึกอย่างไร เพราะข้าไม่ได้ถือตนเองเป็นอ๋องเป็นลูกหลานฮ่องเต้นี่ ข้าก็คือข้า บรรพบุรุษเป็นอย่างไรเกี่ยวข้องอะไรกับข้าเล่า”
เขาพูดอยู่ก็หยุดชะงักไปนิดหนึ่งอีกครั้ง
“ก็พูดว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ได้เหมือนกัน สรุปแล้วก็คือ ข้าตอนนี้ยังเสพบุญที่บรรพบุรุษเหลือไว้ให้อยู่นะ ทุกปีวันที่สามเดือนสามไปหอจิ้นอวิ๋นร่ำรวยครั้งหนึ่งได้”
เขาเอียงศีรษะคิด
“สรุปคือ ข้ารู้สึกว่านี่ก็ดีมากแล้ว สักนิดก็ไม่รู้สึกว่าหากเกียรติยศของบรรพบุรุษยังอยู่ ชีวิตจะดีกว่านี้มากขนาดไหน”
พูดถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักนิดหนึ่งอีกครั้ง
“เอาเถอะ บางเวลาก็คิดบ้าง แต่ข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองน่าเวทนามากมาย เพียงรู้สึกว่าคิดดูแล้วก็ออกจะน่าสนุก”
พูดถึงตรงนี้ก็ส่ายศีรษะอีกครั้ง
“ข้ากำลังพูดอะไรนี่ สรุปเจ้าไม่ต้อง…”
ขณะที่เขาพร่ำพูดก็พบว่าตรงหน้า ฟางจิ่นซิ่วไม่อยู่แล้ว ตกใจสะดุ้งโหยงอย่างอดไม่ได้ หลังจากนั้นมองเห็นฟางจิ่นซิ่ว ไม่รู้ลงไปนั่งข้างทางเมื่อไหร่
“คุณหนูฟาง ท่านเป็นอะไรไป?” เขาเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
ฟางจิ่นซิ่วเพียงแค่มองบนถนน
“เหนื่อยแล้ว พักสักครู่” นางเอ่ยอย่างหงุดหงิด
ยังยอมพูดก็ดี เฉินชีผ่อนลมหายใจนิดหน่อย แบกน้ำตาลปั้นนั่งลงด้านข้างนาง ห่างไปนิดหนึ่ง
“นั่นสินะเดินมาตั้งนานแล้ว เหนื่อยแล้วจริงๆ” เขาเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่มองคนบนถนน เฉินชีไม่ได้เอ่ยถามอีก แล้วก็ไม่ได้เงียบไปแค่นี้ กลับยกน้ำตาลปั้นร้องเรียกค้าขาย ไม่นานก็ดึงเด็กน้อยหลายคนมา โวยวายเจื้อยแจ้ว
ไม่รู้เนื้อรู้ตัวน้ำตาลปั้นไม่กี่ตัวที่เหลืออยู่ก็ขายหมดแล้ว แสงอัสดงแดงฉานฉาบไล้ทั่วถนนใหญ่
เฉินชีนับเงินอยู่อย่างสุขใจ
“ได้เงินที่ดื่มชากินเนื้อคืนมาแล้ว” เขาว่า
ฟางจิ่นซิ่วมองเขาทีหนึ่งพรูลมหายใจ ตบขาลุกขึ้นยืน
“พักพอแล้วหรือ” เฉินชีรีบลุกขึ้นตามเอ่ยขึ้น
ฟางจิ่นซิ่วมองไปทางด้านข้างถนน ตรงที่สายตามองไปมีโรงเตี๋ยมหลังหนึ่ง
“ข้าพักที่นี่แหละ” นางว่า “ขอบคุณเจ้ามาก พวกเราโอกาสหน้าพบกัน”
พูดจบก็ยกเท้าก้าวเดิน เฉินชีรีบตาม
“ข้าส่งพระส่งถึงตะวันตกแล้วกัน รอเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วข้าค่อยไป” เขาว่า เพิ่งตามทันก็เห็นฟางจิ่นซิ่วหยุดลงอีกครั้ง
เป็นอะไรอีกแล้ว? มองเห็นใครเข้าอีก?
หยางเฉิงนี่ไม่ดีก็ตรงนี้ สถานที่เล็กเกินไป หมุนตัวก็พบคนคุ้นเคย
เฉินชีมองตามสายตาของฟางจิ่นซิ่วไป ยังไม่ทันเห็นคนชัดก็ได้ยินเสียงร้องไห้
หลิ่วเอ๋อร์ร้องไห้โฮวิ่งผ่านด้านหน้าไป ผมเผ้ายุ่งเหยิง บนหน้ายังมีรอยฝ่ามือสะดุดตา ดึงคนบนถนนให้พากันเหลือบมอง
เฉินชีหัวเราะลั่น
“สาวใช้คนนี้โดนคนตีเข้าแล้ว” เขาว่า
ฟางจิ่นซิ่วคิ้วขมวดขึ้นมา ยกเท้าก็พุ่งเข้าไป จับหลิ่วเอ๋อร์ที่ร้องไห้วิ่งอยู่ไว้
“คนตระกูลหลินตีเจ้าหรือ?” นางเอ่ยถาม
……………………………………….