Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 79 มีเรื่องอะไรพูดจากันดีๆ
พูดอะไร!
ฟางจิ่นซิ่วหันหน้าไปถลึงตาใส่เขาแรงๆ ทีหนึ่ง
เฉินชีรีบหดศีรษะแล้วปิดปาก
บนถนนใหญ่เสียงเอะอะ ที่แท้เป็นบรรดาขุนนางด้านในจวนที่ว่าการอำเภอผ่านมา
นายอำเภอหลี่ถูกประหาร บรรดาขุนนางข้าราชการน้อยใหญ่ในอำเภอล้วนถูกตรวจสอบรอบหนึ่ง ไม่มีปัญหาล้วนถูกปล่อยออกมาแล้ว เพราะไม่มีนายอำเภอชั่วคราว จึงให้รองนายอำเภอแทนตำแหน่งนายอำเภอชั่วคราว นอกจากนี้ด้วยคะนึงถึงว่าความวุ่นวายครั้งนี้ที่หยางเฉิงไม่เล็ก บรรดาขุนนางเมืองไท่หยวนยังจงใจทิ้งคนไว้สองคนรักษาสถานการณ์ถึงจากไป
คิดไม่ถึงตอนเช้าเพิ่งประหารซ่งอวิ้นผิงบนแท่นประหาร ตระกูลฟางก่อเรื่องครึกโครมตัดหัวสามครั้งศีรษะร่วง ตกบ่ายกลับยังพังประตูบ้านอาลักษณ์หลินอีก
คนของตระกูลฟางตอนนี้ผู้คนคาดเดาหวั่นเกรง สายตาเท่าไรจับจ้องอยู่ เรื่องราวถูกแจ้งไปถึงในอำเภออย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อเห็นเรื่องราวว่าไม่ได้วิวาทกันขึ้นมา นอกจากนี้ฟางเฉิงอวี่กับหัวหน้าตระกูลของตระกูลหลินเข้าไปในประตูนั่งหารือ ทุกคนก็โล่งอกไปบ้าง เวลานี้ได้ยินว่าคนออกมาแล้ว ตอนนี้ถึงรีบร้อนมาเกลี้ยกล่อมไถ่ถาม
“ไม่ว่ามีเรื่องอันใด พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน มีคำพูดพูดจาดีๆ” ขุนนางที่เป็นหัวหน้าเอ่ยกับฟางเฉิงอวี่
ฟางเฉิงอวี่ไม่ได้เอ่ยวาจา
คนหนุ่มสาวล้วนคิดอยู่แบบเดียว กระทำการใดใช้เพียงอารมณ์อย่างเดียวไม่รู้จักหนักเบา ขุนนางกำลังจะพูดอีก เสียงโหวกเหวกพักหนึ่งก็ดังขึ้น คนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งห้อมล้อมนายหญิงผู้เฒ่าฟางที่นั่งรถมา
บรรดาขุนนางโล่งอก มีผู้ใหญ่ในบ้านมาก็จัดการง่ายแล้ว
นายหญิงผู้เฒ่าฟางเข้ามา ไม่สนบรรดาขุนนางคำนับ
“ยังหาไม่พบหรือ?” นางมองฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้นตรงประเด็น
ฟางเฉิงอวี่ก้มศีรษะครู่หนึ่งก็เงยขึ้นมองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง
“ท่านย่า ข้าต้องตามหานางให้พบให้ได้” เขาไม่ได้เอ่ยตอบ แต่กลับเอ่ยว่า “ข้าจะไม่ให้นางเกิดเรื่องแน่นอน”
เสียงของฟางเฉิงอวี่แหบพร่าฝืดเผื่อนไปแล้ว เกิดเรื่องสองคำพูดออกมางึมงำไม่ชัดอยู่บ้าง
แต่พอเข้าไปในหูของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง กลับราวกับสายฟ้าร่วงหล่น สีหน้าที่เดิมทีไม่ดีอยู่แล้วซีดเผือดทันที
เกิดเรื่อง
คำนี้หลายสิบปีนี้นางฟังมามากเกินไปแล้ว
นายหญิงผู้เฒ่าฟางร่างกายเกร็งเครียดสั่นสะท้านขึ้นมาไม่อาจข่มไว้ได้
นายท่านผู้เฒ่าเกิดเรื่องแล้ว
นายท่านเกิดเรื่องแล้ว
นายน้อยเกิดเรื่องแล้ว
นางอดทนครั้งหนึ่งแล้วอีกครั้งหนึ่ง ในที่สุดก็ทนมาถึงตอนนี้เมฆเปิดหมอกสลาย ทวงถามความยุติธรรม
ไม่ใช่ทุกอย่างดีแล้วหรือ? ไม่ใช่ไม่มีเรื่องแล้วหรือ? ทำไมยังเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว?
ร่างกายของนายหญิงผู้เฒ่าฟางโงนเงนหลายที
ฟางจิ่นซิ่วที่ยืนอยู่มุมถนนอดไม่ได้ก้าวเท้า ฟางเฉิงอวี่ประคองนายหญิงผู้เฒ่าฟางไว้แล้ว
“เกิดเรื่องได้อย่างไร” นายหญิงผู้เฒ่าฟางสูดหายใจลึกๆ หลายครั้ง พยายามสุดกำลังให้ตนเองสงบลง “อาลักษณ์หลินทำอะไรนางไม่ได้ ก่อนหน้านี้ไม่ได้ ตอนนี้ยังเป็นเวลานี้”
เวลานี้ตระกูลฟางกำลังเรืองอำนาจ ขุนนางทหารม้าเมืองไท่หยวนล้วนโยกย้ายจัดสรรได้เหมาะสม อาลักษณ์หลินขุนนางตัวเล็กๆ ในอำเภอหยางเฉิงคนนี้จะกระโดดออกมาหาเรื่องซวยได้อย่างไร
“นางบอกว่าเรื่องราวไม่ชอบมาพากล” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น “นางไม่พูดโกหก”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางพยักหน้า
“ข้ารู้ว่านางไม่โกหก” นางพูด “ข้าจะบอกว่าอาลักษณ์หลินเขาไม่มีทางใจกล้าเช่นนี้ ไม่ควรมีเรื่องไม่ชอบมาพากลสิ”
ฟางเฉิงอวี่เงียบงันครู่หนึ่ง
“ท่านย่า เรื่องไม่ชอบมาพากลจริงๆ” เขาว่า
นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองเขา สีหน้าเคร่งขรึมทั้งยังกลัดกลุ้มอยุ่บ้าง
คำพูดที่เขาพูดถึงนาง ตั้งแต่หลังกลับมาในใจเขา ในสายตาเขาล้วนเป็นนาง เห็นก็มีความสุข ไม่เห็นก็มีความสุข ไม่ใช่เด็กหนุ่มคราแรกที่ดวงตาเต็มไปด้วยความเกลียดชังคนนั้นอีกต่อไปแล้ว
ตอนนี้โรคและขาของเขาล้วนได้นางรักษาหายดี หากนางเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดูท่าครึ่งชีวิตของเขาคงจะตายตามไปทันที
“ท่านย่า ท่านยังจำได้ว่าทำไมข้าสังหารหลี่ฉางหงในคุกหรือไม่?” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ
ทำไมพูดถึงเรื่องนี้อีก?
ครานั้นฟางเฉิงอวี่อยู่ในคุกได้ยินคำพูดของนางถึงลงมือสังหารคน ส่วนนางที่ร้องประโยคนั้นออกไปก็เพื่อห้ามหลี่ฉางหงพูดเรื่องนั้นออกมา
นายหญิงผู้เฒ่าฟางหน้าเคร่งเครียด แววตาลังเลอยู่บ้าง
“เฉิงอวี่ มีเรื่องหนึ่ง ตอนนี้ข้ายังไม่อาจบอกเจ้า…” นางรีรอนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น
แล้วมองไปยังบรรดาขุนนางที่ยังยืนอยู่รอบด้านอีกครั้ง
บรรดาขุนนางที่ตั้งหูรอฟังสีหน้ากระอักกระอ่วนนิดๆ
พวกเขาย่อมรู้ว่าตระกูลฟางตระกูลนี้มีความลับ แต่เห็นได้ชัดว่าตระกูลฟางไม่มีทางให้คนอื่นรู้ความลับนี้
“นายหญิงผู้เฒ่า” ขุนนางคนหนึ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “ดึกแล้วตระกูลหลินกับพวกท่านล้วนส่งคนไปตามหาอาลักษณ์หลิน ไม่สู้พวกท่านกลับไปรอข่าวก่อน มีคำพูดใด มีเรื่องใดกลับบ้านไปนั่งลงพูดจากันดีๆ อย่าได้หุนหันพลันแล่นเด็ดขาด”
“ใช่แล้ว นายหญิงผู้เฒ่าฟาง ทุกสิ่งพอแต่สมควรเถอะ” ขุนนางอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างจริงใจ
“นายหญิงผู้เฒ่า ระหว่างพวกท่านกับนายอำเภอหลี่เป็นแค้นที่สั่งสมมานานปี พยานบุคคลพยานวัตถุพร้อม ซานซีเหอหนานสองเมืองก็ล้างความอยุติธรรมให้พวกท่าน” ขุนนางอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “แต่พวกท่านไม่อาจใช้จุดนี้กระทำตามอำเภอใจไม่มีหวั่นเกรงได้ อาศัยโอกาสเล่นงานชำระแค้นคนผู้หนึ่งผู้ใดที่เคยมีความขัดแย้งได้นะ”
“พวกเราไม่ได้อาศัยโอกาสเล่นงานชำระแค้น” นายหญิงผู้เฒ่าฟางพูด
“ข้ารู้” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเป็นการเป็นงาน “แต่ผู้อื่นย่อมคิดเช่นนี้ คนหยางเฉิงก็ย่อมคิดเช่นนี้”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบไป
เรื่องของตระกูลฟางช่วงนี้ตะลึงคนที่ได้ยินได้ฟังอย่างแท้จริง ทำให้คนหวาดกลัว
พวกนางเป็นคนทำการค้า หลายสิบปีนี้ใครกล้ารับประกันว่าไม่มีความขัดแย้งกับคนบ้าง แค้นกับนายอำเภอหลี่กับซ่งอวิ้นผิง พวกนางเป็นผู้ถูกทำร้าย ทุกคนล้วนเข้าใจได้ แต่กับอาลักษณ์หลินฝั่งนี้ยังไม่ถึงขั้นพังประตูบุกบ้านเช่นนี้ เป็นเช่นที่คุณหนูจวินเอ่ยไว้ตอนนั้น ก็แค่เหล่าเด็กสาวทะเลาะกันเท่านั้น
เพราะการทะเลาะกันของเด็กสาวจะพังประตูบุกบ้าน สำหรับคนอื่นแล้ว คนที่กระทำเกินไปไร้เหตุผลย่อมเป็นตระกูลฟางของพวกนางแล้ว
ทั้งเป็นเวลานี้ เช่นนี้ไม่ดีนักจริงๆ
มองเห็นสีหน้านายหญิงผู้เฒ่าฟางราวกับคิดอยู่ บรรดาขุนนางก็บอกด้วยเหตุผลกล่อมด้วยหัวใจอีกครั้ง
“ท่านดู” พวกเขาเอ่ยขึ้น ยื่นมือชี้ตรอกตระกูลหลิน “ท่านดูคนตระกูลหลินก็กำลังพยายามสุดกำลังช่วยเหลือตามหาอยู่ พวกเขาไม่ได้ตบตาปิดบังพวกท่าน ก็จริงใจเช่นกัน”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองไปทางด้านนั้น เห็นกลุ่มคนของหัวหน้าตระกูลหลินยืนอยู่ที่ปากตรอก
“นายหญิงผู้เฒ่า ฟังพวกเราสักประโยค มีเรื่องใดพวกเรากลับบ้านนั่งลงหารือกันดีๆ อย่าได้ยกพลเอิกเกริกเช่นนี้เลย” บรรดาขุนนางพูด พูดพลางก็ยืดแผ่นหลังตรง “นายหญิงผู้เฒ่า ทำเกินประหนึ่งทำขาด หยุดแต่สมควร”
นี่เป็นการเกลี้ยกล่อม แล้วก็เป็นการเตือน
นายหญิงผู้เฒ่าฟางเงียบงันไม่พูดจา
“นายหญิงผู้เฒ่าฟาง” หัวหน้าตระกูลหลินเวลานี้ก็เดินเข้ามา “ข้ารับประกันกับท่านได้ ตระกูลหลินเราไม่มีแค้นไม่อาจคลี่คลายได้อันใดกับตระกูลฟางของพวกท่าน นายหญิงผู้เฒ่าฟาง ตระกูลหลินของเราอยู่ที่หยางเฉิงมานับร้อยปีแล้ว พวกเราไม่คิดทำเรื่องทำลายฐานรากของตนเองเช่นนี้”
พูดพลางคำนับให้นางเล็กน้อย
“ขอท่านโปรดวางใจ พวกเราต้องตามหาเจ้าสามพบแน่ มอบคำอธิบายให้แก่ตระกูลฟางแน่นอน”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางยังคงนิ่งเงียบเหมือนเดิม สีหน้าลังเลอยู่บ้าง
ฟางจิ่นซิ่วที่ยืนอยู่ด้านข้างกำมือแน่น
“เฮ้ พวกเจ้าหมายความว่ายังไง?” เสียงแหลมของหลิ่วเอ๋อร์ดังขึ้นท่ามกลางหมู่คน คนก็ไม่รู้มาจากไหนทะลวงออกมา คบไฟส่องผมเผ้าที่ยังคงยุ่งเหยิงของนาง รอยฝ่ามือที่ถูกตีบนใบหน้าแม้บวมน้อยลง แต่เหงื่อเต็มศีรษะเต็มใบหน้า ปะปนด้วยฝุ่นดินอนาถยิ่งนัก
เห็นได้ชัดว่านางวิ่งวุ่นตามหาพร้อมกับคนอื่นมาตลอด
“พวกเจ้ายังจะตามหาคุณหนูของข้าอีกหรือไม่?” นางถลึงตาเอ่ยถาม “เป็นสากกะบืออยู่ที่นี่ทำอะไร? รื้อตระกูลหลิน กวาดหยางเฉิงให้ราบ พลิกฟ้าพลิกดิน รีบหาเข้าสิ”
พูดอะไร
ช่างไม่รู้ว่าพูดอะไรออกมาจริงๆ บรรดาขุนนางขมวดคิ้วสีหน้าดูแคลน
ยังจะพลิกฟ้าพลิกดิน เจ้าคิดว่าคุณหนูตระกูลเจ้าเป็นใครกันฮะ
“เจ้าไม่ต้องรีบร้อน” นายหญิงผู้เฒ่าฟางในที่สุดก็เอ่ยปากพูดแล้ว มองหลิ่วเอ๋อร์น้ำเสียงหนักใจ “นี่ไม่ใช่ล้วนกำลังหาอยู่รึ? เจ้ากลับไปกับพวกเราก่อน เล่าเรื่องที่ผ่านไปให้ละเอียดสักรอบ ดูสิมีอะไรหลุดลอดไปหรือไม่”
กลับไป?
หลิ่วเอ๋อร์เต้นขึ้นมาทันที
“เจ้าหมายความว่ายังไงฮะ?” นางร้อง “เจ้าไม่สนคุณหนูของข้าแล้วใช่หรือไม่? ยังมีอะไรไม่เข้าใจอีก? มีอะไรหลุดลอดอีก นี่เป็นเรื่องที่ชัดเจนมากขนาดไหน คุณหนูของข้าหายไปแล้ว หายไปแล้ว ครึ่งวันแล้ว ครึ่งวันแล้ว เจ้ารู้ว่าครึ่งวันหมายความว่าอย่างไรไหม? ต่อให้ตาย ก็พอให้คุณหนูของข้าตายไปหลายสิบรอบแล้ว”
นางพูดพลางก็ร้องไห้เสียงดัง
“พวกเจ้ายังจะรอ รอเก็บศพเรอะ?”
เสียงร้องไห้ของเด็กสาวสะท้อนก้องไปมาบนถนนใหญ่ยามค่ำคืนดึกดื่น เสียดแทงหูยิ่งนัก
……………………………………….