Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 80 ไถ่ถามยามค่ำคืน
และเวลานี้ ที่ศาลาพักม้าทิศเหนือห่างหยางเฉิงสามสิบลี้ตกอยู่ท่ามกลางความเงียบสงัดของค่ำคืนแล้ว
ศาลาพักม้าทิศเหนือของเมืองตั้งอยู่ที่รอยต่อระหว่างหยางเฉิงกับเกาผิง ที่ตั้งและการปกครองล้วนกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ม้าเร็วหวดแส้หน่อยก็เดินทางไปถึงทั้งสองเมืองได้ ไม่จำเป็นต้องหยุดพักที่ศาลาพักม้าซึ่งตั้งขึ้นอย่างเรียบง่ายตรงจุดตัดเนินลาดกับหุบเหว เพราะฉะนั้นศาลาพักม้าแห่งนี้จึงยิ่งแลดูเก่าผุพังขึ้นทุกที
แต่เพราะบรรดาขุนนางเมืองไท่หยวนผ่านทางนี้ ค่ำคืนนี้ที่แห่งนี้จึงเข้าพักเต็มอย่างหาได้ยาก ด้านในคอกม้าเก็บม้าไม่พอ ได้แต่ผูกมั่วๆไว้หน้าเรือนหรือถึงขั้นนอกประตู
ด้านในศาลาพักม้ามีเพียงนายสถานีคนหนึ่งนำข้ารับใช้เฒ่าคนหนึ่ง วิ่งวุ่นเท้าไม่ติดพื้น ไม่อาจไม่ให้ภรรยากับลูกมาช่วยด้วย
ค่ำคืนมืดมิด บรรดาขุนนางส่วนใหญ่ล้วนพักผ่อนแล้ว แต่ยังมีห้องส่วนตัวห้องหนึ่งโคมไฟยังสว่างอยู่
อย่างไรเรื่องที่เกิดช่วงนี้ก็เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว ยากเลี่ยงอดกลั้นไม่อยู่พูดถกเป็นการส่วนตัว
ห้องดีๆ ของศาลาพักม้าแห่งนี้มีไม่กี่ห้องย่อมล้วนมอบให้ขุนนางตำแหน่งสูงอย่างเช่นเจ้าเมืองหม่าเป็นต้น เวลานี้ที่อยู่ในห้องซึ่งทำจากอิฐโคลนเล็กเตี้ยห้องนี้เป็นขุนนางระดับต่ำคนหนึ่ง
เขากับคนรับใช้ของเขาเบียดเสียดกันอยู่ในห้องห้องหนึ่ง เขานอนบนเตียง คนรับใช้ก็ได้เพียงปูเสื่อนอนพื้นแล้ว
ค่ำคืนฤดูร้อนอบอ้าว หน้าต่างเปิดอยู่ มองเห็นผู้ชายที่สวมชุดธรรมดาคนหนึ่งกำลังปูเตียง ส่วนคนรับใช้ที่หน้าตาธรรมดาไว้หนวดคนหนึ่งทิ้งแขนลงยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าเหมือนกับคิดสิ่งใดอยู่
“พวกเขาค้นเจอได้อย่างไร?” เขาเอ่ยปากเสียงเบา
เสียงนุ่มนวล น้ำเสียงโอนอ่อน กลมกลืนอย่างยิ่งกับฐานะคนรับใช้ของเขา
ผู้ชายที่ปูเตียงได้ยินคำพูดหมุนตัวมาทันที
“เรื่องนี้เล่าแล้วยาวยิ่งนัก” เขาว่า
เสียงทุ้มเข้มติดจะมีอำนาจอย่างขุนนางอยู่หลายส่วน แต่ใต้โคมไฟน้ำมันมืดทึม สีหน้านอบน้อมของเขายามเผชิญหน้ากับข้ารับใช้คนนี้ขัดกับฐานะของเขานัก
“ใต้เท้า…” ผู้ชายที่ปูเตียงเอ่ยปากต่อ
เสียงเพิ่งออกจากปาก ข้ารับใช้คนนั้นพลันยกมือ พร้อมกันนั้นสายตาคมกริบก็มองไปทางหน้าต่าง
“ใครอยู่ที่นั่น?” เขาตวาดขึ้น
พร้อมกับเสียงตวาด คนก็มาถึงข้างประตูเปิดประตูออก
หน้าประตูเสียงอุทานตกใจเสียงหนึ่งดังขึ้น มีคนถอยหลังโซเซ
นี่เป็นเด็กสาวอายุสิบสี่สิบห้าปีคนหนึ่ง สวมใส่เรียบง่าย เส้นผมก็ยุ่งเหยิง ในความมืดของราตรีเห็นเพียงบนหน้าเปื้อนคราบดำ ในมือนางหิ้วถังไม้ใบหนึ่ง ด้านในน้ำร้อนควันฉุย
นางดูแล้วคงจะหิ้วถังไม้เดินผ่าน ถูกคนที่อยู่ดีๆ เดินออกมาทำให้ตกใจกลัว ตกใจยืนอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับสักนิด
“ทำอะไร?” ขุนนางเดินออกมาเอ่ยถามเฉียบขาด
คนรับใช้ถอยมาถึงข้างกายของเขาแล้ว ก้มสายตามองเด็กสาวคนนี้
“ข้า ข้าส่งน้ำ” เด็กสาวเอ่ยๆ ติดๆ ขัดๆ เสียงแหบพร่า ชี้ไปที่ห้องข้างๆ ด้วยมือที่สั่นเทา
ห้องด้านนั้นด้านในยังจุดโคมสว่างอยู่เช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามีคนยังไม่พักผ่อน
เด็กสาวคนนี้…คงเป็นครอบครัวของตาเฒ่าคนรับใช้ของศาลาพักม้าคนนั้น
ตาเฒ่าศาลาพักม้าคนนั้นมีภรรยาเฒ่าคนหนึ่งกับลูกสาวคนหนึ่ง เดินไปเดินมาในเรือนยุ่งมาพักใหญ่แล้ว
ขุนนางไม่ได้สนใจ
“ยังมีน้ำร้อนไหม?” เขาถือโอกาสเอ่ยถาม
เด็กสาวสีหน้าลนลาน
“นี่เป็น นี่เป็นด้านนั้นต้องการก่อน” นางว่า แล้วรีบร้อนกลัวขุนนางท่านนี้โกรธ “ข้าจะไปต้มอีก ใต้เท้าโปรดรอสักครู่”
เขาก็หาใช่เพื่อต้องการน้ำร้อน โบกมือหมุนตัวเข้าไปแล้ว
เด็กสาวตะลีตะลานคำนับ หลังจากนั้นถึงหิ้วถังไม้เดินไปยังห้องด้านข้าง
คนรับใช้ยืนอยู่ที่ประตูมองนางอยู่ตลอด มองเห็นเด็กสาวเคาะประตูห้องด้านข้าง ผู้ชายที่ผลัดผ้าเหลือเพียงเสื้อตัวในคนหนึ่งเปิดประตูออกมา
“ใต้เท้าน้ำร้อนของท่านเจ้าค่ะ ” เด็กสาวเอ่ยขึ้น
ผู้ชายขานรับแล้วยื่นมือมารับ ส่วนอีกมือหนึ่งปิดประตู
เด็กสาวพรูลมหายใจ ยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้า บนหน้าผาก บนหน้าเพราะจุดไฟเปื้อนถ่านยิ่งถูยิ่งเป็นปื้น นางตบหัวไหล่นิดหนึ่งไม่กล้าพักนาน ก้าวไวๆ ไปทางด้านหลังเรือน
สายตาของคนรับใช้ไล่ตามนางอยู่ตลอด
เด็กสาวเดินเอื่อยเฉื่อยท่าทางตามสบายอย่างเด็กสาวชนบทที่ไม่มีใครสั่งสอน บางครั้งยังยักไหล่โคลงหัว คลายความเหนื่อยล้า
สายตาของคนรับใช้จ้องเขม็งที่นาง หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว จนกระทั่งนางเลี้ยวผ่านมุมอาคาร
คนรับใช้ยืนอยู่เงียบๆ รอครู่หนึ่งถึงหมุนตัวเข้าไปในห้อง นอกจากนี้ยังปิดประตู
“มีปัญหาอะไรหรือ?” ขุนนางในห้องเอ่ยถาม
คนรับใช้หัวเราะ
“ตอนนี้ยังคิดไม่ออก” เขาเอ่ยขึ้น ห้ามคำถามของขุนนางไว้ “ดึกแล้ว พักผ่อนก่อนเถิด”
ขุนนางไม่ถามต่อ ขานรับอย่างนอบน้อม เป่าโคมไฟในห้องดับ
ในห้องตกอยู่ท่ามกลางความมืดขมุกขมัว
“เตียงปูเสร็จแล้ว ท่านพักผ่อนเถิด”
เสียงเบาๆ เอ่ยขึ้นในความมืด
พร้อมกับเสียงสวบสาบ จากนั้นครู่หนึ่งทุกสิ่งก็กลับสู่ความเงียบสงบ
ท่ามกลางราตรีมืดมิดอันเงียบสงัด เงาคนผู้หนึ่งปีนข้ามกำแพงดินที่เก่าพังไปครึ่งหนึ่งของศาลาพักม้าออกไป อาศัยแสงดาวที่เดี๋ยวเลือนเดี๋ยวปรากฏ มองเห็นว่านี่คือเด็กสาวคนหนึ่ง สวมใส่เพียงเสื้อตัวในเท่านั้น ส่วนเสื้อตัวนอกกอดอยู่ในอ้อมแขน
หน้าของนางดำดุจเดียวกับสีท้องฟ้ายามราตรี มีเพียงดวงตาทั้งคู่สุกใสดั่งดวงดารา
วันนี้ไม่ได้มาเสียเปล่าแล้ว คำเรียกขานว่าใต้เท้าประโยคหนึ่งอย่างน้อยยืนยันได้หนึ่งเรื่อง นี่ก็เพียงพอแล้ว ที่แห่งนี้ไม่อาจรั้งอยู่ต่อ
รีบหนี
รีบหนี
นางข้ามกำแพง ไม่ทันสนสวมใส่เสื้อผ้าก็วิ่งเต็มฝีเท้า หายลับไประหว่างเหวสูงต่ำ
…
ด้านนอกตรอกตระกูลหลิน เสียงร้องไห้ของหลิ่วเอ๋อร์ยังคงดังต่อเนื่อง
นายหญิงผู้เฒ่าฟางถูกร้องไห้ใส่จนแน่นหน้าอก
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร!” นางตวาด “อยู่ดีๆ เดี๋ยวตายเดี๋ยวรอดได้อย่างไร เจ้าแช่งคุณหนูของเจ้าหรือ”
“นั่นไม่ใช่คุณหนูของบ้านเจ้า เจ้าก็พูดง่ายสิ” หลิ่วเอ๋อร์ร้องไห้ตะโกน
นายหญิงผู้เฒ่าฟางโกรธจนเจ็บหน้าอก
“นางเป็นหลานสาวของข้า” นางตวาด
“หลานสาวเจ้าแล้วอย่างไร? ก็สำคัญไม่เท่าหลานชายของเจ้า” หลิ่วเอ๋อร์ร้องไห้พูด ยื่นมือชี้ฟางเฉิงอวี่ “ตอนนี้เขารักษาหายดีแล้ว คุณหนูของข้าก็ไม่มีประโยชน์แล้ว พวกเจ้าก็ไม่ยอมล่วงเกินผู้อื่นเพื่อคุณหนูของข้าแล้ว”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าคล้ำเขียว หายใจไม่ออก ร่างกายโงนเงนทีหนึ่ง
ฟางเฉิงอวี่รีบยื่นมือพยุง
“หลิ่วเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” เขาว่า “ท่านย่าไม่ได้หมายความเช่นนี้”
“ข้าไม่สนพวกเจ้าหมายความว่าอะไร” หลิ่วเอ๋อร์ร้องไห้เอ่ยขึ้น พุ่งตรงไปทางตรอกตระกูลหลิน “พวกเจ้าไม่หา ข้าหาเอง”
คนของตระกูลหลินด้านนั้นเตรียมป้องกันนางนานแล้ว เบียดเข้าขวาง ขวางไว้ได้ แม้ไม่ถึงกับเหมือนด้านนั้นก่อนหน้านี้ตบตีนางรอบหนึ่ง แต่ก็อาศัยการพุ่งฝ่าเข้ามาของหลิ่วเอ๋อร์ถือโอกาสผลักหลิ่วเอ๋อร์ล้มไปกับพื้น
หลิ่วเอ๋อร์เช็ดน้ำตาลุกขึ้นพุ่งเข้าไปอีกครั้ง
ฟางจิ่นซิ่วหลุบสายตา
“เจ้าดูสิ เจ้าดูสิ” หัวหน้าตระกูลหลินเอ่ยขึ้น ถอนหายใจ “หลีก หลีก ให้นางไปหา”
ผู้คนตระกูลหลินตอนนี้ถึงหลีกทาง หลิ่วเอ๋อร์ร้องไห้พุ่งเข้าไปแล้ว
นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าคล้ำเขียวยังไม่ทันคลาย ฟางเฉิงอวี่ตบปลอบนางเบาๆ
“ไม่เช่นนั้น นายหญิงผู้เฒ่าฟาง ท่านพักผ่อนรอดูอยู่ที่นี่” หัวหน้าตระกูลหลินเอ่ยขึ้น “พวกเราก็ไม่ใช่ไม่ตามหาคน คนย่อมต้องตามหาแน่ๆ”
เพียงแต่ไม่ต้องโวยวายเช่นนี้ สงบจิตสงบใจตามหาเงียบๆ
บรรดาขุนนางพยักหน้าต่อกันหลายทีเช่นกัน เช่นนี้ดีที่สุดแล้ว ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย หน้าตาของทุกคนล้วนน่าดู แล้วก็คลี่คลายคำวิพากษ์วิจารณ์ที่วันนี้ชักนำให้เกิดขึ้นได้ด้วย
นายหญิงผู้เฒ่าฟางยังไม่พูดจา ฟางเฉิงอวี่ยิ้มให้พวกเขา
“รบกวนทุกท่านรอสักครู่ ข้ากับท่านย่ายังมีคำพูดพูดกันไม่จบ” เขาว่า
……………………………………….