Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 83 เรื่องน่าตระหนกเรื่องหนึ่ง
ไม้เท้าที่ไม่สะดุดตาสักนิดอันนั้น ถูกนายหญิงผู้เฒ่าฟางใช้ตามใจรวมถึงวางไว้ในห้องตามใจอันนั้นถึงกับซ่อนราชโองการแผ่นหนึ่งไว้
แต่ไม้เท้าอันนี้ก็สำคัญมากจริงๆ
ทุกครั้งที่ประสบเรื่องใหญ่ ทุกครั้งที่พบกับเหวที่ข้ามไปไม่ได้ นายหญิงผู้เฒ่าฟางล้วนถือมันไว้
ไม้เท้านี่เป็นที่พึ่งจริงๆ
หรือพูดได้ว่าหลายครั้งนั้นนายหญิงผู้เฒ่าฟางเตรียมจะใช้มัน แต่ในที่สุดล้วนไม่ได้ใช้
ไม่อาจใช้ ไม่กล้าใช้ หรือไม่คุ้มที่จะใช้?
ในดวงตาของนายหญิงใหญ่ฟางน้ำตากลิ้งร่วง
นางก้มตัวคุกเข่าคำนับ
“แม่จ๋า ยายจ๋า” เฉินชีพึมพำ มองไปทางฟางจิ่นซิ่ว “สวรรค์ทรงโปรด ไม่แปลกที่ตระกูลฟางของพวกเจ้าจะมั่งคั่งปานนี้ ที่แท้ก็มีราชโองการเรียกทรัพย์นี่เอง”
เขาคุกเข่าลงช้าๆ
ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้ฟังคำพูดของเขาสักนิด ตัวของนางตื่นตะลึงจนนิ่งงันไปแล้ว ถูกเฉินชีดึงให้คุกเข่าลง
ตลอดมานางคิดว่าตระกูลของตนเป็นพ่อค้าฐานะต่ำต้อยแห่งหนึ่ง แม้มีเงินก็ยังต้องถูกตระกูลขุนนางเหล่านั้นดูแคลน
คิดไม่ถึงในมือพ่อค้าต่ำต้อยเช่นพวกเขานี้กลับมีราชโองการที่โอรสสวรรค์ประทานมาของจริง นอกจากนี้ยังเป็นราชโองการที่กำเริบเสิบสานอำนาจไร้เทียมทานเหมือนดั่งพระองค์มาเองอีกด้วย
ที่แท้นี่ก็คือความลับของตระกูลฟางของพวกเขา
บรรดาขุนนางคุกเข่า สีหน้าตื่นตะลึงทั้งยังเข้าใจ
มิน่าตระกูลฟางถึงเคลื่อนทหารม้าของสองเมืองซานซีเหอหนานมาใช้เพื่อพวกเขาได้
มิน่าคนตระกูลฟางสอบสวนนายอำเภอหลี่ในคุก ถึงขนาดสังหารนายอำเภอหลี่ต่อหน้าทุกคนโดยที่เจ้าเมืองหม่าผู้มีชื่อเสียงโด่งดังว่าหน้าเหล็กไร้ใจทำเหมือนคนตาบอด
ที่แท้นี่ก็คือความลับของตระกูลฟาง
บรรดาขุนนางสีหน้ายุ่งเหยิงอีกครั้ง
ที่แท้นายอำเภอหลี่ก็ถูกปาดคอในคุกเพราะจะพูดความลับเรื่องนี้ออกมา
ตระกูลฟางเพื่อรักษาความลับประการนี้ไม่เสียดายฆ่าคนปิดปาก
ตระกูลฟางรักษาความลับนี้ ความตายของนายท่านผู้เฒ่า ความตายของนายท่านฟาง ฟางเฉิงอวี่ต้องพิษล้วนไม่เปิดเผยได้
พวกเขาซอกแซกถามก็ถามความลับนี้ของตระกูลฟางออกมาไม่ได้
คิดว่าเรื่องทำลายประตูใหญ่จวนว่าการอำเภอ สังหารนายอำเภอเรื่องนี้ของหยางเฉิงจะกลายเป็นตำนานที่ไม่อาจคลี่คลายเรื่องหนึ่งแล้ว แต่งเติมกลายเป็นเทพเซียนช่วยเหลือ คนดีได้ดี เปาบุ้นจิ้นสะสางความอยุติธรรมอันเนิ่นนาน เล่าต่อกันด้วยปากของนักเล่านิทาน
คิดไม่ถึงชั่วเวลาละสายตา ตระกูลฟางก็ประกาศความลับนี้กลางถนนใหญ่แล้ว เพียงเพื่อตามหาเด็กซุกซนคนหนึ่งที่ดึกดื่นไม่กลับบ้าน
นี่ทำให้คนช่าง….ไม่รู้จะพูดอะไรดี
หัวหน้าตระกูลหลินยิ่งไม่รู้จะพูดอะไรดี มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางยกราชโองการนิ่งงัน แสงคบไฟสาดส่องแสบตาเป็นพิเศษ
“คราวนี้ดีแล้ว” เขาคุกเข่าช้าๆ พึมพำ “พวกนางสามารถรื้อตระกูลหลิน กวาดหยางเฉิงให้ราบ พลิกฟ้าพลิกดินได้จริงๆ แล้ว”
ฝูงชนที่เดิมทีเบียดเสียดยืนอยู่บนถนนใหญ่ล้วนคุกเข่ากับพื้นร้องทรงพระเจริญหมื่นปีดังระงม บนถนนใหญ่ราวกับน้ำเดือดพริบตาร้อนระอุอย่างยิ่ง
ฟางเฉิงอวี่สีหน้าฟื้นกลับคืน คุกเข่าลงเล็กน้อยก็ลุกขึ้น ก้าวไปข้างหน้ารับราชโองการจากในมือนายหญิงผู้เฒ่าฟาง พลิกตัวขึ้นม้า
“ค้น!” เขายกราชโองการในมือขึ้น เอ่ยเสียงเรียบ
เสียงกีบเท้าม้าบนถนนใหญ่ดังขึ้นพร้อมเพรียง เสียงฝีเท้าวุ่นวายพักหนึ่ง เสียงดั่งสายฟ้าคำรน
บรรดาผู้คุ้มกันขึ้นม้าตามฟางเฉิงอวี่ หันหัวม้าไป
ผู้ดูแลเกาก็ยกแส้ขึ้นเหมือนกัน เหลยจงเหลียนมือข้างเดียวขึ้นม้า พร้อมกันนั้นก็ดึงไม้กระบองแทงหนึ่งออกมาจากบนหลังม้า
แม้เขามีเพียงมือเดียว สังหารโจรไม่ได้ แต่จับคนชั่วก็ยังสู้ได้อยู่บ้าง
“พี่ใหญ่ ท่านไปกับท่านน้าหยวน” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยขึ้น “ข้าไปกับท่านแม่”
ฟางอวิ๋นซิ่วเชื่อฟังการจัดการของฟางอวี้ซิ่วเสมอ นางหยวนก็ขานรับดึงฟางอวิ๋นซิ่วไว้เช่นกัน สองคนขึ้นรถม้าคันหนึ่ง
ฟางอวี้ซิ่วกับนายหญิงใหญ่ฟางขึ้นรถคันหนึ่งเช่นกัน บรรดาสาวใช้หญิงรับใช้ข้างกาย ที่นั่งรถ ที่ก้าวเดิน ยังมีที่ขี่ม้าต่างยุ่งกับงานของตนเองแต่ไม่วุ่นวาย
เสียงเอะอะควบคู่กับคบไฟวิ่งไปทั่วทุกสารทิศดังอึกทึก
พื้นดินทั้งหยางเฉิงล้วนสะเทือนสั่นไหว
บรรดาขุนนางก็ยืนขึ้นมา มองภาพนี้สีหน้าไม่รู้จะทำอย่างไร
“พวกเราทำอย่างไร?” มีคนเอ่ยถาม
“ทำอย่างไร? ยังทำอย่างไรได้? พวกเขาถือราชโองการ พวกเราไม่น้อมรับโองการได้หรือ? จะขัดโองการหรอ?” มีคนร้องขึ้น “คนตระกูลฟางเสียสติหมดแล้ว มีเรื่องด้วยไม่ได้”
ไม่ผิด พวกเขาไม่อยากถูกบั่นคอ แล้วก็ไม่อยากถูกส่งขึ้นแท่นประหารฟันสามดาบด้วย
บรรดาขุนนางรีบลงมือทันทีเช่นกัน
“เร็ว เร็ว เรียกรวมคน”
“ค้นหาหลินเฉิง”
หลังเสียงโหวกเหวกวุ่นวายพักหนึ่ง ถนนใหญ่ด้านหน้าตรอกตระกูลหลินก็กลับคืนสู่ความสงบ แต่ทั้งเมืองหยางเฉิงกลายเป็นอึกทึกขึ้นมา
หัวหน้าตระกูลหลินยังคงคุกเข่านิ่งงันอยู่กับพื้น ผู้ติดตามคนหนึ่งขยับเข้ามาอย่างขลาดๆ
“นายท่าน พวกเราทำอย่างไร?” เขาเอ่ยถามเสียงสั่น
“ยังทำอย่างไรได้? รีบไปหาคนสิ หาไม่พบ พวกเราตระกูลหลินล้วนต้องลงสุสานเป็นเพื่อนเขาแล้ว” หัวหน้าตระกูลหลินกระโดดขึ้นจากพื้นร้องตะโกน
ความอึกทึกวุ่นวายห่างไกลออกไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีคบไฟแล้ว ถนนใหญ่ก็ตกจมสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
ฟางจิ่นซิ่วยืนอยู่ในความมืด มองแสงสว่างวิบวับที่สว่างขึ้นไม่ขาดรอบด้านไกลออกไป ราวกับดาวดาราร่วงหล่นเต็มท้องฟ้า แม้ความมืดของค่ำคืนโอบล้อมฟ้าดิน เปลวไฟของดวงดาราดเหล่านี้ก็ขับไล่ความมืดมิดอึมครึมไปได้เช่นกัน
นางถอนหายใจยาวๆ นั่งลง
“เอ๋? เจ้าไม่ไปหรือ?” เฉินชีเอ่ยถาม
“ข้าไม่อยากไป” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น “ข้าเหนื่อยแล้ว พักสักครู่”
เฉินชีนั่งลงกับพื้นเสียงดังอีกครั้ง
“โถๆ แม่เอ้ย ทำข้าตกใจแทบตาย” เขาว่า ดวงตาทั้งคู่สว่างวิบวับท่ามกลางราตรีมืดมิด “เป็นอะไรเล่า? ตระกูลฟางของเจ้าถึงกับมีราชโองการ? บรรพบุรุษของพวกเจ้าไม่ใช่ชาติกำเนิดเป็นชาวนาหรอกหรือ? เกี่ยวข้องกับองค์ฮ่องเต้ได้อย่างไร?”
“หุบปาก” ฟางจิ่นซิ่วเอ็ด
เฉินชีงึมงำประโยคหนึ่งก็ไม่พูดต่ออีก บนถนนใหญ่ตกสู่ความเงียบสงัด
และในเวลาเดียวกันนี้เองในคฤหาสน์แห่งหนึ่งนอกเมือง ค่ำคืนมืดมิดยังจุดโคมไฟดวงแล้วดวงเล่า ในห้องบางครั้งมีเสียงหัวเราะแว่วหวานของหญิงสาวลอยออกมา
ตรงทางเดินเด็กรับใช้สองคนยืนอยู่ สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อสัปหงก ผงกหัวแรงทีหนึ่งก็ตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงหัวเราะนี้ก็อดไม่ได้ถูใบหน้า
“ทำไมยังไม่นอนอีกนะ” เขาพึมพำเบาๆ
เด็กรับใช้ด้านข้างขำ
“นอนมาทั้งบ่ายแล้ว ต้องผ่อนคลายจิตใจสิ” เขายักคิ้วหลิ่วตาเอ่ยขึ้น
กำลังคุยเล่นเสียงเบาอยู่ ด้านนอกเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ค่ำคืนดึกดื่นทำคนตกใจเป็นพิเศษ
เด็กรับใช้ทั้งสองตกใจสะดุ้งโหยง สบตากันทีหนึ่ง
“นี่เที่ยงคืนนะ ใครกัน?” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“คนผ่านทางขอค้างคืนรึ?” อีกคนหนึ่งเอ่ยเดา
“สถานที่นี้ของพวกเราจะรับค้างคืนได้อย่างไร ไม่ต้องสนเขา” คนแรกเอ่ยขึ้น
เสียงเคาะประตูหยุดลงแล้ว แต่หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็ดังขึ้นอย่างร้อนรนอีก ครั้งนี้แม้แต่คนในห้องก็ได้ยินแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” มีเสียงผู้ชายเอ่ยถาม
“นายท่านสาม ไม่รู้ขอรับ จะไปดูหรือไม่?” เด็กรับใช้รีบเอ่ยตอบ
คนในห้องยังไม่ทันตอบ คนที่เคาะประตูด้านนอกก็รีบร้อนร้องตะโกนขึ้นมา
“นายท่านสาม นายท่านสาม รีบเปิดประตู รีบหน่อย ที่บ้านเกิดเรื่องแล้ว”
ที่บ้าน?
บรรดาเด็กรับใช้ตกใจสะดุ้งโหยง ในห้องพริบตาก็เงียบเสียง หลังจากนั้นครู่หนึ่งจึงมีเสียงหวานของผู้หญิงบ่น ตามติดด้วยเสียงปลอบประโลมเบาๆ ของผู้ชาย
“ให้พวกเขาไสหัวไป” หลังจากนั้นผู้ชายก็ขึ้นเสียงเอ่ยขึ้น “ไม่ดูเวลาเสียบ้าง ตามหามั่วซั่วอันใด”
เด็กรับใช้รับคำสั่งไปแล้ว
ประตูยังเคาะดังสนั่น
“ไม่ต้องเคาะแล้ว รีบไสหัวไป” เด็กรับใช้เอ่ยเอ็ดด้านนอกประตู
คนด้านนอกราวกับถูกด่าจึงร้อนรนแล้ว ใช้มือไม่หยุด แม้กระทั่งเท้าก็เตะเอาแล้ว
“รีบหน่อย รีบหน่อย เกิดเรื่องแล้ว นายท่านหัวหน้าตระกูลออกคำสั่งด้วยตนเองให้ตามหาเจ้า รีบหน่อย” คนด้านนอกประตูตะโกนเสียงร้อนรน
แม้แต่หัวหน้าตระกูลก็ยกมาแล้ว?
เสียงนี้ดังไปถึงด้านในห้องด้วย คนด้านในโกรธมากแล้ว ตบประตูเปิด แสงโคมสลัวด้านหลังร่างทำให้ร่างมืดมัวของเขาถูกขับเด่น
“เรื่องใหญ่เหลวไหลที่ไหนวุ่นวายไปถึงหัวหน้าตระกูล ช่างน่าขายหน้าเสียจริง วุ่นวายไปถึงหัวหน้าตระกูลที่นั่นก็วุ่นไปสิ นับเป็นเรื่องใหญ่อันใด” อาลักษณ์หลินเลิกคิ้วตวาดขึ้น “วันนี้ข้าจะไม่เปิดประตู ดูสิใครกล้าเข้ามา”
เสียงนี้เขย่าขวัญอย่างยิ่ง เสียงเคาะประตูด้านนอกเงียบไปทันที ด้านในด้านนอกตกสู่ความเงียบสงัดใหม่อีกครั้ง
อาลักษณ์หลินพรูลมหายใจ ทั้งกรุ่นโกรธทั้งดูแคลน เพิ่งกำลังจะสะบัดแขนเสื้อเข้าไปก็ได้ยินเสียงปังทีหนึ่ง ประตูใหญ่ที่ปิดสนิทอยู่ปลิวขึ้นมาฟาดมาทางด้านในเรือน
สถานการณ์กะทันหันนี้ทำให้เด็กรับใช้สองคนหลุดเสียงร้องตกใจ กุมหัวโดยไม่รู้ตัว และในเวลาเดียวกันโคมไฟนับไม่ถ้วนก็สว่างขึ้นด้านนอกประตู พร้อมกับเสียงกีบเท้าม้าเร่งรีบ เสียงเอะอะของผู้คน ราวกับคลื่นน้ำทะลักมา
บิดามารดาของข้า
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
อาลักษณ์หลินยืนอยู่ตรงประตูห้องตาโตอ้าปากค้าง มองลอดประตูใหญ่ที่ถูกกระแทกปลิวออกไปดูฝูงชนที่ทะลักมาด้านนอก
คบไฟสว่างแสบตา ชั่วขณะหนึ่งมองไม่ชัด รอปรับสายตานี้ได้ถึงมองเห็นทหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าถืออาวุธยืนอยู่นอกประตู
“มารดา” เขาเบิกตาหลุดปากร้องขึ้นมา “ก็แค่เลี้ยงเมียเก็บไหม? ถึงกับต้องขยับแม้กระทั่งทหารเลยรึ?”
……………………………………….