Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 85 ความคิดต่างกัน
คนด้านในด้านนอกเรือนฮือถอยไปราวกับคลื่นน้ำ พริบตาก็หายไปท่ามกลางท้องฟ้าราตรีที่เริ่มปรากฏสีขาว เหลือเพียงผู้คนตระกูลหลิน
“ค้นเมืองรึ! พวกนางบ้าไปแล้วกระมัง? จะค้นเมืองจริงๆ รึ?” หัวหน้าตระกูลหลินเอ่ยขึ้น
อาลักษณ์หลินไม่สนว่าตระกูลฟางจะค้นอะไร อย่ามาค้นเขาก็พอ
มากะทันหัน ไปก็ฉับไว หากไม่ใช่ประตูใหญ่ที่ถูกกระแทกปลิวยังล้มอยู่ในเรือน อาลักษณ์หลินคงจะสงสัยว่าเมื่อครู่เป็นฝันตื่นหนึ่ง
“ดีที่แม้ว่าจะเป็นฝันร้าย ก็นับว่าตื่นจากฝันแล้ว” เขาพรูลมหายใจเอ่ยขึ้น
เสียงของเขาเพิ่งจบลง ด้านนอกก็มีเสียงโหวกเหวกดังขึ้นอีก
อาลักษณ์หลินกับหัวหน้าตระกูลหลินสะดุ้งโหยงในใจ ลมหายใจชะงัก
หรือคนตระกูลฟางจะเล่นอุบายย้อนม้าแทงหอกอีก?
นอกประตูคนกลุ่มหนึ่งโถมเข้ามา ต่างจากบรรดาผู้ชายทหารก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง
“หลินเฉิง!” หญิงที่นำหน้าร้องเสียงแหลม “เจ้าคนใจหมาใจสุนัขคนนี้ ถึงกับกล้าปิดข้าเลี้ยงสาวไว้”
ซวยแล้ว!
อาลักษณ์หลินฉับพลันทั้งร่างเหงื่อกาฬแตกพลั่กทันที สีหน้าเปลี่ยนวูบ
ฝันร้ายยังไม่จบ นี่เพิ่งเริ่มต้น
ในเรือนหลังน้อยตกสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง แตกต่างจากเสียงโอดคราวญด่าทอของบรรดาผู้ชายครั้งก่อน ครั้งนี้เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องและเสียงร้องไห้ร้องด่าของบรรดาผู้หญิง
หลังจากนั้นแทบจะครู่เดียวทั้งหยางเฉิงก็ตกสู่ความโกลาหลไปหมด ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นเสียงตะโกนเสียงร้องเสียงร้องไห้ ในเมืองโคมไฟจุดสว่างตลอด ทั้งเมืองราวกับถูกจุดไฟเผา
ส่วนในทุ่งยิ่งดูมืดสนิท เสียงร้องเบาๆ ทีหนึ่ง เงาดำที่วิ่งอยู่ก็โถมล้มลงกับพื้น
นางไม่ได้หยุดสักนิดกระโดดลุกขึ้น เก็บเสื้อผ้าที่ตกกระจายขึ้นมา ขโยกเขยกเดินหน้าต่อไป
รีบวิ่ง รีบวิ่ง ดึงระยะห่างยิ่งไกลยิ่งดี
และในเวลาเดียวกันในห้องเล็กเตี้ยที่ศาลาพักม้า คนที่เดิมนอนหลับไปแล้วก็พลันลุกขึ้นนั่ง
“ไม่ถูก” เขาเอ่ยขึ้น
คนที่พูดคำนี้ลงจากเตียงก้าวไวๆ ไปด้านนอก คนที่นอนอยู่บนพื้นไม่ทันป้องกันถูกเหยียบไปหนึ่งเท้าส่งเสียงร้องตกใจทีหนึ่งออกมา
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” คนบนพื้นร้องตระหนก ค่อยๆ มองประตูที่ถูกเปิดออก คนรับใช้คนนั้นพุ่งออกไปแล้ว
ศาลาพักม้าที่เดิมทีในที่สุดก็จมดิ่งสู่การหลับใหลกลายเป็นเสียงดังวุ่นวายขึ้นมา ไฟโคมที่ดับไปแล้วค่อยๆ จุดสว่างขึ้น
คนคลุมเสื้อตาปรือง่วงงุนเดินออกมาจากด้านในห้อง เอ่ยถามทางไปเรือนด้านหลัง
ที่นั่นครอบครัวของข้ารับใช้ประจำศาลาที่นอนหลับอยู่ถูกเรียกขึ้นมา
ข้ารับใช้ประจำศาลาเป็นทหารชรากับภรรยาและลูกสาวตัวสั่นเบียดอยู่ด้วยกัน สีหน้าตระหนกมองผู้ชายด้านหน้า
“เงินของข้าหายไป” ข้ารับใช้เอ่ยโกรธเกรี้ยว ยื่นมือชี้เด็กสาวที่หดตัวอยู่ในอ้อมกอดของหญิงเฒ่า “มีแต่เจ้าเคยมาที่ฝั่งนี้ของข้า”
เด็กสาวตกใจสั่นเทาทั้งร่าง จะหลบเข้าไปในอ้อมกอดของแม่กลับถูกหญิงเฒ่าผลักออกมา
“หว่าเอ๋อร์ เป็นเจ้าหรือเปล่า?” หญิงเฒ่าเอ่ยถามเสียงสั่น
เด็กสาวถูกผลักออกมา ปรากฏต่อหน้าผู้คน สายตาของข้ารับใช้คมกริบกวาดผ่านนาง
รูปร่าง ตอนนั้นสวมเสื้อผ้าหลวมโพรกเห็นชัดว่าใช้เสื้อเก่ามาแก้เป็นเสื้อผ้า ส่วนตอนนี้สวมเสื้อตัวใน รูปร่างไม่อาจตัดสินได้
ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าตระหนก หน้าที่ไม่ได้ล้างคราบถ่านสกปรก
ค่ำมืด ใต้แสงโคมสลัวมองไปก็ใกล้เคียง
“ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่ได้ทำ”เด็กสาวเอ่ยขึ้น
เสียงหยาบพร่า เพราะตระหนกและสั่นเทาสั่นเครือไม่ชัด
สำเนียงเหมือนกัน
คนรับใช้ขมวดคิ้ว
หรือคิดมากไปแล้ว?
“เจ้าไม่ได้มีไปส่งน้ำที่พวกเราด้านนั้นหรือ?” ข้ารับใช้ตวาดขึ้น
ส่งน้ำ
เด็กสาวพยักหน้าหวาดผวา แล้วก็ส่ายศีรษะ
“สรุปว่ามีหรือไม่?” ข้ารับใช้ตวาดขึ้น
“นายท่าน ลูกสาวข้าคืนนี้ส่งน้ำสิบกว่ารอบ ที่ไหนล้วนไปทั้งสิ้น แต่ขโมยของนี่ ไม่ได้ทำจริงๆ” ข้ารับใช้ศาลาพักม้าเอ่ยวิงวอน “นายท่าน ไม่มีจริงๆ นะขอรับ ข้าเอาชีวิตเป็นประกัน”
ข้ารับใช้ไม่ได้สนใจเพียงแต่จ้องเขม็งที่เด็กสาวคนนี้ เด็กสาวตัวสั่นระริก
เขาสงสัยมากไปแล้วหรือ?
ที่ใดไม่ถูกต้องกัน?
ทำไมนอนยังไม่ทันหลับ ความรู้สึกในจิตใต้สำนึกก็ทำให้เขาพลันตกใจตื่นขึ้นมาอย่างประหลาด
เขามองเด็กสาวตรงหน้า เทียบกับเงาแผ่นหลังในความมืดยามค่ำคืนเมื่อครู่ ผสมเข้าด้วยกัน แยกออกจากกัน….
อ้อนแอ้น!
ดวงตาของข้ารับใช้สว่างวาบ
เป็นความประหลาดที่ความรู้สึกอ้อนแอ้นเช่นนั้นนำมา
เงาแผ่นหลังนั้นมีความรู้สึกอ้อนแอ้นบางอย่าง การเคลื่อนไหวท่าทางที่หยาบกระด้างก็ปิดบังความรู้สึกอ้อนแอ้นนั่นไม่มิด
เด็กสาวล้วนอ้อนแอ้น แต่ความอ้อนแอ้นเช่นนี้ปรากฏอยู่บนร่างของเด็กสาวข้ารับใช้ศาลาพักม้าคนนี้แลดูพิกล
ความอ้อนแอ้นเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ตระกูลใหญ่มั่งคั่งอาภรณ์ชั้นเลิศอาหารชั้นดีเช่นนั้นถึงเลี้ยงออกมาได้
“พวกเจ้าวันนี้มีกี่คนกันแน่…”
ข้ารับใช้ก้าวเข้าไปหนึ่งก้าวตวาดถาม
คำพูดของเขายังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงโหวกเหวกด้านนอก
“เร็วเข้า เร็วเข้า ใต้เท้าเจ้าเมืองจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้” มีคนร้องเรียกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกเหล่านี้เสียงดัง
ออกเดินทางเดี๋ยวนี้?
คนทั้งหมดงงงันไปครู่หนึ่ง ข้ารับใช้ก็หยุดสอบถาม
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ทุกคนเอ่ยถาม
“ตระกูลฟาง หยิบราชโองการออกมาจะค้นหยางเฉิงแล้ว” คนผู้นั้นตะโกนบอก
ราชโองการ!
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ฮือฮา
“ตระกูลฟางมีราชโองการได้อย่างไร?”
“ตระกูลฟางทำไมจะค้นหยางเฉิง?”
คำถามผุดขึ้นรอบทิศ
แต่คนผู้นั้นไม่ทันสนใจตอบละเอียดเช่นกัน
“ไม่รู้” เขาว่า “ดูเหมือนคนในตระกูลคนหนึ่งมีแค้นกับอาลักษณ์คนหนึ่งของหยางเฉิงเป็นเรื่องขึ้นมา”
พูดถึงตรงนี้ไม่รอให้ถามก็เร่ง
“เร็วหน่อย เร็วหน่อย ใต้เท้าเข้าเมืองไปก่อนแล้ว”
ผู้คนไม่กล้าชักช้า รีบร้อนวิ่งไปข้างนอก
ข้ารับใช้ยืนอยู่ที่เก่าสีหน้ายุ่งเหยิง
“ยังถามต่อไหม?” ขุนนางเอ่ยถามประโยคหนึ่งอย่างระมัดระวัง มองเด็กสาวที่หดตัวกลับไปอยู่ข้างกายบิดามารดา
ที่แท้มีคำถามอะไรล่ะ?
ข้ารับใช้ไม่ได้ขมวดคิ้วไม่มองเด็กสาวคนนั้นนานแล้ว แต่มองไปด้านนอกซึ่งไฟโคมกลายเป็นจุดสว่างไสว คนร้องตะโกนม้าร้องฟืดฟาด
“ราชโองการรึ ตระกูลฟางช่าง…” เขาเอ่ยขึ้น มุมปากยิ้มหยันบางๆ “ขวัญกล้า”
พูดจบก็มองครอบครัวของข้ารับใช้เฒ่าคนนั้นทีหนึ่ง สายตากวาดผ่านเด็กสาวที่สั่นระริก หมุนตัวก้าวเดิน
“ไป” เขาเอ่ย
นาทีที่มืดมิดที่สุดก่อนหน้าอรุณรุ่งมายือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทิศตะวันออกค่อยๆ สว่าง
เสียงเอะอะในเมืองก็ค่อยๆ สงบลง บนท้องถนนเริ่มมีคนไม่น้อยยื่นศีรษะยื่นหัวออกมา
ความวุ่นวายคืนวานก่อกวนคนทั้งตัวอำเภอ เทียบกับจวนที่ว่าการอำเภอถูกทุบประตูใหญ่พัง ประตูบ้านของบรรดาชาวเมืองถูกเคาะเปิดยามเที่ยงคืนคนบุกเข้ามาน่ากลัวยิ่งกว่า
คนเหล่านั้นที่ร้องว่ารับราชโองการไล่ค้นหาก็ไม่ใช่ทหาร ยิ่งไม่มีขุนนางติดตาม ส่วนราชโองการยิ่งไม่เห็น
ครั้งนี้โจรกบฏบุกจริงๆ แล้วกระมัง
ยังดีคนเหล่านั้นเพียงแค่ค้นหาทุกหนทุกแห่งในบ้าน สอบถามว่าเห็นอาลักษณ์หลินหรือไม่ ไม่ได้ตีคน ยิ่งไม่ได้สังหารคน สมบัติก็ไม่แตะต้องสักนิด
แม้ใจสั่นขวัญผวา แต่ก็ไม่ถึงกับวิญญาณหลุดขวัญกระเจิง
คนที่ค้นหาค่อยๆ ถอยไป แสงสว่างแทนที่ความมืดมิด บรรดาชาวบ้านทำใจกล้าเดินออกจากประตูบ้าน สอบถามข่าวคราว
“ที่แท้อาลักษณ์หลินก็เป็นพวกเดียวกับนายอำเภอหลี่เหมือนกันหรือ?”
“ตระกูลฟางถึงกับรับราชโองการมาตรวจสอบหรือ?”
“หรือว่าที่จริงไม่ใช่แค้นธรรมดา แต่เป็นสายลับขุนนางชั่วโจรกบฏจริงๆ รึ?”
“เช่นนั้นตระกูลฟางที่จริงก็ไม่ได้เปิดร้านแลกเงิน แต่เป็นขุนนาง?”
“มิน่าตระกูลฟางถึงร่ำรวยเช่นนี้”
คำถกเถียงต่างๆ นานาขยายการคาดเดาไปวุ่นวาย
ชาวบ้านที่โผล่ศีรษะค่อยๆ มารวมตัวกันด้านหลังร่างเหล่านี้ ฟางจิ่นซิ่วที่นั่งอยู่ริมถนนใหญ่ด้านหน้าประตูเมืองมาตลอดทำเป็นมองไม่เห็น นางเพียงมองไปนอกเมือง
ด้านหลังร่างเสียงกีบเท้าม้าดังเร่งร้อน ฟางจิ่นซิ่วหมุนร่าง เห็นคนขี่ม้ากลุ่มหนึ่งเร่งรีบมา
เฉินชีที่พิงหัวไหล่นางนอนฝันหวานอยู่เกือบหน้าทิ่มลงพื้น คนก็ถูหน้าสะลึมสะลือตื่นขึ้นมา
“ยามอะไรแล้ว?” เขาเช็ดน้ำลายเอ่ยขึ้น “หาพบไหม?”
ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้สนใจเขา คนก็ยืนขึ้นมา มองฟางเฉิงอวี่ที่เร่งมารวมถึงนายหญิงผู้เฒ่าฟาง ไกลออกไปอีก ยังมีคนมากยิ่งกว่ารวมตัวเข้ามา
คบไฟดับลงแล้ว บนหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยร้อนรน
หาไม่พบ
ไม่ต้องถาม มองสีหน้าของพวกเขาฟางจิ่นซิ่วก็รู้
“นี่เพิ่งหาคืนเดียวเท่านั้น” สีหหน้าฟางเฉิงอวี่ยังคงเหมือนเดิม บนหน้าถึงขนาดยังผุดรอยยิ้ม “ท่านย่า ท่านแม่ ท่านพี่ พวกท่านกลับไปพักผ่อน ข้าจะตามหาต่อ กลางวันก็ดี ข่าวส่งออกไปยิ่งเร็ว แหวกหญ้าให้งูตื่นบ้างครั้งก็ไม่ใช่เรื่องแย่”
นายหญิงใหญ่ฟางมองเขา ฟางเฉิงอวี่เดิมทีก็ร่างกายอ่อนแอ เวลานี้สีหน้ายิ่งแลดูซีดเผือด
เขาเพิ่งแก้พิษได้ไม่นาน เดิมทีร่างกายก็สั่งสมความอ่อนแอไว้ จากหรู่หนานเผชิญการปล้นฆ่า เร่งเดินทางกลับมา สอบสวนในห้องขัง ชมการประหารเซ่นสังเวย กล่าวได้ว่าฮึดหนึ่งลมหายใจยังไม่ได้พักเลย
ทนเช่นนี้ต่อไป จะทนได้อย่างไร
“เฉิงอวี่ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด พวกเราจะตามหาต่อเอง” นางว่า
“ใช่แล้ว ข้ากับพี่ใหญ่ทำเอง เจ้ากับท่านย่าล้วนกลับไปพักผ่อน หลังจากนั้นค่อยมาเปลี่ยนกับพวกเรา” ฟางอวี้ซิ่วก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มส่ายศีรษะ
“ข้าไม่เหนื่อย” เขาเอ่ย “ไม่เหนื่อยจริงๆ พวกท่านไม่รู้ คนหากฮึดหนึ่งลมหายใจไว้จะไม่เหนื่อย เวลานี้หยุดไม่ได้เด็ดขาด เมื่อหยุดแล้วปล่อยแรงฮึดแล้วกลับจะไม่ดี”
นี่หลักการอะไร?
นายหญิงใหญ่ฟางมองฟางเฉิงอวี่สีหน้าร้อนรน
“ถ้าอย่างนั้นหากวันนี้ยังหาไม่พบเล่า?” นางหลุดปากเอ่ยขึ้น
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นวันพรุ่งนี้ก็ยังหาต่อ” เขาเอ่ยขึ้น ดวงตาซึ่งเส้นสีแดงกระจายไปทั่วจริงใจและแน่วแน่ “วันนี้หาไม่พบ พรุ่งนี้หา พรุ่งนี้หาไม่พบ มะรืนหา หาต่อไปทุกวันๆ อย่างไรก็ต้องหาพบ ไม่มีทางหาไม่พบเด็ดขาด”
……………………………………….