Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 87 นี่ก็เป็นความเข้าใจผิดอีกครั้งหนึ่ง
เก็บสมุนไพร?
คำพูดนี้ทำให้คนที่อยู่ที่นั่นล้วนอึ้งไปแล้ว
ทั้งหยางเฉิงวุ่นวายเพราะนาง ทหารวิ่งวุ่นม้าวุ่นวาย คาดเดา ตระหนก ตะโกนร่ำไห้ แต่นางกลับปรากฏตัวขึ้นมาอย่างสบายๆ แล้วยังพูดประโยคหนึ่งว่าไปเก็บสมุนไพรมา
นี่เหมือนกับเคยมีปีหนึ่งในเทศกาลโคมไฟหยางเฉิง มีพ่อแม่ตกอกตกใจกรีดร้องว่าลูกน้อยถูกขอทานจับตีเอาตัวไปแล้ว ทางการปิดเมือง ชาวบ้านค้นหาสอบถาม วุ่นวายทั้งคืนแต่ละคนเหน็ดเหนื่อยโคมไฟก็ไม่มีใครชม เด็กคนนั้นกลับถือน้ำตาลปั้นแถวหนึ่งมุดออกมาจากใต้สะพาน บอกว่าหยิบน้ำตาลปั้นมากินแล้วไปหลบอยู่ข้างใต้สะพาน
เด็กน้อยไม่รู้จักความเป็นความตาย ไม่รู้ว่าการลาจากหมายถึงอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าความปลอดภัยของตนเองสำหรับคนในครอบครัวสำคัญมากเท่าไร
แต่คุณหนูจวินไม่ใช่เด็กน้อยคนหนึ่งแล้ว
นายหญิงใหญ่ฟางโกรธจนทั้งร่างสั่นเทา ตอนนี้นางไม่มีความคิดอะไรทั้งสิ้น
ความยินดีที่คนหายไปกลับคืนมา ความโล่งอกที่คำตอบทุกสิ่งปรากฏ ความหงุดหงิดที่ถูกหลอกเล่น
ตอนนี้นางล้วนไม่มีทั้งสิ้น ความคิดเพียงอย่างเดียวก็คือขอตบเด็กสาวคนนี้ตรงหน้าสักฝ่ามือ
หนึ่งฝ่ามือ แรงๆ ดังกังวาน
เรื่องเช่นนี้ปีที่แล้วนางแทบจะอยากทำทุกเวลาทุกนาที แต่ไม่เคยทำจริงๆ มาก่อน
ตอนนี้นางย่อมไม่ได้คิดเช่นนี้ตลอดเวลาแล้ว แต่เมื่อความคิดผุดขึ้นมาก็ไปทำทันที
นายหญิงใหญ่ฟางก้าวไวๆ เข้ามา ยกมือไปทางคุณหนูจวิน
ทว่าในเวลาเดียวกันก็มีคนก้าวไวๆ พุ่งเข้ามา ราวกับไม่ตั้งใจแต่พอดีเร็วกว่าก้าวหนึ่ง กอดหัวไหล่ของคุณหนูจวินไว้
“พี่สาว!” เขาร้องอย่างยินดี “ท่านกลับมาก็ดีแล้ว”
ฝ่ามือของนายหญิงใหญ่ฟางถูกขวางไว้ ตบลงบนหัวไหล่ของเขา
ฟางเฉิงอวี่ร้องทีหนึ่งราวกับเพิ่งสังเกตการกระทำของมารดา
“ท่านแม่” เขาหันหน้ามองนาง สีหน้าวิงวอนร้องขออย่างจริงใจ “ท่านอย่าโกรธเลยนะ”
นี่ยังไม่แต่งงานจริงๆ เลยนะ เขาก็ทนมองนางถูกตนเองแตะแม้แต่ปลายนิ้วไม่ได้แล้ว? ก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ แม้กระทั่งนางโกรธสักนิดก็ไม่ได้หรือ?
แต่งภรรยาลืมมารดาจริงๆ!
นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าหลากหลายอารมณ์
คิดไม่ถึงว่านางจะได้ลิ้มรสชาติยามบุตรชายปกป้องสะใภ้ด้วย
ความรู้สึกนี้ช่างเจ็บปวดจนบอกไม่ถูกจริงๆ
คนอื่นตอนนี้ยังตั้งสติไม่ทัน สีหน้ายุ่งเหยิงล้วนไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
หากเป็นจวินเจินเจินก่อนหน้านี้ ทุกคนคงอ้าปากด่าอย่างไม่เกรงใจสักนิดนานแล้ว
แต่ถ้าหากเป็นจวินเจินเจินก่อนหน้านี้ ทุกคนก็คงไม่ยกพลตามหานางเช่นนี้
เจ้าเมืองหม่าหัวเราะหยัน
“เก็บสมุนไพร” เขาเอ่ย มองสาวใช้กับเด็กหนุ่มที่กอดเด็กสาวไว้คนละข้าง ส่งเสียงเหอะทีหนึ่ง มองไปทางนายหญิงผู้เฒ่าฟาง “เก็บสมุนไพร”
เรื่องนี้ไร้สาะระเกินไปแล้ว เป็นตระกูลฟางของพวกเจ้ารวมหัวกันเล่นละครใช่หรือไม่?
พวกเจ้าต้องการอะไร?
เขามองไปทางคุณหนูจวิน เสียงเน้นหนัก
“เจ้าเก็บสมุรไพรเพื่ออะไร? เจ้าก็ไม่ใช่หมอหรือชาวไร่สมุนไพรเสียหน่อย ทำไมเจ้าไปเก็บสมุนไพร?”
ใช่สิ ทำไมเจ้าต้องเก็บสมุนไพร?
ข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ข้างกายขุนนางก็มองเด็กสาวคนนั้นด้วยสายตาคมกริบเช่นกัน
เก็บสมุนไพรต้องออกนอกเมืองหรือไม่?
คืนนั้นทั้งคืนเจ้าล้วนอยู่นอกเมืองใช่หรือไม่?
เจ้าไปที่ไหน? เจ้า กำลังเก็บสมุนไพร จริงหรือเปล่า?
คุณหนูจวินมองเจ้าเมืองหม่า
“ข้าเป็นหมอคนหนึ่งจริงๆ” นางเอ่ยขึ้นท่าทางเสียใจอยู่บ้าง
หมอ?
เจ้าเมืองหม่าขมวดคิ้วมองนาง
“เจ้า เจ้าจะเป็นหมอได้อย่างไร?” เขาเอ่ยถาม
ตั้งคำถามกับหมอคนหนึ่งว่าทำไมเป็นหมอ เหมือนจะเป็นคำถามหาเรื่องโดยไร้เหตุผล
คุณหนูจวินคิดนิดหนึ่ง
“เพราะท่านปู่ของข้าก็เป็นหมอคนหนึ่ง” นางเอ่ยตอบอย่างตั้งใจ
ท่านปู่ของข้าก็เป็นช่างตีเหล็กคนหนึ่ง!
ในใจเจ้าเมืองหม่าร้องตะโกน ทำไมข้ามาเป็นขุนนางได้เล่า?
“ใต้เท้า เป็นเช่นนี้จริงๆ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางก้าวมาข้างหน้าเอ่ยรับช่วงต่อ “ครอบครัวลูกเขยข้าเป็นตระกูลหมอ ลูกเขยแม้เป็นขุนนาง แต่มรดกวิชาของตระกูลไม่ได้หายไป นางตั้งแต่เล็กก็ร่ำเรียนวิชาแพทย์ของตระกูลแล้ว”
จวินอิ้งเหวินไม่ใช่ขุนนางของมณฑลซานซี แต่เพราะเป็นญาติของตระกูลฟาง เจ้าเมืองหม่าก่อนมาย่อมตรวจสอบประวัติของเขามาก่อน ตระกูลจวินเป็นหมอก็รู้มาเหมือนกัน
แต่ แต่
เจ้าเมืองหม่ามองไปทางคุณหนูจวินอีกครั้ง
“ทำไมเจ้าไปเก็บสมุนไพร” เขาตวาดขึ้นอีกครั้ง
แม้ปัญหาย้อนกลับมาจุดเดิมอีกครั้ง แต่ความนัยต่างกับครั้งแรก
เจ้าทำไมดันไปเก็บสมุนไพรเวลานี้? เจ้าเป็นนายหญิงน้อยของตระกูลฟางคนหนึ่งทำไมไปเก็บสมุนไพร?
“ใต้เท้า พี่สาวเพื่อรักษาโรคให้ข้าไงขอรับ”
ครั้งนี้คุณหนูจวินยังไม่ทันตอบ ฟางเฉิงอวี่ก็เอ่ยตอบแล้ว
รักษาโรคให้เขา?
เจ้าเมืองหม่าขมวดคิ้ว
“ใต้เท้า เรื่องนี้เล่าแล้วยาว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยปากอีกครั้งเหมือนกัน “ท่านคงรู้ว่าเฉิงอวี่ของครอบครัวข้าเดิมป่วยใกล้ตาย”
เรื่องนี้รู้จริงๆ
เจ้าเมืองหม่ามองนาง
“ทุกคนตอนนี้ก็มองออกว่าเฉิงอวี่ของครอบครัวข้าตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยต่อ ชี้ฟางเฉิงอวี่
ทุกคนล้วนพยักหน้า
แล้วยังไง?
“เฉิงอวี่เป็นหลานสาวคนนี้ของข้ารักษาหายดี” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยขึ้น “ที่ใช้ก็คือวิชาแพทย์ตระกูลจวิน”
วิชาแพทย์ตระกูลจวิน?
ทุกคนตะลึง มองดูเด็กสาวที่แปลกหน้าทั้งคุ้นเคยคนนี้ ที่แปลกหน้าคือคนส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน ที่คุ้นเคยคือคนส่วนใหญ่ล้วนได้ยินชื่อเสียงมาก่อน
คุณหนูจวินที่ตั้งแต่มาถึงหยางเฉิงก็ก่อเรื่องจนตระกูลฟางตระกูลหนิงสองบ้านไม่อาจอยู่สงบคนนั้น ยังมีความสามารถเช่นนี้?
จากนั้นทุกคนก็ฮือฮา
…
“เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าเนิ่นนานก่อนหน้านี้”
โถงรับแขกตระกูลฟางคนยืนอยู่เต็ม ขุนนางเช่นเจ้าเมืองหม่าเป็นต้นได้รับเชิญจากบนถนนใหญ่เข้ามาในตระกูลฟาง นายหญิงผู้เฒ่าฟางสั่งคนยกน้ำชามาพลางเอ่ยปากเล่า
“ตอนแรกเฉิงอวี่ล้มป่วย พวกเราตามหาหมอชื่อดังไปทั่วผลปรากฏว่าไร้ทางแก้ได้ เวลานั้นบิดาของลูกเขยยังอยู่ พวกเราก็เชิญเขาด้วย ตอนนั้นเขาก็มาดูแล้ว แต่ก็ยังอับจนหนทาง”
“ที่ทำให้ข้าคิดไม่ถึงก็คือที่แท้บิดาของลูกเขยคิดถึงอาการป่วยของเฉิงอวี่อยู่ตลอด ทุ่มเทศึกษา ขยันขันแข็งไม่แหนงหน่าย จดสูตรยามากมายไว้ เพียงแต่น่าเสียดายยังไม่ทันแก้ออกก็เสียชีวิตเสียก่อน...”
“ที่ทำให้ข้ายิ่งคิดไม่ถึงก็คือ บิดาของลูกเขยเสียไปแล้ว หลานสาวของข้าไม่เพียงรับช่วงวิชาแพทย์ของตระกูลมา ยังห่วงใยอาการป่วยของเฉิงอวี่ นับจากนั้นนางก็ทำตามบันทึกของบิดาของลูกเขย…”
ที่แท้เป็นเช่นนี้หรือ?
ที่แท้เป็นเช่นนี้สินะ
ผู้คนในโถงใหญ่ล้วนมองคุณหนูจวิน
ข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังกลุ่มคนขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับงุนนงงทั้งราวกับเข้าใจ
คุณหนูจวินคนนี้เป็นหรือไม่เป็นวิชาแพทย์ สูงส่งไม่สูงส่งตอนนี้ไม่สำคัญ หลังจากนี้ล้วนสืบหาได้
ความหมายของประโยคนี้ตอนนี้ก็คือตระกูลฟางรู้ว่าฟางเฉิงอวี่ต้องพิษนานแล้ว? ป่วยเป็นฟ้าลิขิต พิษเป็นคนกระทำ ดังนั้นจึงป้องกันอยู่ วางแผนมาตลอด?
“…นางพลิกตำราแพทย์ไปทั่ว ที่หรู่หนาน ที่ฝู่หนิง…” เสียงของนายหญิงผู้เฒ่าฟางยังคงเล่าต่อ
มองท่าทางของนายหญิงผู้เฒ่าฟางเหมือนคนเฒ่าคนแก่ชอบพูดย้อนความทรงจำเก่าๆ เจ้าเมืองหม่าก็เอ่ยขัดท่าทางทนไม่ไหว
ใครสนว่าเจ้าลำบากอย่างไร ทุ่มเทอย่างไร รักษาอาการป่วยอย่างไร
“เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ” เขาเอ่ยขึ้น “ทุกคนล้วนรู้ว่าพวกเจ้าตระกูลฟางถูกศัตรูวางแผนทำร้าย แล้วก็รู้ว่าพวกเจ้าวางแผนพลิกสถานการณ์ไม่ง่าย”
พูดจบก็มองไปทางคุณหนูจวิน
“แต่เจ้าสรุปแล้วทำไมต้องไปเก็บสมุนไพรทั้งคืนไม่กลับ คนในบ้านของพวกเจ้าสักนิดก็ไม่รู้?”
ใช่สิ ทำไมเล่า?
ดันเป็นเวลานี้
นี่บังเอิญเกินไปหรือไม่ล่ะ?
คนรับใช้เปิดเปลือกตาขึ้นมองคุณหนูจวิน
“นี่บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ” คุณหนูจวินสีหน้าเสียใจเอ่ยขึ้น “ข้าก็คิดไม่ถึงว่าถึงกับเกิดความผิดพลาดเช่นนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้”
ความผิดพลาดกับความเข้าใจผิดหรือ?
คนด้านในห้องล้วนมองนางอยู่ คุณหนูจวินถอนหายใจเบาๆ
“ข้าสนทนากับอาลักษณ์หลินจริง เขาก็ไม่ได้พูดโกหก พูดจบพวกเราก็บอกลากันแล้ว ข้าเดิมทีจะกลับมา ตอนที่ผ่านถนนเส้นหนึ่ง ข้าก็มองเห็นคนผู้หนึ่งเข้า” นางเอ่ยขึ้น
มองเห็นอะไร?
ทุกคนเงี่ยหูจดจ่อตั้งใจฟัง
“คนขายฟืนคนหนึ่ง” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
คนขายฟืน?
“คนขายฟืนทำไมเล่า?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางทนไม่ไหวเอ่ยเร่ง “เจ้ากล้าๆ พูดออกมาหน่อย ไม่ต้องยึกยักทำอะไร?”
ที่ยึกยักเพราอยากแต่งคำโกหกอยู่หรือ?
ข้ารับใช้หรี่ตาลง
คุณหนูจวินสีหน้าลังเล ราวกับกังวลอยู่บ้าง
“ที่สำคัญก็คือข้ากลัวว่าข้าพูดไปแล้วพวกท่านจะไม่เชื่อ” นางว่า “คนขายฟืนคนนั้นพาเด็กน้อยมาด้วยคนหนึ่ง ในมือเด็กน้อยถือดอกไม้ดอกหนึ่งอยู่”
ดอกไม้?
“ดอกไม้ดอกนี้เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่ง สำคัญมากกับการบำรุงรักษาอาการป่วยของเฉิงอวี่ ทั้งยังหายากอย่างยิ่ง ข้าตามหามานานหนักหนาแล้วไม่เคยหาพบ” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ “ดังนั้นข้าจึงถามคนขายฟืนว่าเด็ดมาจากที่ใด เพราะคิดว่ายิ่งได้มาเร็วยิ่งใช้ยาได้เร็ว จึงให้ลูกของคนขายฟืนมาส่งข้อความบอกที่บ้าน ส่วนข้าไปเก็บสมุนไพรเลย”
นางเล่าถึงตรงนี้สีหน้าเสียใจและจนปัญญา
“ดูท่า ข้อความคงส่งมาไม่ถึง”
……………………………………….