Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 88 คิดไม่ถึงจริงๆ
ข้อความส่งมาไม่ถึง?
แค่นี้
เหตุผลนี้ลวกไปหรือไม่?
คนในห้องเงียบกริบ
“นี่บังเอิญเกินไปแล้วหรือไม่?” มีคนอดไม่ได้หลุดปากเอ่ยถาม
คุณหนูจวินไม่มีไม่พอใจที่ถูกล่วงเกินสักนิด แต่พยักหน้าเห็นด้วยอย่างยิ่ง
“บังเอิญเกินไปแล้วจริงๆ” นางว่า “พูดออกมาแล้วตัวข้าเองยังไม่เชื่อ”
เจ้าเองยังไม่เชื่อ พวกเรายังจะพูดอะไรได้
คนในห้องเงียบไปอีกครั้ง
แต่มีคนร้องเอ๋ขึ้นมา
นั่นเป็นคนรับใช้ตระกูลฟางคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในมุม
“พูดถึงเด็ก” เขาฉุกคิดอะไรได้ “ข้านึกขึ้นมาได้แล้ว มีเด็กคนหนึ่งมาถึงหน้าประตูบ้านจริงๆ แต่เวลานั้นนายหญิงผู้เฒ่าพวกท่านเพิ่งกลับมา คนในบ้านเข้าๆ ออกๆ วุ่นวายจัดการเรื่องการเซ่นไหว้ ตอนที่เด็กคนนั้นเข้ามาใกล้ ทุกคนคิดว่าเป็นคนที่มาชมดูเรื่องสนุกจึงดุสองประโยค เด็กคนนั้นก็หันหลังหนีไป”
ตระกูลฟางตระกูลเช่นนี้ ตามที่คุณหนูจวินบอก นั่นเป็นลูกของคนขายฟืน เป็นเด็กชนบทคนหนึ่ง ยากเลี่ยงขี้ขลาดหวาดกลัว ไม่แปลกที่ถูกตวาดทีหนึ่งก็ตกใจหนีไปแล้ว
ที่แท้เป็นเช่นนี้
ถึงกับเป็นเช่นนี้
นี่มันช่าง…ไม่รู้ควรพูดอะไรแล้ว
แต่คุณหนูจวินเห็นได้ชัดว่ายังมีคำพูดจะพูด นางมองไปทางนายหญิงผู้เฒ่าฟาง แววตาเป็นประกาย
“ตระกูลของเรามีราชโองการจริงๆ หรือ?” นางเอ่ยถาม
ราชโองการยังปลอมได้รึ? หากเป็นของปลอม หยิบออกมาใยไม่ใช่ตนเองรนหาที่ตาย
นอกจากนี้ตอนนี้เป็นเวลาอยากรู้อย่างเด็กคนหนึ่งหรือ?
ไม่ขอโทษกับการกระทำบุ่มบ่ามของตนเอง ตรงกันข้ามสนใจเพียงเอ่ยถามสิ่งนี้
ต้องการราชโองการทำอะไร?
หยิบไปบีบพวกนางตระกูลหนิงให้เห็นด้วยกับงานแต่งงานหรือ?
ในห้องยังมีคนอดไม่ได้คิดไร้สาระ
“แน่นอนย่อมเป็นของจริง ข้าถือเองกับมือมาทั้งคืนแล้ว” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น ดีใจและตั้งใจเหมือนกับเด็กน้อยเช่นกัน พูดพลางมองนายหญิงผู้เฒ่าฟาง “ท่านย่า ท่านย่า รีบเอาให้พี่สาวดูสิ”
ที่แท้เป็นราชโองการจริงๆ สินะ
คนในห้องก็คิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกันด้วย
ตอนนั้นตั้งใจรับคำสั่งตามหาคนไม่มีเวลาว่างคิดมาก ตอนนี้สงบลงแล้วคิดถึงสิ่งนี้ก็รู้สึกว่าในหัวมึนๆ งงๆ รู้สึกดั่งฝันไปอยู่บ้าง
ตระกูลฟางถึงกับถือราชโองการที่อดีตฮ่องเต้ประทานให้เชียวนะ
“ใช่แล้ว เป็นราชโองการล่ะ” ฟางเฉิงอวี่อมยิ้มเอ่ยขึ้น “ดังนั้นไม่ต้องกังวล พวกเราสิ่งใดล้วนไม่กล้ว เรื่องอันใดล้วนไม่เป็นไร เจ้าไม่เป็นไรก็พอ”
เขาพูดออกมาตามใจ ขอเพียงเจ้าไม่เป็นไรเป็นพอ
ทุบประตูใหญ่ตระกูลหลิน ทำหยางเฉิงวุ่นวายโกลาหล ทำให้เหล่าขุนนางเมืองไท่หยวนวิ่งโร่ทั้งยังเร่งเดินทางทั้งคืนกลับมา ตั้งแต่หญิงเฒ่าผมขาวจนถึงเด็กสาวแรกรุ่นวิ่งวุ่นตามหาทั้งคืน เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่เป็นไร
คนในห้องมองฟางเฉิงอวี่ สีหน้ายิ่งปั้นยาก
ทุกสิ่งล้วนไม่เป็นไร ท่านไม่เป็นไรก็พอ…
นี่นับว่าไม่เป็นไรหรือ?
เจ้าเมืองหม่าแค่นเสียงหนักๆ ทีหนึ่ง
ในเมื่อพูดถึงราชโองการ ถ้าเช่นนั้นก็พูดถึงเรื่องราชโองการแล้วกัน
“ฟางเฉาซื่อ” เขาหน้าเคร่ง “เจ้าคิดจะอธิบายเรื่องเมื่อคืนวานกับประชาชนอย่างไร?”
เวลานี้พวกเขาเข้ามาในบ้านแล้ว แต่ประชาชนที่ถูกทำให้แตกตื่นเมื่อคืนวานล้วนรวมตัวกันอยู่บนถนนรอคำอธิบายที่สมเหตุสมผลสักอย่างอยู่
ราชโองการที่ถูกแสดงต่อหน้าประชาชนแพร่สะพัดไปรวดเร็วดุจสายลมแล้ว
ความเป็นมาของราชโองการ ความเป็นมาของเต๋อเซิ่งชาง ย่อมต้องกลายเป็นจุดศูนย์รวมการถกเถียงของผู้คน จากสิ่งนี้จุดคลื่นลมมโหฬารขึ้นมา คลื่นลมนี้พัดตลบหยางเฉิง หลังจากกระจายออกไป ใช้เวลาไม่นานนักก็คงแพร่ไปถึงเมืองหลวง ถ่ายทอดไปถึงพระกรรณขององค์ฮ่องเต้
คิดว่านาทีนั้นที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางแสดงราชโองการออกมาเมื่อคืนวาน สายสืบขององครักษ์เสื้อแพรก็คงส่งข่าวออกไปแล้ว
ว่าตามหลักแล้วในตระกูลมีราชโองการ ควรเป็นเรื่องที่ทำให้คนยินดีตื่นเต้น แต่ไม่รู้ทำไมในใจของทุกคนกลับวิตกขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุอยู่นิดๆ
คงเป็นเพราะหน้าตายามเงียบไปของนายหญิงผู้เฒ่าฟาง คงเป็นเพราะฐานะตระกูลพ่อค้า คงเป็นเพราะความผิดพลาดประโยคเดียวของคุณหนูจวินทำให้การกระทำเมื่อคืนวานกลายเป็นไร้เหตุผล
ในห้องเงียบสนิทไปพักหนึ่ง
เสียงตึงดังขึ้นมีคนคุกเข่าลง
“นายหญิงผู้เฒ่า นี่ล้วนเป็นความผิดของข้า” เสียงผู้หญิงเอ่ยขึ้น
ทุกคนราวกับตอนนี้ถึงสังเกตว่าตรงมุมประตูเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ รวมถึงผู้ชายแปลกหน้าคนนั้นข้างกายนาง
คนผู้นี้คือใคร? ทำไมเข้ามาได้?
เห็นทุกคนมองมา เฉินชีก็กระดากอายอยู่บ้าง
“ข้า ข้า…” เขาไม่รู้ว่าควรแนะนำตนเองอย่างไร เห็นคุณหนูจวินมองข้ามมา ดีใจมาก “นายหญิงน้อยท่านรู้ ข้าเป็นคนขายน้ำตาลปั้นไง”
คนขายน้ำตาลปั้น…
เรื่องประหลาดมีทุกปีจริงๆ วันนี้เยอะเป็นพิเศษ
แรกสุดตระกูลฟางหยิบราชโองการของอดีตฮ่องเต้ออกมา ต่อมายังมีคนขายน้ำตาลปั้นคนหนึ่งยืนอยู่ในโถงใหญ่ตระกูลฟางของพวกเขาอย่างสง่าผ่าเผย
“เฉินชี!” ผู้ดูแลคนหนึ่งเอ็ดเบาๆ “อย่าพูดไร้สาระ”
“เขาเข้ามากับข้า” ฟางจิ่นซิ่วบอก
เมื่อครู่นายหญิงผู้เฒ่าฟางคนทั้งคณะออกเดินทางกลับบ้านทันที แม้ไม่ได้ชี้บอกให้นางกลับมา ฟางจิ่นซิ่วลังเลครู่หนึ่งก็ยังตามหลังมาด้วย
นางเดิมทีคิดว่าตนเองจะไม่เหยียบเข้ามาที่ตระกูลฟางอีก อย่างน้อยช่วงหนึ่งก็จะไม่กลับมา คิดไม่ถึงเพิ่งผ่านไปวันเดียว นางก็กลับมาอีกแล้ว
ไม่ว่าบรรดาหญิงสาวตระกูลฟางหรือผู้คุ้มกัน ยามหน้าประตู ผู้ดูแล หญิงรับใช้สาวใช้ ล้วนไม่ได้ห้ามหรือตั้งคำถามสักนิดกับการเข้าประตูมาของนาง ราวกับนี่เป็นเรื่องธรรมดา
หรือบางทีอาจเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ
เพราะตามติดมาข้างกายฟางจิ่นซิ่ว เฉินชีจึงไม่มีใครสนใจเข้ามาด้วยเช่นนี้ ยังยืนอยู่ในโถงตระกูลฟางซึ่งไม่ใช่ใครก็เข้ามาได้อีก
“ที่จริงข้าก็ไม่อยาก” เฉินขีพึมพำเขินอาย “เข้ามาแล้วจะออกไปอีกก็อาย”
ไม่สนใจเฉินชีพูดแทรกอีก ฟางจิ่นซิ่วมองนายหญิงผู้เฒ่าฟางโขกศีรษะให้ทีหนึ่ง
“เรื่องนี้เป็นข้าชักนำให้เกิดขึ้น ” นางเอ่ย “ข้ายอมรับผิด”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองนางทีหนึ่งไม่พูดจา นายหญิงใหญ่ฟางตั้งแต่ต้นจนจบล้วนไม่มองนาง นางหยวนสีหน้ายุ่งยากใจ ฟางอวิ๋นซิ่วกับฟางอวี้ซิ่วในดวงตามีแววตากังวลอยู่หลายส่วน
“นี่จะโทษเจ้าได้อย่างไรเล่า” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น
“ต้องโทษนางสิ คุณหนูเป็นนางนี่แหละบอกว่าท่านถูกอาลักษณ์หลินจับไปแล้ว ชักนำพวกเราไปโวยวายน่ะ” หลิ่วเอ๋อร์เช็ดน้ำตาเอ่ยขึ้น “นางต้องเห็นว่าตำแหน่งในบ้านของคุณหนูมั่นคงแล้ว ส่วนนางถูกไล่ออกไปจึงริษยา…”
ข้ารับใช้ที่ยืนด้านหลังมองฟางจิ่นซิ่วทีหนึ่ง
นี่ก็คือลูกสาวที่ภรรยาน้อยผู้ถูกวางไว้ในตระกูลฟางคนนั้นให้กำเนิดมาสินะ ถึงวันนี้นางไม่มีที่ยืนในตระกูลฟางอย่างจริงแท้แล้ว ถูกไล่ออกไปหรือ น่าสงสารจริงๆ ริษยาโกรธแค้นก็ปกติมากอยู่เหมือนกัน
นางบอกว่าอาลักษณ์หลินจับนายหญิงน้อยฟางไปหรือ? นี่มันนิทานอะไรอีก? มีความขัดแย้งอะไรกันอีก?
ขุนนางอย่างเช่นเจ้าเมืองหม่าเป็นต้นล้วนขมวดคิ้ว ผู้หญิงนี่มีมากก็วุ่นวายมาก!
คุณหนูจวินไม่ได้บอกเล่าตั้งคำถามกับเรื่องนี้ เพียงแค่ยิ้มลูบศีรษะสาวใช้
“ไม่ใช่” นางเอ่ยขึ้น “ไม่โทษนาง ที่นางพูดเป็นความจริง ข้าพูดคุยกับอาลัษณ์หลินจริงๆ หลังจากนั้นบังเอิญอาลักษณ์หลินกับข้าล้วนไม่ได้กลับบ้าน นอกจากนี้ที่ยิ่งบังเอิญก็คือข้ากับอาลักษณ์หลินบังเอิญมีแค้นเก่าบางอย่างกัน เปลี่ยนเป็นใครก็ย่อมคิดเช่นนี้ หรือเจ้าไม่ได้คิดเช่นนี้เล่า?”
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอื้อทีหนึ่ง คิดถึงเรื่องเมื่อวานก็รู้สึกหวาดกลัวตกค้างอยู่พักหนึ่งอีกครั้ง
“คิด” นางพยักหน้าร้องไห้เอ่ยขึ้น
ฟางจิ่นซิ่วยังจะพูดอะไรอีก นายหญิงผู้เฒ่าฟางตบโต๊ะขัดนาง
“หุบปากให้หมด” นางตวาดขึ้น มองไปทางเจ้าเมืองหม่าอีกครั้ง “ยังมีอะไรต้องอธิบาย เด็กบ้านข้าอาจถูกคนร้ายจับตัวไป ข้าตามหาคนไม่ใช่ปกติยิ่งนักหรือ?”
เจ้าเมืองหม่าโกรธจัดแต่ยิ้ม
“ปกติ?” เขาเอ่ยขึ้น คิ้วตั้ง “พวกเจ้าตระกูลฟางหยิบราชโองการออกมา พุ่งชนบ้าระห่ำ ก่อความโกลาหล นี่เรียกปกติ?”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางสีหน้าเรียบเฉย
“ใช่แล้ว ครั้งนั้นอดีตองค์ฮ่องแต้พระราชทานราชโองการแก่ตระกูลข้าก็เพื่อปกป้องพวกเรา ให้มาคลี่คลายความลำบากยามพบเจอ” นางเอ่ยขึ้น
ถึงได้บอกว่า ความคิดของพวกผู้หญิงช่างไม่มีเหตุผล ไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ
นี่ก็คือผลของการที่ในบ้านไม่มีผู้ชาย
เจ้าเมืองหม่ายื่นมือชี้คุณหนูจวิน แล้วยื่นมือชี้นายหญิงผู้เฒ่าฟาง
“ความยากลำบาก” เขาเอ่ยขึ้น เอ่ยซ้ำสองคำ “ความยากลำบาก นี่คือสิ่งที่เรียกว่าความยากลำบากที่พวกเจ้าพบสินะ”
เขาพูดจบก็แค่นหัวเราะสะบัดแขนเสื้อ
“ฟางเฉาซื่อ เรื่องนี้ในเมื่อพวกเจ้ารับโองการมาปฏิบัติ เช่นนั้นข้าก็ไม่มีหนทาง แล้วก็ไม่มีคุณสมบติอธิบายแก่ชาวประชา พวกเจ้าก็อธิบายเอาเองเถอะ”
พูดจบก็หมุนตัวสะบัดแขนเสื้อก้าวยาวจากไป
หน้าประตูตระกูลฟางชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่มองบรรดาขุนนางเดินพรวดพราดออกมา ทนไม่ไหวโถมเข้าไปข้างหน้ารอคอยฟังข่าวที่คาดหวัง
แต่บรรดาขุนนางกลับเพียงแค่พากันขึ้นม้าภายใต้การคุ้มกันของทหาร ไล่ผู้คน สักประโยคไม่เอ่ยก็จากไปแล้ว
ชาวบ้านหน้าประตูตระกูลฟางยิ่งฮือฮาดังขึ้น ชักพาให้บรรดาขุนนางที่เดินทางออกมาหันหลับไปมอง สีหน้าของพวกเขาก็ปั้นยากเช่นกัน
คิดไม่ถึงจริงๆ นะ คิดไม่ถึง
ข้ารับใช้คนนั้นกลับไม่ได้หันกลับไป ทั้งยังฟื้นคืนท่าทางเชื่อฟังตามติดหลังร่างขุนนางอย่างเช่นก่อนหน้านี้
“คิดไม่ถึงจริงๆ”
ด้านในห้องโถงใหญ่ตระกูลฟางเมื่อส่งบรรดาขุนนางจากไปแล้ว คนของตระกูลฟางยังไม่แยกย้าย ส่วนคุณหนูจวินมองราชโองการที่ฟางเฉิงอวี่หยิบออกมาก็เอ่ยขึ้นด้วนสีหน้าปั้นยากเช่นกัน
……………………………………….