Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 ตอนที่ 93
ตระกูลฟางภูมิลำเนาเดิมซานตงตงผิง คนหยางเฉิงต่างรู้
“คนซานตงแล้วอย่างไร? ที่เจ้ารู้จะถูกรึ?” ผู้คนที่ประสบกับข่าวลือนานาชนิดเจิมมาไม่เชื่อง่ายๆ
ผู้ชายคนนั้นไม่รีบไม่หงุดหงิดยิ้มทีหนึ่ง
“ถูกไม่ถูก พวกเจ้าฟังข้าเล่าก็รู้แล้ว” เขาว่า “พวกเจ้ารู้ว่าตระกูลฟางบ้านเดิมอยู่ซานตง แต่รู้หรือไม่ว่าบรรพบุรุษตระกูลฟางทำการค้าอันใดไหม?”
ชาวบ้านที่เดิมทีเงียบลงไปร้องประสานเสียงขึ้นมา
“เครื่องหอม!”
“เจ้าโง่เรอะ!”
“นี่ไม่ใช่รู้กันหมด!”
“เจ้าหยอกพวกเราเล่นเรอะ!”
ชายวัยกลางคนรีบหัวเราะสองที
“ทุกคนรู้กันหมดจริงๆ สินะ” เขาเอ่ยคลายบรรยากาศ
เสียงนี้ชักนำให้คนบริเวณอื่นมองมา พากันเอ่ยถามเกิดอะไรขึ้น
ยังไม่ทันตอบ ชายวัยกลางคนผู้นั้นราวกับถูกโวยวายจนร้อนรน ตบโต๊ะที่หนึ่งแล้วเหยียบเก้าอี้ยืนขึ้น
“แต่ พวกเจ้ารู้ว่ากิจการเครื่องหอมตระกูลฟางที่สำคัญที่สุดส่งไปที่ไหนไหม?”
ครั้งนี้ไม่รอเหล่าชาวบ้านเอ่ยตอบ เขายื่นมือชี้ทิศเหนือ
“มณฑลเหอหนานเหอเป่ย”
“เมื่อครั้งเมืองหลวงเก่ายังอยู่ ดินแดนเหนือยังไม่วุ่นวาย กิจการของตระกูลฟางไปมาอยู่กับแดนเหนือ”
“ต่อมาชาวจินลงใต้ ฮ่องเต้เฉิงจงนำทัพออกรบด้วยพระองค์เองถูกจับ ราชสำนักวุ่นวายครั้งใหญ่ อดีตฮ่องเต้ขึ้นครองราชรับตำแหน่งย้ายลงใต้
เรื่องราวในอดีตช่วงนี้บรรดาชาวบ้านล้วนล่วงรู้ แต่ชายวัยกลางคนผู้นี้เล่าได้บรรยากาศอย่างที่สุดคำพูดก็เร็ว ชั่วขณะหนึ่งทุกคนฟังจนหยุดโหวกเหวก
“นี่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลฟาง?” มีคนอดไม่ได้ถามขึ้น
ชายวัยกลางคนยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง
“ยามนั้นอดีตฮ่องเต้ย้ายเมืองหลวงลงใต้ ด้านหลังไม่ใช่แค่มีกองทัพใหญ่ชาวจินไล่โจมตี ยังมีสายลับปะปนนับไม่ถ้วน อดีตฮ่องเต้ไม่อาจไม่ปลอมตัวลอบเดินทาง ทว่า”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็พลันหยุดกะทันหัน
ชาวบ้านที่อยู่ตรงนั้นตกใจตัวสั่นนิดหนึ่ง
“ยังคงถูกสายลับไล่ตามทัน ถูกล้อมอยู่ที่เรือนแห่งหนึ่งในชนบบท ตอนนี้เองมีคนผู้หนึ่งผ่านทางมา ไม่สนอันตรายขัดขวางโจมตีสังหารสายลับ ช่วยอดีตฮ่องเต้”
ผู้ชายวัยกลางคนเล่าถึงตรงนี้ก็หยุดอีกครั้ง มองชาวบ้านรอบด้าน
“และคนผู้นี้ ก็คือบิดาของฟางโส่วอี้ ฟางเต๋อชางผู้ก่อตั้งเต๋อเซิ่งชาง”
ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่ตาโตจากนั้นก็ฮือฮา
“…เล่าแล้วยาว แต่เวลานั้นเร็วนัก…ฟางเต๋อชางก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง หนึ่งเท้าถีบโจรคนนั้นล้มลง แบกอดีตฮ่องเต้ขึ้นหลังได้ก็วิ่ง…”
“…ตอนนั้นมืดครึ้มสายลมพัดหวีดหวิว พัดจนไม่เห็นท้องฟ้าดวงตะวัน..”
“…ฟางเต๋อชางคนนั้นไม่รู้ว่าคนที่ตนช่วยเป็นผู้ใด เพียงรู้สึกว่าคนที่แบกอยู่บนหลังหนักเหมือนดั่งทองพันชั่ง พระวรกายมังกรของโอรสสวรรค์ย่อมไม่เหมือนคนธรรมดา ฟางเต๋อชางนิสัยซื่อสัตย์ภักดี ใจคิดช่วยคนแล้วไม่มีทางทอดทิ้งทีหลัง กัดฟันวิ่งเร็วรี่ตลอดทาง…”
“…ฟางเต๋อชางมองคนที่ล้อมเข้ามา ยังคิดว่าโจรยังไม่ตายจะไล่ตามมาอีก กำลังคิดว่าหนีไม่รอดแล้ว จึงถอนหายใจกับผู้ชายคนนั้นบอกว่า พวกเราพี่น้องสองคนครั้งนี้ดูท่าติดปีกยากหนีแล้ว…”
“…แต่คิดไม่ถึงผู้ชายคนนั้นยิ้มทีหนึ่ง ยกมือให้คนที่ล้อมเข้ามา ผู้คนก็คุกเข่าลงพรึบพรับร้องเสียงดังทรงพระเจริญหมื่นปี ฟางเต๋อชางแทบจะตกใจตายอยู่กับที่…”
“…อดีตฮ่องเต้ตรัสว่าเจ้าเรียกข้าว่าพี่น้อง แม้ข้าไม่อาจเป็นพี่น้องกับเจ้าได้ แต่ข้าประทานสิ่งอื่นที่เจ้าต้องการได้…”
“…ฟางเต๋อชางโขกศีรษะขอบคุณ กลับไม่ได้ร้องขอพระราชทาน…”
“…อดีตฮ่องเต้ชมชอบความซื่อตรงภักดีของเขา ตอนนั้นจึงยกพู่กันเขียนราชโองการดุจพระองค์เสด็จเองแผ่นหนึ่งประทานให้ฟางเต๋อชาง กำชับว่าภายหน้าหากประสบวิกฤต ก็เหมือนดั่งเช่นเจ้าช่วยข้าจากวิกฤตวันนี้ ข้าคลี่คลายความลำบากให้เจ้า…”
“…นี่คือวันวานอวี๋เหลียงพบฮ่องเต้ วันนี้เต๋อชางพบเจ้ามังกร หากเป็นคนบุญบารมีมาก ความมั่งคั่งเกียรติยศช้าเร็วใยจะไม่มา”
เสียงตบมือทีหนึ่ง นิทานตอนหนึ่งเล่าจบ แขกผู้มาดื่มน้ำชาในโรงน้ำชาพากันร้องเยี่ยม บรรดาพนักงานโรงน้ำชาฟังจนเคลิ้มตอนนี้ถึงพากันถือกาน้ำชาเดินตัดเติมชา บรรดาแขกผู้ดื่มชาบ้างวิพากษ์วิจารณ์ บ้างล้อมนักเล่านิทานเอ่ยถามต่อ
แขกคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนชั้นสองพิงระเบียงลุกขึ้นยืน ข้างกายผู้คุ้มกันสี่ห้าคนติดตามประชิดอยู่ เปิดทางพลางปกป้องเขาพลาง ไม่เพียงการกระทำนี้ ยังมีหน้าตาของเขา เสื้อผ้าที่สวมใส่ล้วนดึงดูดสายตาคน
เพราะนิทานตอนหนึ่งจบลงแล้วโรงน้ำชาที่วุ่นวายจึงกลับมาเอะอะขึ้นอีกครั้ง
“นายน้อยฟาง”
“เป็นนายน้อยฟาง”
“นายน้อยฟาง จริงหรือไม่?”
“นายน้อยฟาง ท่านปู่ทวดของท่านเคยช่วยอดีตฮ่องเต้จริงหรือไม่?”
ผู้คนล้วนเข้ามาเอ่ยถามเสียงดัง
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มไม่พูดจา ผู้คุ้มกันอารักขาลงชั้นล่างไป
เมื่อถึงชั้นล่างคนที่ล้อมยิ่งมากแล้ว หลายวันขนาดนี้ นี่เป็นคนตระกูลฟางคนแรกที่โผล่หน้าเชียวนะ
“นายน้อยฟาง ที่แท้จริงหรือไม่เล่า?” ทุกคนพากันพูดขึ้น “เคยช่วยอดีตฮ่องเต้จริงไหม? ท่านบอกพวกเราเถิด”
ฟางเฉิงอวี่หยุดเท้า ยิ้มมองคนเหล่านี้
“นั่นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ที่จริงไม่สำคัญ” เขาเอ่ย “ทุกคนรู้ว่าราชโองการของพวกเราเป็นของจริงก็เพียงพอแล้ว ใช่หรือไม่?”
คนที่อยู่ที่นั่นงุนงงไปครู่หนึ่ง งั้นรึ?
“สรุปก็คือราชโองการเป็นของจริง” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยขึ้น ยกมือประสานหมัดไปทางเมืองหลวง “น้ำพระทัยกว้างขวางขององค์ฮ่องเต้ก็เป็นของจริง ทุกคนยังต้องถามจำแนกความจริงลวงอันใดอีกเล่า?”
พูดจบผู้คุ้มกันก็ห้อมล้อมตรงดิ่งออกไปแล้ว ทิ้งผู้คนในโรงน้ำชาสีหน้าตะลึง
ใช่สิ นอกจากนี้ยังต้องถามจริงลวงอันใดอีก? เอ่ยถามว่าคุณความดีที่ตระกูลฟางได้ราชโองการมาจริงหรือปลอม ยังไม่ใช่ถามว่าน้ำพระทัยที่องค์ฮ่องเต้พระราชทานราชโองการมาจริงหรือปลอม?
ความจริงลวงนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผลัดมาถึงพวกเขาตั้งคำถามได้ ไม่เห็นหรือแม้กระทั่งเหล่าองครักษ์เสื้อแพรยังไม่ถาม?
ไม่เช่นนั้นนักเล่านิทานเหล่านี้จะนั่งอยู่ที่นี่สงบมั่นคงเล่าน้ำลายกระเซ็นกระสายได้อย่างไร?
เรื่องเหล่านี้ย่อมถูกแจ้งไปยังหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ที่เมืองหลวงแล้ว
เป็นจริงหรือปลอม ใครพูดล้วนไม่นับ ฮ่องเต้พูดถึงนับ
ฮ่องเต้พูดอย่างไร?
ห้องรอเข้าเฝ้าแห่งหนึ่งในวังหลวง มีคนกำลังรอคอยข่าวอยู่เช่นกัน
ห้องรอเข้าเฝ้ามืดทึมคับแคบ แม้ด้านนอกตะวันเดือนหกร้อนแรง ด้านในยังคงมืดสลัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแวบแรกที่เดินเข้ามาจากด้านนอก มองเห็นคนด้านในไม่ชัดสักนิด
ที่เข้ามาคือขันทีอ้วนขาวเนื้อนิ่มผิวละเอียดคนหนึ่ง เขาหรี่ตาอยู่พักหนึ่งถึงหาพบว่าคนในห้องนั่งอยู่ตรงไหน
ด้านหลังโต๊ะตัวหนึ่ง ชายหนุ่มผู้สวมชุดสีแดงสดรูปร่างผอมเพรียวดุจดาบกำลังก้มหน้าอ่านเอกสารราชการอยู่
“โอ๊ะโอ๋ ใต้เท้าลู่ของข้า ห้องนี้มืดเหลือเกิน เพ่งอ่านทำร้ายดวงตา” ขันทียิ้มเริงร่าเกินไปอยู่บ้างเอ่ยขึ้น
ได้ยินคำพูดนี้ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น ในห้องมืดสลัว บนใบหน้าขาวเผือด ดวงตาดำหม่นคู่นั้นยิ่งแลดูเย็นเยียบ
“ที่แท้เป็นกัวกงกง” เขาเอ่ยขึ้น
เสียงของเขากับหน้าตาของเขาช่างต่างกัน ทุ้มเข้ม แล้วยังติดจะซื่อบื้ออยู่บ้าง
ฟังเพียงเสียงนี้คงไม่มีใครคิดเชื่อมโยงเขากับลู่อวิ๋นฉีหัวหน้ากองพันลู่แห่งหน่วยราชทัณฑ์กรมสืบสวนฝ่ายเหนือผู้ฆ่าคนตาไม่กะพริบ เลือดเปื้อนเต็มมือ ทำให้คนหวาดกลัว บรรดาขุนนางได้ยินชื่อก็หัวหดคนนั้น
คิดว่าเป็นนายทหารที่ซื่อๆ ตรงไปตรงมาคนหนึ่งเท่านั้น
ที่จริงเดิมทีเขาก็ชาติกำเนิดเป็นนายทหารซื่อตรงคนหนึ่ง
บิดาของเขาทั้งชีวิตซื่อตรงไร้ชื่อเสียง ทุกคนไม่รู้แม้กระทั่งเขาชื่อว่าอะไร
ใครจะคิดว่าคนที่สืบทอดอาชีพของบิดา เดิมทีควรตามรอยบิดาใช้ชีวิตซื่อตรงธรรมดาไร้ชื่อเสียงเรียงนามคนหนึ่ง ถึงกับทีหนึ่งกระโดดข้ามมาเป็นบุคคลที่ชาวบ้านราชสำนักได้ยินชื่อหน้าถอดสี
……………………………………….