Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 บทที่ 171 อยากถามเจ้าดูว่ายินดีหรือไม่
ฟางจิ่นซิ่วยังสงสัยอยู่ว่าตนเองกำลังฝัน
ทำไมมาถึงเมืองหลวงแล้วยังพบหนิงอวิ๋นเจาอีก?
คนผู้นี้ไม่ใช่ควรหายไปจากสายตาของพวกนางแล้วหรือ?
“เพราะเดิมทีข้าก็อยู่ที่เมืองหลวงนี่” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย
เขาก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นฟางจิ่นซิ่วเหมือนกัน
เห็นฟางจิ่นซิ่ว เขาก็คิดถึงก่อนหน้านี้ การรีบเดินในคืนนั้น การลอบพบกันอย่างลังเลในยามเที่ยงคืน
ตอนนั้นเพราะเรื่องที่หอจิ้นอวิ๋นจึงไม่มีใจสนสิ่งอื่น ตอนนี้คิดขึ้นมาการกระทำนี้ก็น่ากลัวอยู่จริงๆ
ไม่แปลกที่คุณหนูสามฟางผู้นี้จะตกใจ
แต่คุณหนูจวินกลับไม่เคยหวาดกลัวเลย
แน่นอนนางไม่เหมือนผู้อื่น
คิดถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็วิตกขึ้นมาบ้างอีกครั้ง
ฟางจิ่นซิ่วตกใจถอยไปเล็กน้อย ที่มาแทนที่คือความไม่พอใจ
นางย่อมรู้ว่าหนิงอวิ๋นเจาอยู่ที่เมืองหลวง
“เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงเกี่ยวอะไรกับพวกเรา?” นางเอ่ย “หรือเจ้ามีธุระจะพูดกับนางอีกแล้ว?”
เรื่องที่หอจิ้นอวิ๋นน่ะผ่านไปแปดร้อยปีแล้วนะ
หนิงอวิ๋นเจาพยักหน้า
“ใช่ ข้ามีธุระจะพูดกับนาง” เขาสีหน้าจริงจังอยู่บ้าง
ฟางจิ่นซิ่วหงุดหงิดเล็กน้อย
“เจ้ามีเรื่องอะไรต้องพูดกับนาง?” นางเอ่ย มองถนนมืดสลัว โคมไฟสีแดงแกว่งไกว “ดึกดื่นเช่นนี้เจ้ารู้สึกว่าเหมาะสมไหม?”
เหมาะสมไหม?
หมายถึงชายหญิงไม่สะดวกหรือ?
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“นี่มีอะไรไม่สะดวก? คุณชายของข้ามาเยี่ยมคุณหนูจวินบ่อยๆ ยังเคยร่วมร่ำสุรา…” เสี่ยวติงอดไม่ได้เอ่ยขึ้น
หนิงอวิ๋นเจาปรามเขาไม่ให้เขาพูดจนจบ แต่ฟางจิ่นซิ่วสีหน้าตื่นตะลึงแล้ว
อะไรนะ? มาบ่อย?
ยังเคยร่ำสุรา?
“ใครน่ะ?” เสียงคุณหนูจวินดังมาจากด้านหลัง “เรื่องอะไร?”
นางเอ่ยวาจาแล้วเดินเข้ามา เดิมคิดว่าเป็นคนที่มาขอรักษาซื้อยา แต่อยู่ด้านหลังพักหนึ่งก็ไม่เห็นฟางจิ่นซิ่วกลับมา นางไม่วางใจจึงออกมาดูสักหน่อย
ได้ยินเสียงนาง เสี่ยวติงก็รีบโบกไม้โบกมือร้องเรียกคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินเดินเข้ามา มองเห็นหนิงอวิ๋นเจายืนอยู่ด้านนอกประตู
“คุณชายหนิงท่านนี่เอง” นางเอ่ย
หนิงอวิ๋นเจายิ้มให้นาง
“ที่แท้คุณหนูสามฟางก็เข้าเมืองหลวงมาแล้ว หลายวันนี้ข้าเก็บตัวอ่านหนังสือ ถึงกับไม่ทราบ” เขาเอ่ย
คำพูดนี้ฟังแล้วประหลาดจริงๆ ข้าเข้าเมืองทำไมเจ้าต้องรู้
สนิทกับเจ้าหรือ?
ฟางจิ่นซิ่วถลึงตามองเขา แล้วมองคุณหนูจวิน
ดูไปแล้ว พวกเขาเหมือนจะคุ้ยเคยกันมากอยู่
ฟางจิ่นซิ่วถอยหลังก้าวหนึ่งไม่เอ่ยวาจาอีก
“คุณชายหนิงตามหาข้ามีธุระหรือ?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม
นางเอ่ยถามประโยคนี้ มองเห็นสีหน้าของหนิงอวิ๋นเจาราวกับลำบากใจนิดๆ สายตากวาดไปทางฟางจิ่นซิ่ว รวมถึงผู้ชายที่มองเห็นไม่ชัดยื่นศีรษะอยู่ตรงโถงด้านหลัง
หลายวันนี้เขาต้องการคิดเรื่องบางอย่างให้กระจ่าง ดังนั้นจึงไม่ได้ออกมาข้างนอก ยิ่งไม่ได้ตั้งใจฟังข่าวของโรงหมอจิ่วหลิง คิดไม่ถึงหลังคิดเข้าใจ มาโรงหมอจิ่วหลิงอีกครั้งคนก็เพิ่มขึ้นหลายคนแล้ว
แน่นอนว่าคนเพิ่มขึ้นมาบ้างเป็นเรื่องดียิ่ง ครึกครื้น นางก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวเช่นนั้น
เพียงแต่คำพูดบางอย่างก็ไม่สะดวกนัก
นี่ก็ไม่ใช่คำพูดอะไรที่เผยต่อหน้าผู้คนไม่ได้ พูดออกไปอย่างเปิดเผยได้อย่างสิ้นเชิง
ในเมื่อคิดเข้าใจแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลอะไรว่าผู้อื่นจะคิดมาก
หนิงอวิ๋นเจายิ้มกำลังจะเอ่ยปาก คุณหนูจวินกลับเอ่ยปากก่อนก้าวหนึ่ง
“เข้ามาพูดเถอะ” นางเอ่ย พลางยื่นมือทำท่าเชิญ
ก็ใช่ ตอนนี้เขายังยืนอยู่นอกประตู
“เฮ้? คุณชายหนิง ท่านมาแล้ว?” หลิ่วเอ๋อร์เดินออกมาจากข้างใน มองเห็นเขาก็เอ่ยขึ้น “ท่านกลับมาจากบ้านท่านอาของท่าน บังเอิญผ่านทางมาหรือ?”
พอดี บังเอิญจริง ตั้งแต่นาทีนั้นที่พบกันกะทันหันบนถนนใหญ่ของเมืองหลวง การพบหน้ากันของเขากับนางล้วนบังเอิญเช่นนี้
บังเอิญผ่านทางมองเห็นนางอยู่ในโรงเตี๋ยม
พอดีผ่านทางเชิญนางมาทานอาหารด้วย
บังเอิญผ่านทางจริงๆ เอ่ยถามเป็นห่วงเป็นใยหนึ่งประโยค
ล้วนเป็นความต้องการของฟ้า ไม่ใช่คนกระทำ ไม่เกี่ยวข้องกับเขา
หนิงอวิ๋นเจามองหลิ่วเอ๋อร์ยิ้ม
“ไม่ใช่” เขาตั้งใจเอ่ย “ข้ามาหาคุณหนูของเจ้า”
หลิ่วเอ๋อร์ร้องอ้อ นางก็แค่เอ่ยถามไปตามเรื่องหนึ่งประโยค ตอนนี้คุ้นชินจนเฉยชากับการปรากฏตัวของหนิงอวิ๋นเจาแล้ว ไม่ว่าเขาจะบังเอิญหรือจงใจมาจะแตกต่างอะไรกันอีก
ฟางจิ่นซิ่วหมุนตัวเข้าไปแล้ว พลางร้องเรียกหลิ่วเอ๋อร์
“ของขวัญส่วนนั้นของข้าเก็บให้ข้าดีแล้วหรือไม่? ไม่ขาดใช่ไหม?” นางเอ่ยถาม
หลิ่วเอ๋อร์เบะปาก
“ใครจะอยากได้กัน” นางเอ่ย แต่ยังคงตามเข้าไป
เฉินชีที่ยังยืนยื่นศีรษะอยู่หลังม่านประตูถูกฟางจิ่นซิ่วมือเดียวคว้าดึงเข้าไป
“…นั่นมันคุณชายสิบหนิงนี่…ไม่ใช่พูดกันว่าเขาเกลียดคุณหนูจวินนัก…”
คำพูดที่เหลือพริบตาหายไป คิดดูก็รู้ว่าถูกอุดปาก
โรงหมอจิ่วหลิงกลับคืนสู่ความเงียบสงบ
ความเงียบนี้ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าอึดอัดหรือกระอักกระอ่วน
“เชิญนั่ง” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย ยื่นมือทำท่าเชิญ แล้วยังจะหมุนตัวไปรินชา
หนิงอวิ๋นเจากลับไม่นั่งลง แล้วไม่คิดไปรินชาด้วย
“ไม่ต้องหรอก ข้ามาพูดเพียงหนึ่งประโยคก็ไปแล้ว” เขาเอ่ย แสดงเจตนาว่าจะไม่ถกยาว
คุณหนูจวินหยุดตามคำบอก มองเขานิ่งสงบรอคอย
สีหน้าของนางนิ่งสงบ ดวงตาทั้งคู่ยิ่งสุกสกาว ในโรงหมอจิ่วหลิงยามค่ำคืนดุจดั่งดวงดาราสว่างไสว
หนิงอวิ๋นเจาคิดถึงคำพูดที่ตนเองต้องการพูด มือที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกำนิดๆ
เรื่องนี้เขาเพิ่งทำเป็นครั้งแรกจริงๆ
ก็ไม่รู้ทำเช่นนี้ถูกหรือไม่ ดีหรือไม่
แม้เรื่องนี้เขาคิดมาเกือบหนึ่งเดือนแล้วก็ตาม
วันนั้นเขายืนอยู่นอกป่าไผ่ของกั๋วจื่อเจี้ยนสอดส่องถามใจตนเอง ผิดนัดร่ำเรียนกับท่านอาจารย์เป็นครั้งแรก
เขากดหน้าอกของตนเอง รู้สึกได้ถึงแรงเต้นของหัวใจที่ตระหนกยามค้นเข้าไปถึงลึกสุดก้นหัวใจ
ก็เหมือนกับตอนนี้
เขาศึกษาคัมภีร์ที่ยากที่สุดใช้เวลานานสุดสามวัน แต่เพื่อศึกษาอาการใจเต้นนี่เขาใช้ไปเจ็ดวัน
นี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุดบนโลก แล้วก็เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุดบนโลกด้วย
แต่ดีที่เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง แล้วก็เป็นคนเด็ดขาดคนหนึ่ง หลังศึกษามันเขาก็มั่นใจว่าตนเองตกหลุมรักแล้ว
ชายหนุ่มทุกคนล้วนมีเวลาที่ตกหลุมรัก รวมถึงเคยปรารถนาหญิงที่ตกหลุมรัก
หนิงอวิ๋นเจาก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเวลาที่ตกหลุมรักมาก่อน แล้วก็ไม่เคยปรารถนาหญิงสาวที่ทำให้ตนเองตกหลุมรักมาก่อน แต่เมื่อเขาเผชิญหน้าตรงๆ ขบคิดปัญหานี้ ก็เห็นชัดมากว่าผู้หญิงที่ทำให้เขาตกหลุมรักก็คือนาง
เรื่องที่ทำให้คนหงุดหงิดอยู่บ้างก็คือผู้หญิงคนนี้กับเขาความสัมพันธ์ซับซ้อนอยู่บ้าง
แรกเริ่มนางตกหลุมรัก เขาไม่รู้
วันนี้เขาตกหลุมรัก นางจะคิดอย่างไร?
เขาขบคิดการตัดสินใจของตนเองให้ชัดเจนได้ แต่ไม่อาจขบคิดการตัดสินใจของนางออก
เขาเป็นคนเด็ดขาดคนหนึ่ง ในเมื่อขบคิดไม่แตก ถ้าอย่างนั้นก็มาลองถามดูเถอะ ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดเวลาที่เหมาะสมเวลาหนึ่ง ทำการเชื้อเชิญที่เหมาะสมครั้งหนึ่ง
เขามองดวงตาของนางนิ่งสงบ
“วันที่สิบห้ามะรืนนี้ เจ้ายินดีไปชมโคมกับข้าไหม?” เขาเอ่ยถาม
ชมโคมหรือ?
คุณหนูจวินคิดไป แน่นอนได้สิ นางเดิมทีก็ต้องการไปชมโคมเหมือนกัน
“เอาสิ” นางเอ่ย ท่าทางสบายๆ “พวกเราไปทานอาหารบ้านผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก่อน หลังจากนั้นก็จะไปชมโคม”
แล้วก็คิดถึงว่าเขาก็อยู่ต่างถิ่นไม่มีบิดามารดาตรงหน้าเหมือนกัน
“เจ้าจะไปทานอาหารที่บ้านท่านอาของเจ้าสินะ? ถึงเวลาพวกเรารวมตัวกันที่ไหน?”
นางเอ่ยตอบเอาสิอย่างเด็ดขาดฉับไว เสียงของนางเอ่ยถามอย่างอ่อนโยนว่านัดพบกันที่ไหน แต่หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ยินดีกับมัน
นางตอบฉับไวเกินไปแล้ว นางไม่ได้คิดถึงความหมายของคำพูดนี้ที่เขาถามเลย
บางทีสำหรับคนบางคนแล้ว เวลาเช่นนี้แสร้งทำมึนๆ งงๆ ผ่านไปก็ได้ รอคอยวันหน้าค่อยๆ ทำ
แต่เขาเป็นคนที่ทุกเรื่องล้วนต้องการคำตอบที่ชัดเจน เหมือนเช่นความหมายของคัมภีร์ ปกติไม่อาจให้คลุมเครือสักนิดได้ ดังนั้นคำถามนี้เขาตั้งใจว่าต้องถามให้กระจ่าง
“เจ้ายินดีไปชมโคมด้วยกันกับข้าจริงไหม?” เขามองนางเอ่ยถามอีกครั้ง
เสียงของเขาใสกังวานทั้งยังติดจะสั่นเทาอยู่เล็กน้อย อาการสั่นน้อยๆ นี้ทำให้เสียงต่ำแหบไปบ้าง ท่ามกลางค่ำคืนอันเงียบสงัดได้ยินเสียงใจเต้นแรงเพิ่มขึ้นมาอยู่บ้าง
แค่ชมโคม มียินดีไม่ยินดีอะไร?
คุณหนูจวินมึนงงไปครู่หนึ่ง
จำเป็นต้องเอ่ยย้ำถามซ้ำเช่นนี้หรือ?
คำพูดที่จำเป็นต้องเอ่ยย้ำย่อมไม่ใช่แค่คำพูด แต่เป็นความนัยในคำพูด
ความนัยหรือ
คุณหนูจวินมองดวงตาของชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาคู่นี้สว่างไสวดุจเปลวเพลิง เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ยากจะเอ่ยชื่อ
คุณหนูจวินฉับพลันเข้าใจ
……………………………………….