Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 บทที่ 191 นี่เป็นโรคที่ไม่รักษา
ตอนที่ลู่อวิ๋นฉีกลับมา ท้องฟ้าก็มืดสลัวแล้ว ด้านในเรือนโคมไฟสว่างไสว แต่เพราะเงียบสงบเกินไปจึงดูวังเวง
ยามเขายืนอยู่หน้าประตูเรือนหยุดชะงักไปนิดหนึ่งครู่หนึ่งถึงก้าวเข้าไป
โคมไฟสีแดงใต้ชายคาฉายส่ององค์หญิงจิ่วหลียืนนิ่งสงบอยู่ สวมผ้าคลุม เห็นได้ชัดว่ายืนอยู่ข้างนอกนานมากแล้ว
นางมองลู่อวิ๋นฉีเดินเข้ามา ไม่ได้ตระหนกขวัญหายแล้วไม่ได้โกรธเกรี้ยวร้อนรน เพียงก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“เขาเป็นอย่างไร?” นางเอ่ยถาม น้ำเสียงสงบนิ่งอ่อนโยน
“ไม่ดีนัก” เขาเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีร้องอ้อทีหนึ่ง
“ไม่ค่อยดีหรือ” นางเอ่ย เหมือนทอดถอนใจ เหมือนกลัดกลุ้ม
ไม่มีความโศกเศร้าแล้วไม่มีความโกรธแค้น ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น
แต่ลู่อวิ๋นฉีที่เห็นความเจ็บปวดความโกรธแค้นความเศร้าเสียใจมาจนชินกลับรู้สึกว่าเสียงถอนหายใจนี้ยากทานทน
“องค์หญิง ท่านไปดูองค์ชายได้” เขาเอ่ย
ดวงหน้าอ่อนโยนขององค์หญิงจิ่วหลีพริบตาสว่างไสวขึ้นมา นางมองเขาก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง
“ได้หรือ?” นางเอ่ยถาม ในน้ำเสียงในที่สุดก็มีความหวั่นไหวจางๆ
ลู่อวิ๋นฉีมองนางพยักหน้า
“ได้” เสียงของเขาแหบพร่าเล็กน้อยเอ่ยขึ้น
องค์หญิงจิ่วหลียิ้มแล้ว
“นั่นดีเหลือเกิน” นางเอ่ย “ขอบคุณท่านมากจริงๆ ไม่ว่าอย่างไร ท้ายที่สุดคนก็ต้องไปยังที่พำนักสุดท้าย เพียงแต่ก่อนจากลาได้มีครอบครัวเคียงข้าง ก็นับเป็นความสุขยิ่งแล้ว”
ขอเพียงก่อนตายได้พบครอบครัว ก็เป็นความสุขงั้นหรือ?
ถ้าอย่างนั้นเวลานี้เมื่อปีก่อน คนผู้นั้น โชคไม่ดีมากเพียงไร
ลู่อวิ๋นฉีหมุนตัวก้าวยาวเดินไปด้านนอก
…
ตอนที่ท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว ฟางจิ่นซิ่วไม่ได้ยินเสียงต่อยหลักไม้ที่ได้ยินเป็นประจำ นางลุกขึ้น ออกมามองเห็นคุณหนูจวินยืนอยู่หน้าหลักไม้
คุณหนูจวินหันหลังให้ยืนนิ่ง ดูไปแล้วเหมือนกับนิ่งอึ้งทั้งเหมือนหนาวจนแข็งไปแล้ว
ใส่น้อยขนาดนั้น ยังเช้าตรู่ยืนนิ่งไม่ขยับ คิ้วฟางจิ่นซิ่วขมวด
“เหนื่อยก็ไม่ต้องต่อยแล้ว” นางเอ่ย
คุณหนูจวินหันกลับมายิ้มให้นาง ยกมือโจมตีบนหลักไม้
เสียงต่อยตีดั่งเช่นปกติดังขึ้นในลาน
ฟางจิ่นซิ่วอยู่ในลานเดินขยับเป็นวงกลม รอคุณหนูจวินหยุดนางก็หยุด ขยับเคลื่อนไหวร่างกาย
“วันนี้ยังต้องออกไปไหม?” นางเอ่ย
คุณหนูจวินยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ส่ายศีรษะ
“ไม่ราบรื่นหรือ?” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ยถามอีกครั้ง
ไม่ใช่ไม่ราบรื่น แต่เป็นไปไม่ได้
คนเหล่านี้ที่ไปหาหลายวันนี้ แม้พูดถกเกี่ยวกับอาการป่วยของไหวอ๋องไม่กี่ประโยคได้ แต่ก็เพียงพูดถกไม่กี่ประโยคก็ทิ้งไปแล้ว
ไม่มีใครคิดอยากแนะนำนางให้รักษาไหวอ๋อง
ไม่ น่าจะเป็นคนมากมายล้วนคิด แต่พวกนางไม่มีทางและไม่กล้าทำเช่นนี้
ไหวอ๋องเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างหนึ่ง ใครจะยอมไปแตะต้อง
คุณหนูจวินตอบอืมทีหนึ่ง
“ดังนั้นวันนี้ข้าไม่ออกไปแล้ว” นางมองฟางจิ่นซิ่วเอ่ยขึ้น
คำตอบนี้ไม่เพียงตอบประโยคนั้นที่ว่าวันนี้ออกไปไหม ยังตอบว่าไม่ราบรื่น แล้วก็ยอมรับด้วยว่าที่หลายวันมานี้นางออกจากบ้านมีสาเหตุ
ฟางจิ่นซิ่วอยากถามสุดท้ายก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ถามได้
“อย่ารีบร้อน ค่อยคิดวิธีอื่น” นางเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้าน้อยๆ
“ข้าคิดวิธีออกแล้ว” นางเอ่ย
คิดออกแล้ว?
ฟางจิ่นซิ่วมองนาง
…
แม้ฟ้าเพิ่งสว่าง แต่ด้านในสำนักแพทย์หลวงคนที่เดินไปมากลับไม่น้อย มีคนคณะหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ท่าทางเหนื่อยล้าอยู่บ้าง
ที่นำมาคือเจียงโหย่วซู่ สีหน้าทะมึน เห็นชัดว่าอารมณ์ไม่ดีมาก
ศิษย์หลายคนรีบเข้ามาปรนนิบัติ
ผู้คนในห้องใช้ผ้าร้อนเช็ดมือเช็ดหน้า ดื่มชาร้อนคลายความเหนื่อยล้าไปบ้าง
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอาการป่วยนี้ของไหวอ๋องจะตึงมือเช่นนี้” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ย
“วิธีที่ควรคิดก็ใช้หมดแล้ว ยานี่ก็ไม่ได้ผล แล้วมีวิธีอะไรอีก” หมอหลวงอีกคนเอ่ย บนหน้าเขาวิตกอยู่บ้าง “ข้าดูแล้ว คงไม่พ้นไม่กี่วันนี้แล้ว”
คนพูดนี้ออกมาบรรดาศิษย์ในห้องรีบถอยออกไป เฝ้าอยู่นอกประตูให้ดี
เจียงโหย่วซู่วางถ้วยชาในมือลง
“ทุกคนศึกษาต่ออีกสักหน่อยค่อยลองคิดดู เพราะหวัดง่อยๆ ครั้งหนึ่งก็รักษาไม่หายเสียชีวิตพูดออกไปพวกเราก็เสียหน้าเหมือนกัน” เขาเอ่ย
หมอหลวงหลายคนสบตากัน
“คนที่ตายเพราะหวัดก็มากไป” หมอหลวงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“แต่คนนี้คือไหวอ๋อง” เจียงโหย่วซู่มองเขาเอ่ยขึ้น
คนอื่นตายก็ตายไป นอกจากครอบครัวของตนใครจะสน แต่ไหวอ๋องอยู่ไม่มีคนสนใจ ตายไปคนทั้งใต้หล้าล้วนมองเห็น
ไม่มีเหตุผลที่สมเหตุสมผล ไม่รู้ว่าจะชักนำคำพูดเหลวไหลมากเท่าไรขึ้นมา
แม้ไทเฮาเอ่ยปากปกป้องบรรดาหมอหลวงแล้ว แต่นี่เป็นฮ่องเต้บุตรกับมารดาเล่นไม้อ่อนไม้แข็ง ชะตาชีวิตของพวกเขาพูดตรงๆ แล้วยังไม่มั่นคง
ถึงเวลาไม่แน่พวกเขาอาจต้องเป็นแพะรับบาป
หากไม่อยากเป็นแพะรับบาป นั่นก็จำต้องให้อาการป่วยของไหวอ๋องสมเหตุสมผล ไม่อาจให้เป็นหวัดธรรมดาได้ หวัดมีหลายชนิดนักจริง หวัดก็ถึงชีวิตได้จริง แต่นี่สำหรับชาวบ้านแล้วยังเข้าใจยากเกินไป ยากจะยอมรับได้ยิ่งนักเช่นกัน
หมอหลวงคนหนึ่งวางมือที่ลูบเคราลง
“ข้ารู้สึกว่านี่ไม่ใช่หวัด” เขาเอ่ย
…
ในวังไหวอ๋อง เทียบกับก่อนหน้า คนวังไหวอ๋องเห็นชัดว่าเพิ่มขึ้นมาก นางกำนัลขันทีในห้องบรรทมยกน้ำร้อนยาเข้าๆ ออกๆ
ในห้องเต็มไปด้วยกลิ่นยาข้นคลัก
องค์หญิงจิ่วหลีบิดผ้าเช็ดหน้าในอ่างน้ำที่นางกำนัลยกมา วางไว้บนหน้าผากจิ่วหรงอย่างระมัดระวัง
เทียบกับก่อนแต่งงาน จิ่วหรงทั้งร่างผอมไปรอบหนึ่ง สีหน้าซีดขาว สองตาปิดสนิท ลมหายใจถี่กระชั้น
“องค์หญิง” นางกำนัลคนหนึ่งยกถ้วยยาเข้ามา
จิ่วหลีลุกขึ้นไปที่หัวเตียง กอดจิ่วหรงไว้ในอ้อมกอด พลางหยิบช้อนป้อนยา
จิ่วหรงไม่อ้าปาก ยาไหลลงมาตามมุมปาก นางกำนัลรีบเช็ด
“องค์หญิงไม่ไหว ใช้กากรอกยาเถอะเพคะ” นางเอ่ย
เมื่อวานป้อนยังกลืนได้อยู่เลย วันนี้ไม่ได้เสียแล้ว จิ่วหลีมองใบหน้าขาวซีดของจิ่วหรงในอ้อมกอด ยื่นมือลูบปลอบนิดหนึ่ง
“ได้” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ไม่ว่าโรคของจิ่วหรงดูแล้วหนักหนามากเพียงไร ตั้งแต่มาองค์หญิงจิ่วหลีก็ไม่ร้องไห้และไม่ตระหนก ยิ่งไม่กล่าวโทษบรรดาหมอหลวง นางเพียงเฝ้าอยู่ข้างกายจิ่วหรง ป้อนยาเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าวันคืนไม่ห่าง
บรรดาหมอหลวงอยู่เพียงข้างห้อง นางกำนัลรีบไปเอากาพวยยาวที่ใช้สำหรับกรอกยา องค์หญิงจิ่วหลีโอบจิ่วหรงไว้ในอ้อมแขน ลูบใบหน้าเขาเบาๆ
ผ่านไปครู่หนึ่งด้านนอกประตูเสียงฝีเท้าสับสนวุ่นวายดังขึ้น นางกำนัลหลายคนสีหน้าตื่นตระหนกวิ่งเข้ามา
“องค์หญิง องค์หญิงไม่ดีแล้วเพคะ” พวกนางเอ่ย “พวกหมอหลวงบอกว่าองค์ชายเป็นฝีดาษ”
ฝีดาษ?
มือขององค์หญิงจิ่วหลีชะงักไปนิดหนึ่ง มองดูจิ่วหรงในอ้อมกอด
ใบหน้าของจิ่วหรงแม้ผอมลงไปรอบหนึ่ง แต่ผิวหน้าขาวกระจ่าง ไม่ใช่แค่ผิวหน้า บนร่างก็เป็นเช่นนี้ด้วย
ฝีดาษ
มุมปากขององค์หญิงจิ่วหลีผุดรอยยิ้มบางๆ ลูบหน้าผากใบหน้าของจิ่วหรงต่อ
“ไม่กลัว ไม่กลัว พี่อยู่นี่นะ” นางเอ่ยเสียงอ่อนโยน
ในวังไหวอ๋องบรรดาขันทีนับไม่ถ้วนใช้ผ้าขาวปิดปากจมูกหิ้วถังยาพรมน้ำยาทั่วทุกแห่ง ยังมีขันทีนางกำนัลไม่น้อยถูกไล่ เสียงร้องไห้เสียงร้องดังไม่ขาด เอะอะและสับสน
“รีบแจ้งในวัง…”
“เหล่าองค์ชายองค์หญิงล้วนไม่ต้องมาเยี่ยมอีก…”
“คนที่เคยมาเยี่ยมพวกนั้นล้วนต้องบอก รีบดื่มยาเข้า…”
ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ด้านนอกประตูใหญ่ มองดูคนที่แห่ออกมาจากด้านในไม่ขาดสายผ่านข้างตัวไป ยืนนิ่งไม่ขยับ
…
“ถึงกับเป็นฝีดาษ”
“มิน่าหวัดรักษาอย่างไรก็รักษาไม่หาย ไข้สูงไม่ลด ที่แท้เป็นฝีดาษ”
“นี่จบแล้วจบแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็รักษาไม่ได้แล้ว”
ในสำนักแพทย์หลวงก็ได้รู้ข่าวล่าสุด นายประตูหลายคนอยู่หน้าประตูวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา ทันใดนั้นเสียงกระดิ่งใสกังวานก็ลอยมา นายประตูหลายคนเดิมทีไม่สนใจ จดจ่อซุบซิบข่าวใหม่ล่าสุดนี้ แต่เสียงกระดิ่งยิ่งเข้ามาใกล้ทุกที พวกเขาอดไม่ได้เงยหน้ามองหาเสียง เห็นด้านหนึ่งของถนนมีคนสองคนกำลังเดินมาช้าๆ หลังจากนั้นหยุดหน้าประตูสำนักแพทย์หลวง
บรรดานายประตูมองไปทางนาง กวาดผ่านหีบยาที่นางสะพายอยู่ กระดิ่งในมือ รวมถึงสาวใช้ตัวน้อยที่ยกธงข้างกาย รู้ทันที
นี่ก็คือหมอเร่คนนั้นของโรงหมอจิ่วหลิง
แม้ชาวบ้านกับท่านหมอทั้งเมืองล้วนสรรเสริญนาง แต่สำนักแพทย์หลวงด้านนี้หามีไม่
“เจ้ามาที่นี่ทำอะไร?” บรรดานายประตูหน้าทะมึนท่าทางยโสอยู่บ้างเอ่ยขึ้น พลางโบกมืออย่างรำคาญ “รีบไปรีบไป ที่นี่ไม่มีใครอยากให้เจ้าดูลางร้าย”
“ข้าไม่ได้มาดูลางร้าย” คุณหนูจวินเอ่ย “ข้ามาหาหมอหลวงเจียง”
นายประตูอึ้งไป
“เจ้ามาหาใต้เท้าเจียงทำอะไร?” นายประตูคนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยถาม
คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อย
“หมอหลวงเจียงเคยมีข้อตกลงกับข้า คนที่เขารักษาไม่หายให้ข้ารักษา” นางเอ่ย “ตอนนี้ข้ามารับคำท้าตามข้อตกลงแล้ว”
……………………………………….