Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 บทที่ 194 ความลำบากของฝีดาษ
“ข่าวดี ข่าวดี”
พนักงานคนหนึ่งรีบร้อนวิ่งเข้ามา ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วขมวดคิ้ว
“ระวังหน่อย กระต่ายตื่นตูมไปได้” เขาพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ
พนักงานตัวน้อยอับอายรีบยืนให้ดี
“คุณหนูจวินด้านนั้นไม่ต้องให้พวกเจ้าตกอกตกใจ ผู้ชายมาเอายาก็ดี มาตรวจก็ดี คิดไปในทางที่ถูกที่ควรหน่อย” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสั่งสอนยกหนึ่ง หิ้วกาน้ำชารินชาถึงถาม “เรื่องอะไร?”
“ผู้ดูแลใหญ่ สำนักแพทย์หลวงขอให้คุณหนูจวินรักษาไหวอ๋อง” พนักงานน้อยรีบร้อนเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมือสั่น น้ำร้อนควันฉุยในกาน้ำชาสาดออกไปทันที กระเซ็นลงบนร่างเขา
“ผู้ดูแลใหญ่” พนักงานตัวน้อยรีบเข้าไปช่วย
ยังดีหน้าหนาวเสื้อผ้าที่ใส่หนา ไม่ถึงกับลวกบาดเจ็บ เพียงแค่เลอะเทอะนิดหน่อย แต่ตอนนี้ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่มีเวลาสนเรื่องเหล่านี้
“เจ้าว่าอะไร?” เขารีบร้อนเอ่ยถาม “รักษาใคร?”
“ผู้ดูแลใหญ่ท่านยังจำได้ไหม? ตอนนั้นหมอหลวงเจียงของสำนักแพทย์หลวงเคยกล่าวกับคุณหนูจวินว่าโรคที่เขารักษาไม่ได้ให้คุณหนูจวินรักษา ตอนนี้เขาทำอย่างที่พูด…” พนักงานตัวน้อยหน้าตาตื่นเต้นเอ่ย
คำพูดของเขาเอ่ยไม่ทันจบ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็ไม่สบอารมณ์ฝ่ามือหนึ่งผลักเขาออก
“ไป ไป ครึ่งวันแล้วพูดไม่กระจ่างสักเรื่อง” เขาตะโกน ไม่รอพนักงานคนนั้นเอ่ยวาจาอีก คนก็ก้าวไวๆ พุ่งออกไปแล้ว
“กระต่ายตื่นตูมเกินไปแล้วกระมัง ข้ายังไม่ทันบอกอะไรเลย” พนักงานตัวน้อยตอบสนองไม่ทัน สีหน้าไม่เข้าใจพึมพำเอ่ยกับตนเอง
ตอนที่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเร่งเดินทางมาถึงโรงหมอจิ่วหลิง ที่ร้านก็กำลังวุ่นเก็บข้าวของที่คุณหนูจวินจะนำไป
“คุณหนู ข้าไปกับท่านไม่ได้จริงหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์สีหน้าเสียดายเอ่ยขึ้น
“หลิ่วเอ๋อร์ นั่นคือฝีดาษ ติดต่อได้นะ” เฉินชีอยู่ด้านข้างเอ่ยบอก
“คุณหนูของข้าไม่กล้ว ข้าก็ไม่กลัวเหมือนกัน” หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตามองเขา
“คุณหนูของเจ้าร้ายกาจไหม” เฉินชีหัวเราะหึหึ แล้วมองคุณหนูจวิน “ครั้งนี้ไปกลับมาก็ยิ่งร้ายกาจแล้ว”
กลับมายิ่งร้ายกาจ ก่อนอื่นพูดถึงไปแล้วกลับมาให้ได้ก่อนเถอะ
“คุณหนูจวิน นั่นเป็นฝีดาษนะขอรับ” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย “โรคเช่นนี้ไม่สะดวกรักษานะขอรับ”
คุณหนูจวินขานอืมทีหนึ่ง
“แต่ข้ารักษาได้” นางเอ่ย
นั่นเป็นฝีดาษนะ มั่นใจขนาดนี้ได้อย่างไร? ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วไม่รู้ควรพูดอะไร
“คุณหนูจวิน ท่านรู้หรือไม่นั่นคือไหวอ๋อง…” เขาได้แต่ต้องเอ่ย
คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกคุณหนูจวินขัดแล้ว
“ข้ารู้” นางเอ่ย “นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องคนป่วยเป็นใคร สำนักแพทย์หลวงรักษาไม่หาย ข้าเคยพูดไว้โรคที่พวกเขารักษาไม่หายข้ารักษาได้ พวกเราตอนนี้มุ่งเป้าไปที่อาการป่วยนี้ ไม่ใช่คนผู้นี้”
เป็นวาจาของเด็กน้อยจริงๆ ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วยื่มเฝื่อนนิดหนึ่ง
คนผู้นี้หากรักษาไม่หาย ก็จะมีคนมุ่งเป้ามาที่เจ้าคนนี้แล้ว
แม้ไหวอ๋องล้มป่วยเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ที่สำนักแพทย์หลวงเสนอคุณหนูจวินไปรักษาย่อมจงใจ ดังนั้นโบราณว่าไว้ข้าวอย่ากินอิ่มแปล้วาจาอย่ากล่าวมั่นใจเกินถูกต้องแล้ว
ใครจะคิดว่าโรคที่อันตรายเช่นนี้โรคหนึ่งจะโผล่ออกมา แล้วคนที่เป็นโรคนี้ก็ยังเป็นคนที่อันตรายคนหนึ่งอีก
“คุณหนู รถของสำนักแพทย์หลวงมาแล้ว” พนักงานร้านเอ่ย
คุณหนูจวินพยักหน้ายื่นมือหิ้วหีบยา หลิ่วเอ๋อร์อาลัยอาวรณ์ ฟางจิ่นซิ่วกังวลอยู่บ้าง
“ไม่ต้องกังวล ไม่เป็นไร” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
นั่นคือน้องชายของนาง นางมาเมืองหลวงก็เพื่อปกป้องเขาให้ปลอดภัย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองรถม้าที่คุณหนูจวินนั่งจากไป ถอนหายใจอีกครั้ง
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านก็อย่ากังวลเลย รักษาหายแล้วย่อมเป็นเรื่องดี” เฉินชีเอ่ย
“รักษาไม่หายเล่า?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยไม่สบอารมณ์
เฉินชีหัวเราะหึหึ
“นั่นเป็นถึงฝีดาษเชียวนะ รักษาไม่หายมีอะไรแปลกอีกล่ะ” เขาเอ่ย “นี่เป็นการเดิมพันไหม รักษาหายก็ได้ชื่อเสียงมากมาย แพ้แล้วก็ไม่มีอะไร ฝีดาษรักษาไม่หายก็ไม่มีอะไรเสียหน้า”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วแค่นเสียงเหอะ
“ชนะเดิมพันได้ชื่อเสียง พ่ายแพ้คงไม่ใช่แค่แพ้เสียหน้าง่ายดายปานนั้น” เขาเอ่ย
เฉินชียังคงยิ้ม
“แต่สำหรับพวกเราแล้วก็ง่ายดายเช่นนี้ เพราะยังมีราชโองการไหม” เขาเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วสีหน้าผ่อนคลายลงบ้าง ใช่สิ ยังมีราชโองการ มีราชโองการอยู่ หากถึงยามมีผู้สูงศักดิ์คนใดในวังร้องโวยวายไม่ฟังเหตุผลจริงๆ ก็เอาออกมาใช้ได้
แต่ราชโองการนี้ดูท่าคงต้องถูกเก็บคืนกลับไปแล้ว คิดถึงตรงนี้เขาก็ปวดใจอยู่บ้าง
พนันครั้งนี้เดิมพันไม่น้อยจริงๆ
“ไม่ต้องดูแล้ว พวกเราตอนนี้อย่างอื่นช่วยไม่ได้แล้วก็สร้างกระแสเถอะ” เฉินชีเอ่ย
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองเขาทีหนึ่ง สร้างกระแสอะไร?
“ฝีดาษ น่ากลัวปานใด” เฉินชีเอ่ย “รักษาลำบากมากเท่าใด”
…
“มีตุ่มที่ใบหน้ารวมถึงลำตัว ไม่นานก็ขึ้นไปทั่ว สภาพเหมือนตุ่มพอง หัวล้วนมีน้ำสีขาว ตายปุบเกิดปับ ผู้ป่วยส่วนมากตาย”
หนิงอวิ๋นเจาอ่าน วางหนังสือในมือลงถอนหายใจทีหนึ่ง
“ครั้งนี้พวกหมอหลวงลำบากแล้ว”
หนิงเหยียนที่สวมชุดเต้าผาว[1]ขมวดคิ้ว
“ฝีดาษเดิมทีก็รักษาลำบาก ไม่แปลกนักที่เหล่าหมอหลวงจะรู้สึกลำบากใจ” เขาเอ่ย มองหนังสือม้วนตำราที่กองบนโต๊ะของหนิงอวิ๋นเจา
เหล่านี้ล้วนเป็นบันทึกเกี่ยวกับฝีดาษที่หนิงอวิ๋นเจาใช้เวลาทั้งบ่ายค้นออกมาจากในห้องหนังสือของเขา
หนิงอวิ๋นเจาหยิบออกมาอีกเล่มหนึ่งอ่าน
“รัชสมัยหย่งฮุยปีที่สี่ ฝีนี้จากตะวันตกแพร่ไปตะวันออก แพร่ไปทั่วสมุทร ไม่มียารักษาได้” เขาอ่าน
หนิงเหยียนพยักหน้า
“ไม่มียารักษาได้ ทั้งยังเป็นโรคติดต่อ ก็คือโรคระบาดล่ะนะ” เขาเอ่ย “วันนี้เมืองหลวงมีคนใจหวาดหวั่นบ้างแล้ว ยังดีไหวอ๋องไม่เคยออกไปข้างนอก สถานการณ์ของโรคยังคงควบคุมอยู่ภายในจวนไหวอ๋องได้”
เขาพูดพลางมองไปทางหนิงสืออีที่นั่งอยู่ด้านข้างอีก
“กรมทหารม้าห้าเมืองเริ่มสาดปูนขาวทั่วเมืองแล้วสินะ?”
หนิงสืออีพยักหน้า
“เริ่มแล้ว” เขาเอ่ย ดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมา “พี่สิบ ท่านอยู่ดีๆ ทำไมสนใจเรื่องนี้เล่า? ท่านไม่ใช่เก็บตัวอ่านหนังสือก่อนปีใหม่ไม่ออกมาหรือ?”
หนิงเหยียนก็มองมาด้วย
หนิงอวิ๋นเจาวางหนังสือในมือลง
“ข้าเพียงแค่ทอดถอนใจอยู่บ้าง” เขาเอ่ย “ไหวอ๋องเขาโชคร้ายนัก”
หนิงเหยียนสีหน้าเศร้าหมองอยู่บ้าง ส่วนหนิงสืออีกระแอมทีหนึ่ง
“พี่สิบท่านไม่ใช่กระมัง” เขาเอย “ศิษย์แห่งนักปราชญ์จะทอดถอนใจเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“จังหวะเวลาก็คือชะตา นี่ไม่อาจกล่าวว่าเส้นทางชีวิตโชคร้ายนักได้” หนิงเหยียนเอ่ย “ใต้หล้าเด็กที่สูญเสียบิดามารดามากนับไม่ถ้วน ใต้หล้าคนที่เป็นโรคซึ่งยากรักษามีทุกหนทุกแห่ง เจ้าจะเศร้าใจถอนใจเพราะเขามีฐานะเป็นไหวอ๋องได้อย่างไร?”
หนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นยืนตรงตั้งใจฟัง พลางค้อมกายขานรับ
หนิงสืออีก็ลุกขึ้นยืนทิ้งมือลงตั้งใจฟังตามด้วย
“ป่วยก็คือป่วย เรื่องเช่นนี้จะทอดถอนใจในชะตาได้อย่างไร” หนิงเหยียนเอ่ย “มีโรคก็รักษา บรรดาท่านหมอทุ่มเทใจรักษาสุดกำลัง ใต้หล้านี้คนเท่าไรล้มป่วยกระทั่งหมอก็ไปหาไม่ได้ มีอะไรน่าทอดถอนใจ”
หนิงอวิ๋นเจากับหนิงสืออีขานรับอีกครั้ง
หนิงเหยียนมองพวกเขาทีหนึ่ง
“เอาล่ะ พวกเจ้าไปได้แล้ว เรื่องที่เป็นประโยชน์กับชาติกับประชาชนมากมายนัก ไม่ต้องยุ่งเรื่องเด็กน้อยเหล่านี้แล้ว” เขาบอก
หนิงอวิ๋นเจากับหนิงสืออีขานรับ คำนับถอยออกไป
หนิงสืออีที่เดินออกมาแล้วพ่นลมหายใจทีหนึ่ง ยกมือต่อยหนิงอวิ๋นเจาหนึ่งหมัด
“ล้วนโทษเจ้า” เขาเอ่ย “อยู่ดีไม่ว่าดีทอดถอนใจอะไรส่งเดช ทำข้าต้องโดนด่าด้วย”
หนิงอวิ๋นเจายิ้มโบกมือ
“อ่านหนังสืออ่านแล้วเบื่อก็คิดไปเรื่อยไหม” เขาตอบ
หนิงสืออียกเท้าเตะเขาทีหนึ่ง
“เบื่อก็ร้องเพลงดีดพิณร่ำสุราไป” เขาว่า
สองคนคุยเล่นออกไป นายหญิงรองหนิงยกน้ำแกงชามาถึงห้องหนังสือ เห็นหนิงเหยียนกำลังเก็บหนังสืออยู่
“อยู่ดีๆ สั่งสอนพวกเขาสองคนทำอะไรอีกเล่า” นางเอ่ยตำหนิ
หนิงเหยียนส่ายศีรษะ
“เพราะคนผู้หนึ่งเป็นฝีดาษก็โศกเศร้าเสียใจ ทำอย่างสตรีไร้ความรู้” เขาเอ่ย
นายหญิงรองหนิงยิ้มแล้ว
“ไหวอ๋องอย่างไรก็เป็นเด็กคนหนึ่ง เป็นโรคเช่นนี้ ทุกคนยากเลี่ยงสงสาร บรรดาหมอหลวงยังบอกอีกว่ารักษาไม่ได้” นางว่า พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มอีกครั้ง “แต่ เปลี่ยนหมอใหม่คนหนึ่งแล้ว ดูท่าคงรักษาได้”
หนิงเหยียนได้ฟังนางอยากจะพูดก็หยุด เงยหน้ามองนาง
“เป็นคุณหนูตระกูลจวินคนนั้น” นายหญิงรองหนิงเอ่ย
หนิงเหยียนขมวดคิ้ว
“บ้าบอ” เขาเอ่ย
“บ้าบออะไรเล่า เห็นชัดๆ ว่าถูกพวกหมอหลวงหลอกแล้ว” นายหญิงรองหนิงปิดปากยิ้มเอ่ย “รอนางรักษาไม่หาย ฮ่องเต้คงลงโทษนาง”
หนิงเหยียนวางหนังสือกลับไปบนโต๊ะ
“ฝีดาษเป็นโรคชนิดหนึ่ง พวกหมอรักษาไม่หาย เหตุใดต้องลงโทษ?” เขาเอ่ย “หรือฮ่องเต้จะกลายเป็นเครื่องมือขัดแข้งขัดขาของพวกเขารึ? ไม่เข้าท่าจริงๆ ข้าไม่ยอมให้เรื่องนี้ทำลายชื่อเสียงของฝ่าบาทเด็ดขาด”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็ชะงักไป
อย่างไร…
“อะไรหรือ?” นายหญิงรองหนิงเอ่ยถาม
อวิ๋นเจาเด็กคนนี้ทอดถอนใจกับไหวอ๋อง หรือว่าทอดถอนใจกับคุณหนูจวินคนนี้? หนิงเหยียนขมวดคิ้วบางทีเขาคงคิดมากไปแล้ว
“ไม่มีอะไร” หนิงเหยียนเอ่ย รับน้ำแกงชาไปดื่มคำหนึ่ง
…
หนิงอวิ๋นเจาที่เดินออกมาจากบ้านตระกูลหนิงพรูลมหายใจออกมาเบาๆ มองไปทางวังไหวอ๋องครู่หนึ่ง รั้งสายตากลับมาเดินเชื่องช้าไปตามถนน
ส่วนเวลานี้รถม้าของคุณหนูจวินก็หยุดลงเบื้องหน้าวังไหวอ๋องแล้ว
ประตูใหญ่วังไหวอ๋องปิดสนิท จมูกปากได้กลิ่นยาฉุนกึก บนถนนเส้นนี้ยิ่งคนน้อยนิด เงียบสงัดไปหมด
หมอหลวงคนหนึ่งเอาผ้าปิดปากจมูกเดินเข้าไปเคาะประตู คนเฝ้าประตูที่ได้ข่าวมาก่อนแล้วเปิดประตูออก
“คุณหนูจวินเชิญ” หมอหลวงผู้นั้นไม่ได้เข้าไป แต่ยืนอยู่ด้านนอกประตูเอ่ยขึ้น “ท่านจะเอา…”
ผ้าปิดปากยังไม่ทันเอ่ยออกมา คุณหนูจวินก็เดินผ่านเขาเข้าไปแล้ว
นางมองทางเดินปูหยกขาวตรงแน่ว ก้าวเดินช้า
จิ่วหรง ข้ามาแล้ว ข้ากลับมาแล้ว
……………………………………….
[1] เต้าผาว (道袍) เป็นชุดจีนแบบหนึ่งของสมัยหมิงที่พัฒนามาจากชุดสมัยฮั่น เป็นเสื้อตัวนอกที่บุรุษใส่ยามอยุ่บ้าน แล้วก็เป็นอาภรณืยามแต่งงานของชายชาวบ้านได้ด้วย