Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 2 บทที่ 197 นอนค้างร่วมตำหนัก
ราตรีสีเข้ม เตียงนอนจัดเรียบร้อยแล้ว องค์หญิงจิ่วหลีลูบหน้าผากของจิ่วหรงมองคุณหนูจวินที่เดินเข้ามา
“คุณหนูจวินไปอาบน้ำสักหน่อยเถอะ” นางเอ่ย
ฝังเข็มต้มยาป้อนยาเสื้อผ้าของคุณหนูจวินเหงื่อเปียกไปสามรอบแล้ว ได้ยินจึงไม่ปฏิเสธคำนับขอบพระทัย
“คุณหนูจวินเชิญด้านนี้” นางกำนัลคนหนึ่งนำทางเอ่ยขึ้น
ห้องอาบน้ำก็อยู่แค่ข้างๆ
นี่เป็นห้องสรงของจิ่วหรง คุณหนูจวินสายตาค่อยๆ กวาดผ่านทีหนึ่ง ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรจากก่อนหน้า
นางเดินผ่านตู้เสื้อผ้าใบหนึ่งช้าๆ ยื่นมือเข้าไปสำรวจเหมือนไม่ได้มีเจตนา ยื่นเข้าไปตรงซอกระหว่างตู้เสื้อผ้ากับผนังพอดี แตะถูกกล่องใบหนึ่ง
มุมปากคุณหนูจวินยกโค้งปรากฏรอยยิ้มบาง
เจ้าเด็กน้อยนี่ ยังเอากล่องของเล่นซ่อนไว้ที่นี่จริงๆ
แต่ จิ่วหลีแต่งงานออกไปแล้ว ไม่มีคนสนใจเขา แล้วก็ไม่มีทางถูกพบ เขายังจะซ่อนไว้ทำไม?
แววตาของคุณหนูจวินหม่นลง
ท่าทางตอนเล่นก็คงคาดหวังอย่างยิ่งให้มีคนค้นพบ มีคนดุว่าเขาสินะ
เล่นคนเดียวสิ่งใดก็ล้วนเหงาหงอยและน่าเบื่อ
“คุณหนูจวิน” นางกำนัลสองคนหมุนตัวมาจากด้านบ่ออาบน้ำ “น้ำพร้อมแล้วเจ้าค่ะ”
พูดคำนี้จบก็ก้าวเข้ามา คุณหนูจวินก็ไม่ขัดเขินสักนิดกางแขนออก ให้พวกนางปรนนิบัติถอดเสื้อ
อาภรณ์ถูกถอดออกไปทีละชิ้นๆ จนกระทั่งไม่เหลือสักชิ้น
นางกำนัลก้มศีรษะถอยหลัง มองคุณหนูจวินเดินทอดน่องก้าวลงไปในบ่อน้ำ คนทั้งร่างจมหายไปในน้ำ
คุณหนูจวินคนนี้ช่างสุขุมเป็นธรรมชาติจริงๆ นางกำนัลทั้งสองสบตากันทีหนึ่ง มองเห็นความประหลาดใจในดวงตาของแต่ละคน
ในสถานที่แปลกหน้าเช่นนี้มีบ่าวหญิงแปลกหน้าปรนนิบัติอาบน้ำเช่นนี้ ถึงกับไม่ขัดเขินและไม่กระดากสักนิด ตรงกันข้ามเหมือนคุ้นเคย
เป็นนางกำนัลวังไหวอ๋องตัดขาดจากโลก ไม่รู้ข่าวข้างนอกสักนิด เพียงเพราะหลายวันนี้คนมากมายมาจากด้านนอก ผนวกกับคำพูดของบรรดาหมอหลวง พวกนางจึงรู้ว่าคุณหนูจวินคนนี้วิชาแพทย์ยอดเยี่ยมนัก ส่วนชาติกำเนิดเป็นอย่างไรก็ไม่รู้แล้ว
บางทีหมอที่วิชาแพทย์ดีคงล้วนสุขุมกระมัง
นางกำนัลสองคนปลดม่านโปร่งลงก้มศีรษะถอยหลังไปหลายก้าวยืนรอด้านข้างเงียบๆ
นางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบกับทั้งสองคนหลายคำ ชี้ไปทางตู้เสื้อผ้าด้านอก นางกำนัลสองคนประหลาดใจอยู่บ้าง แต่จากนั้นก็ขานรับ
คุณหนูจวินไม่ได้อาบน้ำนานนัก ออกมาอย่างรวดเร็ว นางกำนัลสองคนหยิบผ้าคลุมมาห่อเช็ดให้นาง ในเวลาเดียวกันก็พานางไปถึงด้านนอก นางกำนัลคนหนึ่งเปิดตู้ จัดเสื้อตัวในรวมถึงเสื้อตัวนอกเป็นระเบียบเรียบร้อย
คุณหนูจวินมองเสื้อผ้าผู้หญิงเหล่านี้ จิ่วหรงป่วย ท่านพี่ต้องกินอยู่ที่นี่หมดแน่ อาภรณ์ย่อมต้องเตรียมพร้อมเช่นกัน
ตามหลักแล้วด้วยฐานะของนางวันนี้เสื้อผ้าของบรรดานางกำนัลก็พอแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอาภรณ์ขององค์หญิงจิ่วหลี
แต่โชคดีที่เป็นนาง ถึงรู้ว่านี่คืออาภรณ์ขององค์หญิงจิ่วหลี เปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่คิดเช่นนี้สักนิด คงคิดว่าเป็นของนางกำนัลบ่าวรับใช้
ท่านพี่ก็เป็นเช่นนี้มักจะมีเจตนาดีบางอย่างที่คนอื่นยากค้นพบ ยังบอกอีกว่ารดฉ่ำสรรพสิ่งแผ่วไร้เสียงอะไร[1]
คุณหนูจวินกางแขนออก ให้นางกำนัลปรนนิบัติสวมเสื้อผ้า พลันร่างกายนางก็แข็งทื่อ อดไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว
บรรดานางกำนัลไม่ทันตั้งตัวหวิดถูกเกี่ยวล้ม
“คุณหนูจวิน?” พวกนางรีบเอ่ยถาม มองคุณหนูจวินหยุดอยู่ด้านหน้าตู้เสื้อผ้า มองเสื้อผ้าชุดหนึ่ง
หรือนางอยากเลือกเสื้อผ้าเอง? นางกำนัลสองคนสบตากัน นี่ไม่รู้จักมารยาทเกินไปแล้ว
คุณหนูจวินมองเสื้อผ้าชุดตัวในในตู้เสื้อผ้า รู้สึกเพียงดวงตาขัดเคือง
นี่ไม่ใช่ของท่านพี่ นี่เป็นเสื้อตัวในของนาง
นี่เป็นเสื้อผ้าเก่าชุดหนึ่ง เป็นปีก่อนหน้าพระบิดากับพระมารดาสิ้นพระชนม์ ตอนวันเกิดของตน พระมารดาทำให้นางกับมือ
ต่อมานางใส่เสื้อตัวในชิ้นนี้แต่งงานออกไป
นางตายแล้ว กระดูกฝังอยู่ในสุสานสกุลลู่ ที่เหลืออยู่ข้างกายท่านพี่กับจิ่วหรงมีเพียงเสื้อตัวในชุดนี้หรือ?
คุณหนูจวินยื่นมือกดหน้าอก ก้มศีรษะไอแห้งๆ เพื่อปิดบังน้ำตาที่ทะลักออกมา
“คุณหนูจวินท่านไม่เป็นไรนะเจ้าคะ” นางกำนัลสองคนรีบเอ่ยถามอย่างห่วงใย
คุณหนูจวินยื่นมือกดจุดชีพจรจุดหนึ่งบนข้อมือ ไอรุนแรงติดต่อกันหลายที นางกำนัลด้านนอกตกใจขยับตัวยกน้ำชาเข้ามา คุณหนูจวินกลับมาสงบช้าๆ
“อับอายแล้ว” นางเอ่ยเสียงแหบ พลางรับน้ำชาดื่มให้ชุ่มคอ พลางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาบนใบหน้า “ข้ามีโรคประจำตัวไอแห้งๆ นี่อยู่”
นางรักษาไม่หายหรือ? นางกำนัลไม่กี่คนสบตากัน นี่ก็คือที่กล่าวกันว่าหมอไม่รักษาตัวเองใช่ไหม?
คุณหนูจวินสูดหายใจลึกทีหนึ่งวางถ้วยชาลง สีหน้าฟื้นกลับมาสงบ
“เอาล่ะ พวกเราออกไปกันเถอะ” นางเอ่ย
โคมไฟในห้องบรรทมปรับสลัวลงหลายส่วน ข้างเตียงของไหวอ๋องมีเพียงโคมไฟกลางคืนดวงหนึ่ง องค์หญิงจิ่วหลีนั่งอยู่ข้างเตียงกำลังใช้ตะเกียบแตะน้ำทำให้ริมฝีปากไหวอ๋องชุ่มชื่น
ลู่อวิ๋นฉียืนอยู่ด้านข้างมองคุณหนูจวินเดินออกมา
คุณหนูจวินไม่ได้สนใจสายตาของเขา เช่นที่ไม่สนใจเสื้อตัวในที่ตนเองใส่อยู่สักนิด เดินตรงไปถึงข้างเตียงแบบนั้น ก้มตัวมองไหวอ๋อง ลูบหน้าผากแก้มหูหลังคอครู่หนึ่งก็จับชีพจรอีกครั้ง
“ตอนนี้ยังดูอะไรไม่ออก” นางเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นก็รอเถอะ” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย ยิ้มให้คุณหนูจวิน “คุณหนูจวินพักผ่อนก่อนเถิด ท่านพักผ่อนดีแล้ว องค์ชายถึงดีขึ้นได้ด้วย”
คุณหนูจวินพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นข้าไปพักผ่อนก่อน” นางเอ่ย หมุนตัวเดินไปถึงเตียงที่วางไว้ด้านข้าง ถอดรองเท้าก็นอนลงไป
องค์หญิงจิ่วหลีมองลู่อวิ๋นฉีทีหนึ่ง
“ท่านก็พักผ่อนเถอะ” นางเอ่ย
เหมือนภรรยาคนหนึ่งเอ่ยกับสามีด้วยความเป็นห่วง
ไม่ใช่แค่เหมือน พวกเขาเดิมก็เป็นสามีภรรยา
คุณหนูจวินที่นอนบนเตียงหันหน้าเข้าข้างในหันหลังให้อยู่ด้านนี้คิด
“ข้าจะอยู่ที่นี่” เสียงลู่อวิ๋นฉีดังมา เสียงทุ้มนุ่ม แต่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ เหมือนกับสามีเผด็จการคนหนึ่ง
เขาย่อมไม่ยอมไป จะต้องเฝ้าดู ไม่ให้แผนการของฮ่องเต้ผิดพลาดเหมือนตนเองครั้งนั้นอย่างนั้น
ท่านพี่ก็ไม่มีทางไปแน่นอน จากชั่วครู่สั้นๆ นี้เมื่อครู่ก็มองออก นางไม่ยอมห่างข้างกายจิ่วหรงแม้สักครู่แน่นอน ต่อให้ตาย นางก็จะมองเขาตายด้วยตาตนเอง ไม่เหมือนตนเองครั้งนั้นแบบนั้น
ก็ไม่รู้ว่าหลังตนเองตายไปกี่วันถึงให้นางรู้ แต่ต้องไม่ใช่ทันทีแน่นอน พวกเขาต้องปิดบัง ต้องตกแต่งศพของตนที่ถูกฟันกระจุย ทั้งหมดปกปิดดีแล้ว ถึงประกาศไปข้างนอกได้ ถึงให้พี่สาวมาร่ำไห้ให้น้องสาวได้
คุณหนูจวินหลับตาลง
นางก็ไม่มีทางไปพักที่อื่นเหมือนกัน นางต้องการอยู่ที่นี่ นางต้องการเฝ้าดูท่านพี่กับจิ่วหรงเหมือนกัน
องค์หญิงจิ่วหลีไม่ได้เอ่ยวาจาอีก ในห้องตกอยู่ในความเงียบ
แต่เมื่อฟ้าสว่าง ไข้ของจิ่วหรงก็หาได้ลดลง
“ไข้ของเขาไม่ลดลงง่ายๆ” องค์หญิงจิ่วหลีก็ไม่ได้ร้อนใจตำหนิ ตรงกันข้ามท่าทางเข้าอกเข้าใจ
ต่อให้เวลานี้มองเห็นจิ่วหรงตายไป นางก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เดิมทีเขาก็ต้องตายอยู่แล้ว” บางทีนางอาจพูดเช่นนี้ด้วย
ยอมจำนนต่อชะตา ยอมถึงขั้นนี้แล้ว
คุณหนูจวินรู้สึกอยากหัวเราะทั้งอยากร้องไห้ นางสูดหายใจลึก
แต่นางไม่เชื่อ นางเชื่อว่าสวรรค์มีความยุติธรรม ให้นางมีชีวิต นอกจากนี้ยังให้นางติดตามอาจารย์ร่ำเรียนวิชาแพทย์อันสูงส่ง ยังให้นางมาถึงเมืองหลวงในยามที่จิ่วหรงเกิดป่วย หยัดยืนได้มั่นคง มีเหตุผลสมเหตุสมผลมารักษาจิ่วหรง
จิ่วหรงจะตายได้อย่างไรเล่า? ไม่มีทาง
“ไม่เป็นไร ข้าจะทำอีกครั้ง ข้ารู้สึกว่าไข้ลดลงไปบ้างแล้ว” นางเอ่ย พลางหยิบเข็มทองออกมา “ข้า…ฝังเข็มให้องค์ชายก่อน หลังจากนั้นข้าค่อยไปต้มยา”
ได้ยินนางเอ่ยถึงตรงนี้ ลู่อวิ๋นฉีที่ยืนนิ่งสงบอยู่ด้านข้างไม่ส่งเสียงสักคำมาตลอดก็มองข้ามมา
“ทำไมไม่ให้คนอื่นไปต้มยา?” เขาเอ่ยถามเย็นชา
องค์หญิงจิ่วหลีก็มองไปทางนางเช่นกัน
“แบบนี้ไม่ใช่เร็วกว่าหรือ?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยต่อ ดวงตาคมกริบเย็นเยียบคู่หนึ่งมองนางอยู่
คุณหนูจวินยืนตรงเผชิญหน้ากับสายตาของเขา มองเขา
“เพราะข้าไม่วางใจ” นางเอ่ย “ใต้เท้าลู่ ท่านก็รู้ ข้ากับพวกหมอหลวงเดิมพันกันไว้ มีคนมากมายรอคอยข้าแพ้ แต่ข้าไม่อยากแพ้ นอกจากตัวข้าเอง ใครข้าก็ไม่ไว้ใจ”
ที่แท้ขัดแย้งกับพวกหมอหลวงนี่เอง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่แปลกที่จะระวังระไวเช่นนี้ องค์หญิงจิ่วหลียิ้มรั้งสายตากลับไป
ลู่อวิ๋นฉีมองนางครู่หนึ่งก็เคลื่อนสายตาหลบเช่นกัน แล้วโบกมือ
……………………………………….
[1] รดฉ่ำสรรพสิ่งแผ่วไร้เสียง (润物细无声) วรรคหนึ่งในบทกวีฝนหลังแล้งคืนฤดูใบไม้ผลิ (春夜喜雨) ของตู้ฝู่(杜甫) ยอดกวีคนหนึ่งของจีน หมายถึงสายฝนที่ตกลงมามอบความชุ่มฉ่ำแก่สรรพสิ่งอย่างแผ่วเบาไร้เสียง อุปมาถึงการทำดี ทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นโดยเขาไม่รู้ตัว