Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 105 เปิดเผยรอแก้ความสงสัย
ชาร้อนถ้วยหนึ่งถูกวางไว้ข้างมือ ขัดการเหม่อลอยชองคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินพรูลมหายใจเงยหน้าขึ้น สบกับดวงตาเบิกกลมของหลิ่วเอ๋อร์
สองคนสบสายตากันต่างตกใจสะดุ้งโหยง
คุณหนูจวินกะพริบตา
“ทำไมหรือ?” นางเอ่ยถาม
หลิ่วเอ๋อร์ตบหน้าอกเบาๆ
“คุณหนูท่านนิ่งไปนานมากแล้วยังพูดพึมพำกับตนเอง ทำข้าตกใจสะดุ้ง” นางเอ่ย
คุณหนูจวินหันไปยิ้มปลอบนาง
“ไม่เป็นไร ข้าคิดอะไรจนเพลิน” นางเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ย่อมไม่ถามว่าคิดเรื่องอะไร แล้วก็ไม่คิดว่าคุณหนูฝืนยิ้มแย้ม นางบอกว่าไม่เป็นไรนั่นก็คือไม่เป็นไร ดีอกดีใจจับตุ๊กตาในมือเล่นต่อ
คุณหนูจวินมองด้านนอกผ่านม่านหน้าต่างทีหนึ่ง ลมเย็นพัดโชย ด้านข้างมีเสียงคุยเล่นหัวเราะของบรรดาผู้คุ้มกันลอยมา
สงบจิตใจครู่หนึ่ง คุณหนูจวินก็ก้มหน้าพลิกไปด้านหลังอ่านอีกครั้ง
ยังดีหน้าที่สิบเจ็ดไม่ใช่แผนที่แล้ว แต่กลับยังคงทำให้คุณหนูจวินตะลึง
หน้านี้วาดชุดเกราะชุดหนึ่งกับศาสตราวุธสิบแปดอย่างไว้
ชุดเกราะรอยสนิมเป็นด่างดวงประหนึ่งถูกทิ้งไว้นานนม ศาสตราวุธกระจัดกระจายอยู่ด้านหลังประหนึ่งปีกหงส์ ทำให้ท่ามกลางความเสื่อมโทรมเพิ่มไอสังหารประหลาดบางอย่างขึ้นมา
นี่หมายความว่าอย่างไร?
อาจารย์เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง หืม เขาเรียกตนเอง…
แต่การกระทำท่าทางของเขาหลายครั้งก็หยาบกระด้าง วรยุทธ์เชี่ยวชาญหรือไม่ไม่รู้ แต่ติดตามเขามาตลอด เขาก็วิ่งหนีจากการถูกจับได้อยู่หลายครั้ง ยังมองออกว่ามีพื้นฐานอยู่บ้าง
นอกจากนี้เขายังทำอาวุธลับได้ด้วย แม้ถูกเขาเอามาใส่ยาพิษเสียหมด แต่ฝีมือก็ละเอียดอย่างที่สุด ไม่ใช่นายช่างธรรมดาจะทำได้
ตัวอย่างเช่นหีบยาใบนี้ของนาง ผู้ดูแลเกาที่หยางเฉิงตามหาช่างฝีมือหลายคนจากหลายร้านมาชุมนุมกันถึงทำออกมาได้ แต่เทียบกับใบนั้นที่ตอนนั้นอาจารย์ใช้ก็ยังด้อยกว่ามากนัก
ใบนั้นของอาจารย์ตอนหล่นจากหน้าผาร่วงแตกแต่ยังไม่เสีย นางฝังมันไปด้วยกันกับอาจารย์
คุณหนูจวินลูบภาพวาดชุดเกราะ พลิกข้ามไป
หน้านี้ไม่มีแผนที่แล้วก็ไม่มีรูปวาด มีเพียงอักษรไม่กี่ตัว
ยังดี ไม่ใช่คำประหลาดอย่างนั้นเหมือนปกใน
กล้าก็รอด ไม่กล้าก็ตาย
คุณหนูจวินลูบนิ้วผ่าน
ฟังดูท่าทางฮึกเหิม ใจกล้าห้าวหาญ แต่อาจารย์คนที่กลัวเรื่องลำบากหลบเรื่องวุ่นวายประเภทนี้จะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ได้หรือ
แม้รู้สึกว่าประหลาด แต่นี่ก็เป็นคำพูดของอาจารย์ คุณหนูจวินท่องในใจเงียบๆ หลายครั้ง
นางตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้ กล้าก็รอด ไม่กล้าก็ตาย
พริบตานี้นางประหนึ่งได้ฟังคำสั่งสอนของอาจารย์อีกครั้ง คุณหนูจวินเงียบงัน
ได้ฟังคำสั่งสอนของอาจารย์อีกครั้งดีใจนักจริงๆ
นางเหม่อลอยครู่หนึ่ง พลิกผ่านหน้านี้ ครู่ต่อมาดวงตาของนางก็เบิกโตอีกครั้ง สีหน้าอึ้งตะลึง
นี่เป็นภาพวาดแผ่นหนึ่งอีกแล้ว
ไม่ใช่แผนที่แล้วก็ไม่ใช่ชุดเกราะ แต่เป็นภาพกระบวนทัพ
กระบวนทัพทหารกลมเหลี่ยม เส้นจุดเป็นคน ประหนึ่งแผนผังแปดทิศฟ้าดินวางเรียงราย มองไปทีหนึ่งเหมือนคนจริงทหารแม่ทัพผุดขึ้นมา ดาบหอกสะบัดขยับ
ฆ่า!
ไอสังหารโถมใส่หน้า
คุณหนูจวินรู้สึกเพียงทั้งร่างชา ปั้บทีหนึ่งตบปิดจดหมายไป
นี่คือกระบวนทัพ เป็นตำราทหาร?
แรกสุดเป็นแผนที่ต่อมาเป็นชุดเกราะ หลังจากนั้นเป็นคำประกาศอันห้าวหาญ จากนั้นเป็นการวางทหารตั้งกระบวนทัพ
นี่เป็นจดหมายลายมือของหมอคนหนึ่ง หมอเทวดาคนหนึ่งหรือ?
ไม่เกี่ยวกับวิชาแพทย์สักนิด
อาจารย์ที่แท้เป็นใครกันแน่?
นางคิดถึงประโยคนั้นที่บัณฑิตกู้เคยกล่าว เขาเป็นผู้มากความสามารถคนหนึ่ง คู่ควรเรียกขานเป็นอาจารย์
มากความสามารถหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่พูดถึง บัณฑิตกู้เอ่ยถึงอาจารย์ ไม่เคยใช้คำว่าหมอหรือหมอเทวดาเรียกขาน แต่เป็นอาจารย์
ตรงหน้านางปรากฏบุรุษคนนั้นหันกลับมายิ้ม
“ข้าเดิมทีก็ไม่ใช่หมอ”
ข้าเดิมทีก็ไม่ใช่หมอ
คุณหนูจวินมองจดหมายหนาปึ้กที่เริ่มเหลืองเล่มนี้ ประหนึ่งเผชิญหน้ากับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง
ที่แท้เขาเป็นใคร? จางชิงซานเป็นชื่อแซ่จริงๆ ของเขาหรือเปล่า?
แสงสายัณห์คืบคลานขึ้นมา รถม้าหยุดหน้าศาลาพักม้าหลังหนึ่ง
คุณหนูจวินวางจดหมายบนโต๊ะเข้าไปในชั้นเสริมของหีบยา
ตั้งแต่มองเห็นกระบวนทัพทหารปิดหนังสือไป นางก็ไม่ได้เปิดออกอีก ประการแรกเข้าสู่ถนนใหญ่ช่วงที่เดินทางยาก รถกระดอนโคลงเคลงอย่างร้ายกาจ ประการที่สองนางอยากให้จิตใจสงบลงสักครู่
“คุณหนูจวิน!”
มองเห็นหนังสืออนุญาตใช้ม้าที่เฉินชีส่งมา นายศาลาก็หลุดปากร้องเรียก สีหน้าตะลึง เสียงเปลี่ยนโทน
ปฏิกิริยาเช่นนี้เฉินชีตลอดทางที่เดินทางมาคุ้นชินแล้ว
“อ่าใช่แล้ว เจ้าตะโกนได้แล้ว…” เขาเอ่ยอย่างเกียจคร้าน
คำพูดไม่ทันเอ่ยจบ นายศาลาคนนั้นก็มองไปทางด้านหลังจริงๆ
“รีบมาเร็ว คุณหนูจวิน คุณหนูจวินหมอเทวดาที่ปลูกฝีมาแล้ว” เขาตะโกนตื่นเต้น
คนในศาลาพักม้าที่ได้ยินเสียงตะโกนนี้ล้วนแห่ออกมา มองเห็นคุณหนูจวินลงรถ ผู้คนตื่นเต้นยินดีล้อมเข้ามา มีคนที่เอ่ยขอบคุณแล้วก็สอบถามเรื่องการปลูกฝี ด้านหน้าศาลาพักม้าครึกครื้นขึ้นมาพักหนึ่ง
เฉินชีกับบรรดาผู้คุ้มกันเห็นจนชินแล้ว เหลือไว้ไม่กี่คนคุ้มครองคุณหนูจวิน เฉินชีพาคนมาจัดการรถม้าด้วยตนเอง เลือกห้องเอง ไปห้องครัวเลือกอาหารเอง รอคุณหนูจวินเดินออกมาจากฝูงชนที่ศาลาพักม้า ค่ำคืนก็ปูลงมาแล้ว อาหารก็วางไว้บนโต๊ะแล้วเช่นกัน
และในจวนหลังใหญ่ตระกูลหนิงที่เป่ยปลิวหยางเฉิงเวลานี้ ญาติมิตรที่มาแสดงความยินดีล้วนแยกย้ายไปแล้ว ครอบครัวของนายท่านใหญ่หนิงในที่สุดจึงได้นั่งลง
ในเรือนโคมไฟสว่างตลอด บรรดาหญิงรับใช้สาวใช้รอยยิ้มเต็มหน้าส่งอาหารเข้ามาในห้องโถง
แต่ในห้องโถงกลับไม่มีคนของครอบครัวนายท่านใหญ่หนิง
นายหญิงใหญ่หนิงนั่งอยู่ในห้อง ในมือคลึงลูกประคำ บนหน้ายังมีรอยยิ้มประหนึ่งยังอยู่ท่ามกลางญาติมิตรห้อมล้อม แต่สาวใช้หญิงรับใช้ที่ยืนอยู่สองข้างกลับล้วนก้มศีรษะ สีหน้าหวาดกลัวตัวสั่น
“ท่านแม่” หนิงอวิ๋นเยี่ยนอยู่ด้านข้างลังเลครู่หนึ่ง “ถ้าไม่อย่างนั้นท่านอะไรสักนิดก่อน ท่านอากับท่านพ่อพวกเขาพูดจากันคงต้องพูดกันสักพัก”
“ข้าไม่กิน” นายหญิงใหญ่หนิงเอ่ยเด็ดขาด บนหน้ายังมีรอยยิ้ม ในดวงตากลับเย็นเยียบไปหมด “ข้ากินตอนนี้ กลัวว่าอีกเดี๋ยวจะต้องพ่นออกมา”
หนิงอวิ๋นเยี่ยนไม่กล้าเกลี้ยกล่อมอีก ตั้งแต่หลังรู้ว่าหนิงอวิ๋นเจาได้เป็นจอหงวนแล้วจากนั้นประกาศสัญญาหมั้นกับคุณหนูจวิน นายหญิงใหญ่หนิงก็เป็นลมนอนอยู่สองวัน ระหว่างที่คนในบ้านหวั่นวิตกคิดว่านายหญิงใหญ่หนิงจะล้มหมอนนอนเสื่อจนถึงยามที่หนิงอวิ๋นเจากลับมา นายหญิงใหญ่หนิงกลับลุกขึ้นมาในวันที่สาม ไม่เพียงฟื้นกลับเป็นปกติ ยังต้อนรับญาติมิตรทั้งหลายที่มาแสดงความยินดีต่อ
เวลานี้ เรื่องที่หนิงอวิ๋นเจาประกาศสัญญาหมั้นกับคุณหนูจวินต่อหน้าผู้คนแพร่ไปทั่วแล้ว จุดสนใจของคนที่เดินทางมาแสดงความยินดีทั้งหมดล้วนไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งจอหงวนของหนิงอวิ๋นเจา แต่อยู่ที่เรื่องแต่งงานกับคุณหนูจวิน
คนที่เดินทางมาทุกคนล้วนจะเอ่ยเรื่องนี้
ที่ทำให้คนยิ่งโกรธเกรี้ยวก็คือไม่รู้ว่าทุกคนล้วนรู้จักนิสัยของนายหญิงใหญ่หนิงใช่หรือไม่ ไม่อยากแล้วก็ไม่กล้าเผยความเสียดาย ความไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้ ทั้งหมดล้วนเอ่ยชมอิจฉา
นี่ดีเหลือเกินจริงๆ อะไร จินถงอวี้หนี่ว์[1]จุติลงมาคู่กันอะไร
คุณหนูจวินทั้งร่ำรวยทั้งมีความสามารถอะไร
ในบ้านมีหมอเทวาดาคนนี้เฝ้ารักษา สิ่งชั่วร้ายไม่กล้ากล้ำกรายอะไร
หลังจากนี้คงต้องไหว้วานคุณหนูจวินดูแลมากๆ แล้วอะไร
หนิงอวิ๋นเยี่ยนได้ยินจะเป็นลมเสียหลายครั้ง นายหญิงใหญ่หนิงกลับยังคงรักษารอยยิ้มน้อยๆ ไว้ได้
แน่นอนรอออกจากเบื้องหน้าผู้คน นางจะโกรธจนข้าวสักคำก็กินไม่ลง อาเจียนแห้งๆ ติดกัน
“ท่านแม่ ท่านอย่าทรมานตนเองอีกเลย พวกเราใครก็ไม่ต้องพบแล้ว” หนิงอวิ๋นเยี่ยนทั้งโกรธทั้งร้อนรนเอ่ยกล่อม
นายหญิงใหญ่หนิงกลับส่ายศีรษะปฏิเสธ
“เรื่องน่ายินดีใหญ่หลวงบุตรชายข้าได้เป็นจอหงวน ชื่อเสียงขาวสะอาด ข้าจะไม่ให้ผู้อื่นเห็นเรื่องตลกของเขาเด็ดขาด” นางเอ่ย “ข้าเชื่อว่าบุตรชายของข้าทำเช่นนี้ต้องมีความลำบากใจ เลือกไม่ได้แน่นอน ก่อนหน้าพบหนิงอวิ๋นเจา ข้าไม่มีทางทำให้เขาเสียหน้า ข้าจะไม่เพิ่มความลำบากให้เขาเด็ดขาด ข้าไม่ปกป้องเขา ใครจะปกป้องเขา”
นายหญิงใหญ่หนิงจึงยื้อเช่นนี้มาจนกระทั่งถึงตอนนี้ คนทั้งร่างผอมลงไปรอบหนึ่ง แต่กำลังวังชาดีนักมาตลอด
กำลังวังชานี่ก็เป็นเพียงลมเฮือกหนึ่งอดกลั้นไว้เท่านั้น หนิงอวิ๋นเยี่ยนในใจเข้าใจ หากหนิงอวิ๋นเจากลับมาบอกว่าการแต่งงานครั้งนี้เป็นความเข้าใจผิดยังดี หากไม่ใช่ล่ะก็….
หนิงอวิ๋นเยี่ยนกำมือแน่น
ไม่มีทางหรอก จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า?
ท่านพี่จะต้องตาจวินเจินเจินผู้หญิงต่ำช้านั่นได้อย่างไรเล่า?
จวินเจินเจินผู้หญิงต่ำช้านั่นมีดีอะไร? ไม่ใช่แค่หน้าตาดูดีอยู่บ้างหรือ
ท่านพี่ก็ไม่ใช่ไม่เคยเห็นคนงาม แล้วก็ไม่ใช่คนที่เห็นคนงามแล้วลุ่มหลง
ต้องเป็นจวินเจินเจินล่อลวงท่านพี่แน่
ก็รู้อยู่ว่าจวินเจินเจินไปเมืองหลวงมีเป้าหมาย ไปเกาะพี่ชายจริงๆ ด้วย
ก็ไม่ถูก ท่านพี่ก็ไม่ใช่คนพวกนั้นที่จะถูกสตรีล่อลวงได้
จวินเจินเจินต้องใช้ราชโองการบีบบังคับแน่ ก่อนหน้านี้สิ่งใดก็ไม่มี อาศัยเป็นทายาทขุนนางคนหนึ่ง หนังสือสัญญาหมั้นใบหนึ่งก็กล้าโอหัง ตอนนี้อาศัยราชโองการ พึ่งพาการปลูกฝีไม่ใช่ลอยขึ้นฟ้าไปแล้วหรือ
นางกำลังคิดวุ่นวาย นอกประตูเสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น
“นายท่าน คุณชายมาแล้ว” เสียงแจ้งของหญิงรับใช้ดังตามมา
ร่างกายหนิงอวิ๋นเยี่ยนเครียดเกร็ง ดีใจอยู่บ้างแต่ที่มากกว่าคือความตื่นเต้น มองไปทางหน้าประตู
……………………………………….
[1] จินถงอวี้หนี่ว์ (金童玉女) เด็กรับใช้ชายหญิงของเทพเซียนที่มักจะเห็นอยู่เป็นคู่