Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 117 คุยกันเบิกบาน
“เรื่องก็เป็นเช่นนี้”
คุณหนูจวินเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหลวงหลังหนิงอวิ๋นเจาไปทีละเรื่องๆ
พร้อมกับที่นางเล่า หนิงอวิ๋นเจาบางครั้งก็นิ่งเงียบ บางครั้งก็ขมวดคิ้ว รอนางเล่าจบก็สีหน้าครุ่นคิดไม่พูดจา
เขาจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ?
หลิ่วเอ๋อร์กะพริบตามองหนิงอวิ๋นเจาอย่างคาดหวัง
คุณหนูถูกรังแกเชียวนะ ต่อให้เป็นคนเดินผ่านบนถนนยังต้องตะโกนว่าน่าชัง น่าโมโหสักคำ
คนไม่เอาถ่านบนถนนได้ยินว่าภรรยาของตนเองถูกคนข่มเหงยังม้วนแขนเสื้อหน้าแดงด่าเสียครึ่งถนนไปหาคนสู้สุดชีวิตเลยนะ
ในฐานะท่านเขยของคุณหนู ไม่ใช่ควรตบโต๊ะตวาดโกรธเกรี้ยวหรือ?
จอหงวนหนิงอย่างไรก็ไม่มีทางกระทั่งคนไม่เอาถ่านยังสู้ไม่ได้กระมัง
หนิงอวิ๋นเจายังคงนั่งนิ่ง บนใบหน้ากระทั่งความโกรธแค้นเล็กน้อยก็ไม่มี เพียงเงียบงันไม่พูดจา
บรรยากาศในห้องฉับพลันก็อึดอัดขึ้นมาอยู่บ้าง
ทำไมไม่พูดล่ะ? กลัวแล้วหรือ? ได้ยินว่าลู่อวิ๋นฉีน่ากลัวปานนี้ เขาก็หวาดกลัวแล้วหรือ
หลิ่วเอ๋อร์อดไม่ได้ยู่ปาก
“แต่เจ้าก็ไม่ต้องโกรธหรอก” คุณหนูจวินเอ่ยต่อ ยิ้มแล้ว “นี่ก็เป็นเรื่องที่คาดไว้ก่อนแล้ว หากเขารามือเพราะพวกเรามีสัญญาหมั้นกันได้ นั่นก็ไม่ใช่ยมราชลู่แล้ว”
โกรธ?
ท่านเขยโกรธอยู่หรือ?
หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตามองหนิงอวิ๋นเจา ทำไมนางมองไม่ออก?
แต่ อย่างไรก็ได้ คุณหนูบอกว่าใช่ก็ต้องใช่
ท่านเขยโกรธก็ดี บ่งบอกว่าใส่ใจคุณหนูไง บนหน้าหลิ่วเอ๋อร์แย้มรอยยิ้มอีกครั้ง
“จริง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “คนเช่นนี้อย่างเขาไม่ถูกตีตาย ไม่มีทางเลิกราโดยดี”
“ดังนั้น ข้าออกจากเมืองหลวงก็ไม่มีผลเสียอะไร” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ยขึ้น
“อืม พวกเราไม่ใช่กลัวเขา” ฟางเฉิงอวี่สอดปากเอ่ย สีหน้าตั้งใจทั้งแน่วแน่ “พวกเรายังจะกลับไป ต้องไปเมืองหลวงได้แน่”
คุณหนูจวินหันกลับมายิ้มให้เขา
หนิงอวิ๋นเจาก็ยิ้มด้วย
“ใช่” เขาเอ่ย พลางลุกขึ้นยืน “ถ้าอย่างนั้นผ่านไปสักหลายวันพวกเรากลับเมืองหลวงด้วยกันเถอะ”
คุณหนูจวินมองเขาประหลาดใจอยู่บ้าง จากนั้นก็ยิ้มอีกครั้ง
เขายังไงก็ต้องระบายความโกรธนี้
นางออกจากเมืองหลวงเพียงลำพัง เขาก็จะพานางกลับไปทันที
ก็ใช่ลู่อวิ๋นฉีไม่มีทางเลิกราโดยดีอะไร นั่นแล้วย่างไร เขาก็ไม่มีทางเลิกราโดยดีเช่นกัน เขาก็จะพานางกลับไป ก็จะอยู่ที่เมืองหลวง ก็จะปรากฏตัวต่อหน้าลู่อวิ๋นฉี
อย่างไรก็เป็นคนหนุ่มเลือดลมพลุ่งพล่าน
“คุณชายหนิง ผ่านไปไม่กี่วันท่านก็จะกลับเมืองหลวงได้หรือ?” เสียงของฟางเฉิงอวี่ดังขึ้นท่าทางประหลาดใจ “มารดาของท่านไม่ใช่ยังป่วยอยู่หรือ? เช่นนี้ไม่ดีกระมัง? จะถูกผู้ตรวจการกล่าวโทษว่าท่านไม่กตัญญูหรือไม่? ข้าได้ยินว่าตอนนั้นมีขุนนางคนหนึ่งเพราะไม่ดูแลมารดาที่ป่วยไข้ถูกร้องเรียนสั่งเนรเทศ”
พูดถึงตรงนี้ก็บีบนิ้วมือท่าทางวิตกอีกครั้ง
“เรื่องนั้นข้าก็ไม่เข้าใจ ก็แค่พูดมั่วๆ” เขาเอ่ย
ไม่ ไม่ เจ้าเข้าใจยิ่งนัก หนิงอว๋นเจายิ้มมองเขา
เจ้าเตือนข้าว่าอย่ามาแสดงความรู้สึกกับคุณหนูจวินที่นี่ ยังไงก็จัดการเรื่องมารดาของเจ้าเสียก่อนเถอะ
มารดาเขาทำไมป่วย สหายน้อยคนนี้ในใจย่อมกระจ่างชัดนักเช่นกัน
“ใช่แล้ว เฉิงอวี่พูดถูก ตามหลักแล้วราชสำนักจะให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน เจ้าก็ไม่ต้องรีบกลับไปหรอก” คุณหนูจวินพยักหน้าเอ่ย “เวลาอื่นกลับไปก่อนเป็นเรื่องดี แต่ตอนนี้นายหญิงใหญ่หนิงป่วยอยู่ หากจากไปเช่นนี้ต้องกลายเป็นข้อติให้ผู้อื่นโจมตีเจ้าแน่”
นางพูดพลางยิ้มบ้าง
“เจ้าอย่าคิดว่าเจ้าจะสบายกว่าข้า ตอนนี้พวกเราผูกติดอยู่ด้วยกัน เจ้าย่อมถูกคนมากมายจ้องอยู่เหมือนกันแล้ว”
พวกเราหรือ?
มุมปากหนิงอวิ๋นเจารอยยิ้มกดลึก
“ใช่แล้ว พวกเราตอนนี้ดูเหมือนถอยให้ ที่จริงไม่ได้กลัว นอกจากนี้วันนี้ทุกสิ่งล้วนยังดีอยู่” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยต่อ ยืนข้างกายคุณหนูจวิน “คุณชายหนิงไม่ต้องกังวลใจเกินไป”
พูดจบก็แกว่งแขนเสื้อคุณหนูจวิน
“จิ่วหลิงใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
หนิงอวิ๋นเจายิ้มอีกครั้ง ไม่ได้ตอบคำของเขา
ส่วนคุณหนูจวินพยักหน้าให้ฟางเฉิงอวี่ ราวกับถูกคำพูดของเขาเตือนสติ
“ใช่แล้ว ตอนนี้ข้าไม่กังวลใจ” นางเอ่ยมองหนิงอวิ๋นเจา “ดังนั้นคุณชายหนิง เรื่องสัญญาหมั้นของพวกเราจัดการได้แล้ว เช่นนี้เจ้าก็จะได้…”
“เช่นนี้ไม่ดีกับข้านัก” หนิงอวิ๋นเจาส่ายศีรษะขัดนาง
เหอะเหอะ บัณฑิต
ฟางเฉิงอวี่ยืนอยู่ข้างกายคุณหนูจวินกะพริบตา
“อย่างไรเวลาก็ยังสั้นอยู่” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ ท่าทางครุ่นคิดและจริงจังอยู่บ้าง คิ้วขมวดเล็กน้อย “นอกจากนี้ยังประจวบเหมาะกับมารดาข้าล้มป่วยด้วย เวลานี้หากถอนสัญญาหมั้น กลัวแต่จะถูกคนมีเจตนากล่าวหาว่าข้าไม่กตัญญูไม่เชื่อฟังบุพการี จากนั้นค่อยคาดเดาว่าตอนนั้นพวกเราตระกูลหนิงตระบัดสัตย์ละทิ้งคุณธรรม”
ได้ยินประโยคนี้ ฟางเฉิงอวี่เลิกคิ้ว
ถึงกับกล้าว่าเองรับเองเรื่องตอนนั้นเช่นนี้แล้ว?
บัณฑิต ลงมือทำได้ปล่อยวางเป็น ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้สนใจสีหน้าของฟางเฉิงอวี่ ประสานมือให้คุณหนูจวิน
“พูดให้ถึงที่สุดแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นพวกเราตระกูลหนิงได้รับน้ำใจของคุณหนูจวิน ต้องให้เจ้าช่วยเหลือแล้ว” เขายิ้มเฝื่อนนิดหนึ่งเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้ม
“เวลานี้ไม่ต้องแบ่งแยกชัดเจนเช่นนี้แล้ว” นางเอ่ย “ทุกคนล้วนช่วยเหลือกัน”
ส่วนฟางเฉิงอวี่ถอนหายใจเบาๆ ก้มหน้าลง กำแขนเสื้อของคุณหนูจวิน
“จิ่วหลิงของพวกเราช่างโชคร้าย” เขาเอ่ย
ไม่รู้ว่าที่พูดคือคุณหนูจวินโชคร้ายที่ถูกลู่อวิ๋นฉีรังควาน หรือโชคร้ายที่ถูกตระกูลหนิงรังควาน
ไม่ว่าที่พูดถึงคืออย่างไหน คำพูดเด็กอย่าถือสา
หนิงอวิ๋นเจายิ้มคำนับให้คุณหนูจวิน
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอตัวก่อน” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่คำนับคืนให้เขาพร้อมเพรียง
“ข้าส่งคุณชายหนิง” ฟางเฉิงอวี่ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง เอ่ยขึ้นก่อน
คุณหนูจวินหยุดเท้า พยักหน้าส่งหนิงอวิ๋นเจา มองหนิงอวิ๋นเจากับฟางเฉิงอวี่เดินออกไป
ฟางเฉินอวี่ในฐานะเจ้าบ้านที่มาส่งกระตือรือร้นยิ่งนัก ถามเรื่องที่หนิงอวิ๋นเจาสอบได้จอหงวนอย่างสงสัยใคร่รู้
“คุณชายหนิงเก่งเหลือเกินจริงๆ” สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความนับถือ “ช่างเป็นความภาคภูมิใจของพวกเราคนหยางเฉิงโดยแท้”
หนิงอวิ๋นเจายิ้มตอบว่าไม่กล้า
“นอกจากนี้ข้ายังคิดไม่ถึงว่าข้าจะได้รู้จักคุณชายหนิงท่านนะ” ฟางเฉิงอวี่ยังคงสีหน้าตื่นเต้นเอ่ย “ยังเดินด้วยกันพูดจาเช่นนี้กับท่านได้ด้วย”
ดังนั้นนี่คือสิบปีอยู่ตะวันออกของแม่น้ำ สิบปีอยู่ตะวันตกของแม่น้ำสินะ?
ในอดีตตระกูลหนิงของพวกเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์พวกเราตระกูลฟางกับคุณหนูจวิน พวกเราในวันนี้พวกเจ้าเกาะปีนไม่ไหว?
หนิงอวิ๋นเจายิ้มไม่พูดจา สีหน้าดังเดิม
ความตื่นเต้นของฟางเฉิงอวี่ยังคงต่อเนื่อง
“คุณชายหนิง” เขาเอ่ยต่อ ดวงตาทอประกายวิบวับมองหนิงอวิ๋นเจา “ข้าถือวิสาสะเรียกท่านว่าพี่ชายได้หรือไม่?”
พี่ชาย
หนิงอวิ๋นเจาครั้งนี้กลั้นไม่ไหว สำลัก ไอแห้งๆ ทีหนึ่ง
“เอาสิ” เขาเรียกรอยยิ้มกลับมาอีกครั้งได้ทันที พยักหน้าอ่อนโยน
“ดีเหลือเกิน มีพี่ชายที่เก่งยอดเยี่ยมเช่นนี้เป็นโชคดีของพวกเราจริงๆ” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยอย่างดีใจ จับแขนเสื้อของหนิงอวิ๋นเจาไว้
“ข้าก็ดีใจมาก” หนิงอวิ๋นเจารอยยิ้มอบอุ่น ตบมือของฟางเฉิงอวี่เบาๆ “มีน้องชายที่ฉลาดเฉลียวน่ารักเช่นนี้อย่างนายน้อยฟางคนหนึ่ง”
คำพูดยาวหนทางสั้น พูดจบประโยคนี้ก็มาถึงประตูแล้ว
เสี่ยวติงกำลังแปะอยู่บนประตูมองไปข้างนอกอยู่กับยามเฝ้าประตู
“คุณชาย คนด้านนอกยังไม่สลายไปเลย ยิ่งมากันมากแล้ว” เขาหันกลับมา หน้านิ่วคิ้วขมวดเอ่ย “นี่จะทำอย่างไร?”
หนิงอวิ๋นเจายิ้ม
“อะไรทำอย่างไร? ขวางทางไว้ไม่ให้พวกเราไปหรือ?” เขาเอ่ย
นั่นก็ไม่ใช่
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปเถอะ”หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย
ประตูใหญ่ตระกูลฟางค่อยๆ ผลักเปิด ชาวบ้านด้านนอกประตูวุ่นวายพักหนึ่งทันที มองดูหนิงอวิ๋นเจาเดินออกมาก็ล้อมเข้ามาอย่างเบิกบานใจ พลางมองไปหลังร่างหนิงอวิ๋นเจา
หลังร่างของหนิงอวิ๋นเจาไม่มีคุณหนูจวิน
ไม่มีคุณหนูจวิน? คุณหนูจวินไม่มา? ไม่ส่ง? หรือว่าไม่พบ?
ชาวบ้านทั้งหลายคิดคาดเดานับไม่ถ้วน ในสายตามีคนเข้ามายืน เสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรางดงามแย้มยิ้มให้ผู้คน
“นายน้อยฟาง!”
นอกประตูเสียงตะโกนเรียกของบรรดาสตรีไม่น้อยดังขึ้น ความคิดเหล่านั้นเกี่ยวกับคุณหนูจวินถูกโยนทิ้งไปชั่วคราว
หนิงอวิ๋นเจาพลิกกายขึ้นม้า มองดูฟางเฉิงอวี่ที่ยืนอยู่นอกประตู
สัมผัสได้ถึงสายตาของเขา ฟางเฉิงอวี่ที่หันหน้าหาแม่เฒ่าคนหนึ่งที่ไม่รู้พูดอะไรอยู่ก็มองมาทางเขาทันที ยกมือให้เขา
“พี่ชายเดินทางปลอดภัย” เขายิ้มเอ่ย
พี่ชายหรือ?
ไม่ใช่เรียกพี่เขยรึ หรือว่ายังไม่ถึงขั้นนี้
สายตาของชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่กวาดมากวาดไปบนร่างพวกเขา แต่ไม่สนแล้ว แค่มองสองคนก็ยุ่งไม่ทันแล้ว
เด็กสมัยนี้ ร้ายกาจกว่าตอนเขาอายุน้อยนัก ตอนเขาอายุเท่าเขานี่ ยังจดจ่อตั้งใจแค่การเรียนหนังสือของปราชญ์อยู่เลย
หนิงอวิ๋นเจายิ้มให้ฟางเฉิงอวี่ ควบม้าขี่เร็วรี่จากไป
……………………………………….