Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 122 ครุ่นคิดพินิจไม่ปล่อย
ภาพกระบวนทัพทหารไม่ได้มากเหมือนแผนที่ สิบแผ่นก็เปิดหมดแล้ว
คุณหนูจวินดูละเอียดยิ่งกว่าแผนที่อยู่บ้าง แน่นอนไม่ได้คาดหวังว่าตอนนี้จะต้องอ่านเข้าใจร่ำเรียนเป็น เหมือนเช่นแผนที่ นางก็เปิดดูซ้ำใหม่หลายครั้งหลายหน จนกระทั่งจดจำได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
จดจำให้ได้ค่อยพูดถึงเรียน นี่ก็คือเหตุผลที่อาจารย์บอก ยามโยนตำราแพทย์กองแล้วกองเล่ามาให้นาง นี่ทำให้นางฝึกฝนความจำอันกล้าแกร่งขึ้นมาจนกลายเป็นนิสัยของนางแล้ว
นางมองดูภาพกระบวนทัพทหารอย่างละเอียด ไม่ใช่จะจดจำให้ได้ร่ำเรียนให้เป็นตอนนี้ แต่คนที่วาดบนภาพกระบวนทัพเหล่านี้น่าสนใจยิ่ง
ภาพกระบวนทัพโดยส่วนใหญ่วาดจากจุดเส้นประกอบกันขึ้นมา แต่ในนี้ยังวาดแม่ทัพทหารหลายคนไว้ด้วย
หลายภาพแรกตอนมองไม่สนใจ แต่อ่านต่อไปคุณหนูจวินก็สังเกตเห็นว่าใบหน้าของแม่ทัพทหารหลายคนไม่เปลี่ยน
พวกเขาดูสมจริงเหมือนมีชีวิต สีหน้าหลากหลายตลอดภาพกระบวนทัพทหารสิบหน้าเหมือนกับคนจริงๆ
ก็น่าจะเป็นคนจริงๆ นอกจากนี้คงเป็นคนคุ้ยเคยของอาจารย์แน่
คนเหล่านี้อายุไม่เท่ากัน บางคนอายุสามสิบกว่า แล้วก็มีเด็กหนุ่มดวงหน้าเปี่ยมไปด้วยความอ่อนเยาว์อยู่ด้วย สีหน้าในภาพกระบวนทัพแต่ละแผ่นล้วนไม่เหมือนกัน บ้างยิ้มบ้างนิ่งบ้างห้าวหาญ ประหนึ่งมีชีวิต
คนเหล่านี้ก็คืออดีตของอาจารย์หรือ?
ใต้แสงโคมสว่างไส คุณหนูจวินมองใบหน้าของคนเหล่านี้อย่างตั้งใจอีกครั้ง พลิกผ่านแต่ละหน้า หลังภาพกระบวนทัพทหารสิบหน้า ในที่สุดก็ปรากฏเนื้อหาที่ควรปรากฏแล้ว
เนื้อหาที่คนผู้ถูกเรียกว่าหมอเทวดาคนหนึ่งควรเขียน
นี่คือกรณีศึกษาทางการแพทย์
คุณหนูจวินโล่งใจทั้งขำอยู่นิดๆ ยกน้ำชาดื่มคำหนึ่ง อ่านกรณีศึกษาทางการแพทย์นี่ต่อ แตกต่างจากภาพและอักษรข้างหน้าที่ชวนให้คนตะลึง อักษรที่เขียนกรณีศึกษาทางการแพทย์เหล่านี้หวัด นอกจากนี้เขียนผิดเยอะมาก ดูไปแล้วประหลาดนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคำอธิบายก็สับสน ประหนึ่งคิดถึงตรงไหนก็เขียนถึงตรงนั้น
คุณหนูจวินอ่านแล้วบนใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม นี่สิถึงเป็นอาจารย์
แต่น่าเสียดายกรณีศึกษาทางการแพทย์นี่ไม่ได้เอ่ยถึงสถานที่และเวลาที่แน่ชัด ไม่ได้ข้อมูลอดีตของอาจารย์
พลิกเปิดไปหน้าแล้วหน้าเล่า หลายหน้าติดต่อกันล้วนเป็นกรณีศึกษาทางการแพทย์ ก็ไม่อาจนับได้ว่าเป็นกรณีศึกษาทางการแพทย์ ควรเรียกว่าคำพูดกับตนเองของอาจารย์ ตัวอักษรหวัดแล้วก็ไม่เป็นระเบียบ ประโยคหนึ่งข้างหน้ายังพูดอยู่ว่าโรคนี้ควรรักษาอย่างไร ประโยคถัดไปวิ่งไปถึงอีกโรคหนึ่งแล้ว เหมือนพูดกับตนเอง
พูดกับตนเองหรือ
ที่จริงเวลานั้นตนเองเดินหมากคนเดียวเล่นอยู่คนเดียว อาจารย์ใยไม่ใช่เคยทำเหมือนกัน นอกจากหยอกล้อยั่วเย้าตน เขาก็ไม่มีคนเล่นด้วยแล้ว
คุณหนูจวินราวกับมองเห็นเขานั่งไขว่ห้างอยู่หน้าโต๊ะ โยนถั่วหมักเกลือเข้าปากพลางเขียนว่องไวบนกระดาษพลาง ปากยังพึมพำกับตนเอง บางครั้งก็ส่ายศีรษะ บางครั้งก็ตบโต๊ะหัวเราะ
ที่จริงเขาก็ตนเองพูดกับตนเอง ตนเองเล่นกับตนเองจริงๆ
คุณหนูจวินชะงักครู่หนึ่ง พลิกเปิดหนึ่งหน้าอีกครั้ง หลังจากนั้นสายตาเพ่งเล็กน้อยมองนั่งตัวตรง
หน้านี้ยิ่งหวัดประหนึ่งภาพวาดสับสน ภาพวาดเลอะเทอะสับสนเหล่านี้ล้วนเป็นประโยคเดียวกัน
ต้นเซียนจื่ออิง ไม่พอ ไม่พอ ไม่พอ
หนึ่งประโยคนี้เขียนเต็มหนึ่งหน้ากระดาษ
ที่แท้เวลานั้นอาจารย์ไม่เพียงพูด ยังเขียนเอาไว้ด้วย ตอนนั้นได้ยินยังไม่รู้สึกอะไร ตอนนี้มองเห็นตัวอักษรเลอะเทอะหวัดๆ หนึ่งหน้านี้ นางสัมผัสได้ถึงความร้อนรนวิตกถึงขั้นสิ้นหวังเวลานั้นของอาจารย์
สิ้นหวังหรือ
มือคุณหนูจวินวางอยู่บนหนึ่งหน้านี้
นางตอนนั้นเวลานั้นไม่เข้าใจสิ่งใดเรียกว่าความสิ้นหวัง จนกระทั่งนาทีนั้นที่นางตาย ความสิ้นหวังก็คือเบิ่งตามองอยู่ ทว่าสิ่งใดล้วนทำไม่ได้
เบิ่งตามองศัตรูคู่แค้นมีชีวิตอยู่ นางกลับไร้กำลัง
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์เขาเพราะอะไรจึงไร้กำลังและสิ้นหวัง?
เขาคนเช่นนี้ก็ไร้กำลังได้หรือ?
ต้นเซียนจื่ออิงคลี่คลายความสิ้นหวังของเขาได้หรือ? ต้นเซียนจื่ออิงต้นหนึ่งไม่พอหรือ? ที่จริงนับดูแล้วนางเคยเห็นมาสองต้นแล้ว
เพียงแต่น่าเสียดายต้นหนึ่งถูกจูจั้นแย่งไป แล้วยังเสียเปล่าไปกับดอกไม้ดอกหนึ่งที่นอกจากสวยงามแล้วไม่มีประโยชน์ใดๆ อีกดอกนั้น
คิดถึงตรงนี้นางก็อดไม่ได้กัดฟัน
จูจั้นคนนี้
นอกหน้าต่างเสียกซอกแซกดังขึ้นประหนึ่งหนอนไหมกินอาหาร
คุณหนูจวินวางจดหมายในมือลง เดินไปถึงตรงหน้าหน้าต่าง สายฝนพรำลอยตามลมโถมลงบนใบหน้า สดชื่นอยู่บ้าง
ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง? อาการบาดเจ็บคงไม่เป็นไร นางมั่นใจ แต่จูจั้นถูกม้วนเข้ามาในปัญหาด้วย เขามั่นใจว่าจะแก้ไขได้ไหม?
ดังนั้นพูดไปแล้วก็เหมือนสิ้นเปลืองต้นเซียนจื่ออิง เรื่องที่เขาลงมือสังหารเอง เอาตัวเข้ามาในคดีใต้เท้าน้อยหวง สิ้นเปลืองจริงๆ
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าที่แท้เขาบุ่มบ่ามไร้เดียงสาหรือว่าขี้ขลาดเจ้าเล่ห์
ส่วนต้นเซียนจื่ออิงอีกต้นหนึ่ง
หน้าตาที่ร้อนรนเคร่งเครียดของคุณหนูจวินประหนึ่งถูกสายฝนคืนฤดูร้อนนี่ทำให้อ่อนโยนลง
ยังฝังอยู่ใต้ต้นไม้ในวังไหวอ๋อง
วังไหวอ๋อง
ไม่รู้ว่าจิ่วหรงตอนนี้หลับหรือยัง ยังเสียใจโกรธอยู่หรือเปล่า สำหรับจิ่วหรงมากน้อยนางก็ยังวางใจอยู่บ้าง อย่างไรก็ยังมีบัณฑิตกู้อยู่เป็นเพื่อนเขา
ความคิดแล่นผ่าน คุณหนูจวินก็ยิ้มเฝื่อนอีกครั้ง ที่แท้ไม่รู้เนื้อรู้ตัวนางก็มองบัณฑิตกู้เป็นคนที่เชื่อใจได้แล้ว
แต่ท่านพี่ล่ะ?
ท่านพี่รู้หรือไม่ว่านางออกจากเมืองหลวงแล้ว? นางจะเสียใจหรือว่าดีใจหรือไม่รู้สึกอะไร? บางทีคงจำนางไม่ได้แล้ว
อย่างไรพวกนางก็พบหน้ากันเพียงครั้งเดียวแค่นั้น พบกันสั้นๆ ไม่กี่วันเท่านั้น ทั้งตนเองยังมีใบหน้าอีกหน้านี้แปะอยู่ สำหรับองค์หญิงจิ่วหลีแล้ว ตนเองเป็นเพียงหมอคนหนึ่ง หมอที่มีหน้าที่รักษาโรคช่วยคน
คุณหนูจวินยื่นมือลูบใบหน้า เช็ดน้ำฝนบางๆ ชั้นหนึ่งไป
เทียบกับจิ่วหรง จิ่วหลีถึงเป็นคนที่ไม่มีใครอยู่ด้วย เดียวดายตัวคนเดียว
และเมืองหลวงเวลานี้ท้องฟ้ายามราตรีกระจ่าง ไม่มีฝนแล้วก็ไม่มีลม ความอบอ้าวของคิมหันต์ฤดูปรากฏแล้ว
ในจวนสกุลลู่โคมไฟสว่างไสว แม้ค่ำคืนดึกดื่นแต่คนยังไม่เงียบสงบ
สาวใช้หญิงรับใช้หลายคนนำน้ำแข็งก้อนใหม่มาวางไว้สี่มุมห้อง เปลี่ยนก้อนน้ำแข็งที่ยังไม่ทันละลายแต่ไม่ดีสำหรับลู่อวิ๋นฉีแล้ว เก็บออกไป
ในห้องเย็นสบายดั่งฤดูใบไม้ร่วง
หญิงรับใช้ล้วนถอยออกไปแล้ว องค์หญิงจิ่วหลีที่ล้างเครื่องสำอางเปลี่ยนชุดอยู่บ้านแล้วก็ไม่ได้นั่งเฝ้าโคมไฟเดียวดาย
“อักษรที่จิ่วหรงเขียนพัฒนาขึ้นมากแล้วจริงๆ” นางยิ้มเอ่ยขึ้นใต้โคมไฟ สายตาอ่อนโยนมองม้วนสาส์นในมือ แล้วเงยหน้าพยักหน้าให้ลู่อวิ๋นฉีที่นั่งอยู่ตรงข้าม “อาจารย์ที่ท่านเชิญมาคนนี้ไม่เลวยิ่ง”
ลู่อวิ๋นฉีสีหน้านิ่งสนิท
“ไม่ใช่ข้าเชิญ” เขาเอ่ย “เขาต้องการมาเอง”
“แต่หากแค่เขาต้องการมาก็ไม่แน่ว่าจะมาได้นี่” องค์หญิงจิ่วหลียิ้มเอ่ย
วังไหวอ๋องไหนเลยเป็นสถานที่ซึ่งใครอยากเข้าก็เข้าได้
“แต่หากเขาใช้วิธีเช่นนี้ส่งข่าวให้ท่านแบบนี้อีกก็เขลาเกินไปจริงๆ แล้ว” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น มองม้วนสาส์นในมือองค์หญิงจิ่วหลี “แม้ข้าไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออกว่าสิ่งใดเรียกบทกวีแฝงนัย?”
องค์หญิงจิ่วหลียิ้มแล้ว วางม้วนสาส์นกลับไปบนโต๊ะ
“เขาก็ไม่ได้คิดปิดบังท่าน” นางเอ่ย “ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เขียน”
ลู่อวิ๋นฉีไม่เอ่ยต่อ องค์หญิงจิ่วหลีก็ไม่ได้เอ่ยต่อเช่นกัน หยิบเข็มด้ายขึ้นมาจากด้านข้าง เริ่มปักบุปผาใต้แสงโคม หน้าตาของนางสงบ มุมปากยังคงมีรอยยิ้ม
หากนางไม่ได้ถูกสั่งสอนให้เรียบร้อยรักษามารยาทมาตั้งแต่เล็ก เวลานี้นาทีนี้หากฮัมเพลงอีกสักเพลง บรรยากาศในห้องคงยิ่งอบอุ่นแล้ว
“ทำไมได้รู้ว่านางกลับไปถึงหยางเฉิงอย่างปลอดภัยถึงดีใจเช่นนี้?” ลู่อวิ๋นฉีพลันเอ่ยถาม
องค์หญิงจิ่วหลีปักด้ายไม่หยุด
“เพราะเห็นคนผู้หนึ่งมีชีวิตอยู่ดีมีอิสระ อย่างไรก็เป็นเรื่องที่ทำให้คนเบิกบานใจ” นางยิ้มเอ่ย
มีชีวิตอยู่ดีเป็นอิสระ เป็นเรื่องที่ทำให้คนเบิกบานใจหรือ?
ลู่อวิ๋นฉีนิ่งสนิท
นอกจากนี้คนอื่นเบิกบานใจไม่เบิกบานใจ แต่ไหนแต่ไรล้วนไม่ใช่เรื่องที่เขาสนใจ
“ความหมายของข้าก็คือหยางเฉิงก็ดี เมืองหลวงก็ดี มีสิ่งใดแตกต่างเล่า?” เขาเอ่ย
องค์หญิงจิ่วหลีหยุดปักด้าย เงยหน้ามองเขา สีหน้าจนปัญญาอยู่บ้าง
“ท่านยังไม่ปล่อยหรือ?” นางเอ่ย
“ทำไมข้าต้องปล่อย?” ลู่อวิ่นฉีก็มองไปทางนางเอ่ยขึ้น
ในห้องโคมไฟสว่างไสวไม่ได้ส่องสว่างใบหน้าของเขา ตรงกันข้ามทำให้หน้าของเขาซ่อนอยู่ในเงามืด
ไม่มีใบหน้างดงามขาวเผือดประหลาดดวงนั้น แค่สีหน้ากับน้ำเสียงนิ่งสนิททำให้เขาแลดูจริงจังและตรงไปตรงมา
“ข้าทำจนมาถึงตำแหน่งในวันนี้เวลานี้ ทุกสิ่งที่ข้าได้มาวันนี้เวลานี้ก็เพื่อนางนี่”
……………………………………….