Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 139 กระหม่อมขอสร้างความชอบลบล้างความผิด
การโต้เถียงในท้องพระโรงทอดยาวไม่เลิก กระทั่งพระกายาหารกลางวันก็ไม่ทันสนใจเสวย นี่ย่อมทำให้ไทเฮาในวังหลังตื่นตกใจ
ขันทีคนหนึ่งก้าวไวๆ เดินมา มองเห็นลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักก็รีบก้าวเข้าไปคำนับ
“ยังไม่จบหรือขอรับ?” เขาเอ่ยถามเสียงเบา “องค์ไทเฮากังวลพระทัย”
“ยังต้องรออีกประมาณชั่วยามหนึ่ง” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
คำพูดของเขา เหล่าขันทีย่อมเคารพเป็นราชโองการ ได้ยินวาจาก็ขานรับแล้วเอ่ยขอบคุณ
“ถ้าอย่างนั้นให้หลังหนึ่งชั่วยามบ่าวจะเตรียมพระกระยาหารให้พร้อม” เขาเอ่ย หมุนตัวจะจากไปแล้วคิดอะไรขึ้นมาได้อีก “ยังมี ใต้เท้าลู่ ได้ยินว่าหมอหลวงเจียงถูกท่านเชิญไป?”
แม้เจียงโหย่วซู่แห่งสำนักแพทย์หลวงวันนี้อยู่ข้างนอกไม่ได้รับการต้อนรับเท่าก่อนหน้านี้ แต่ไทเฮาก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวเขายิ่งนัก
เจียงโหย่วซู่ไปกรมสืบสวนฝ่ายเหนือไม่กลับมาหลายวัน ครอบครัวย่อมร้อนรนแล้ว เพราะเกี่ยวข้องกับลู่อวิ๋นฉี ไม่รู้ว่าเป็นราชโองการของฮ่องเต้หรือไม่ พวกเขาก็ไม่กล้าไปร้องโวยวายต่อหน้าไทเฮาตรงๆ จึงไหว้วานขันทีข้างกายไทเฮาสืบถามสักหน่อยก่อน
ลู่อวิ๋นฉีตอบอืม
“อู่ไท่ผู้ตรวจการทหารที่ฝูโจวส่งตัวมา ไม่รู้เดิมมีโรคเก่าอยู่หรือไร ทนไม่ไหวอยู่บ้าง” เขาเอ่ย “เพื่อให้ไม่ถ่วงการสอบสวนสืบคดี จึงให้หมอหลวงเจียงช่วยเหลือสักหน่อย”
อู่ไท่ผู้ตรวจการทหารฝูโจวทุจริตเบี้ยหวัด ได้ยินว่ายังมีเฉิงกั๋วกงข้องเกี่ยวข้างในด้วย เรื่องราวสำคัญยิ่งยวด ขันทีก็รู้ ได้ยินไม่กล้าถามต่อทันที
ไม่กล้าจี้ถามให้ถ่องแท้สักนิดว่าอู่ไท่มีโรคเก่าจริงหรือว่าถูกตีจนล้มป่วย ยิ่งไม่ต้องพูดว่าป่วยจริงหรือป่วยปลอม
“บ่าวทราบแล้ว” เขายิ้มแย้มเอ่ย “หลักๆ ก็คือหลายวันไม่เห็นเขาเข้าวัง กลัวถวายโอสถให้องค์ไทเฮาล่าช้า”
“หลี่ฉางไห่ของสำนักแพทย์หลวงเป็นศิษย์ของซุนจิงเจ้าสำนักคนก่อน ฝีมือดี” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย
ขันทีเข้าใจ ตื่นเต้นดีใจอยู่บ้างอีกครั้ง
หลี่ฉางไห่คนนี้ไม่รู้ลงทุนมากปานใด ถึงกับทำให้ลู่อวิ๋นฉีแนะนำเขาได้ ทำให้ลู่อวิ่นฉีติดค้างน้ำใจได้ไม่ง่ายเลย
นอกจากนี้น้ำใจครั้งนี้ยังเรียกได้ว่าให้เปล่า อย่างไรคนที่เข้าสำนักแพทย์หลวงได้ล้วนรู้ลึกซึ้งถึงแก่น วิชาแพทย์ก็ล้วนมีความสามารถจริงๆ หลายครั้งที่ขาดก็เพียงโอกาสที่ถูกใครสักคนแนะนำ
“บ่าวทราบแล้ว” ขันทียิ้มๆ เอ่ย
พูดถึงตรงนี้ก็ได้ยินเสียงเปรี้ยงดังออกมาจากในตำหนัก เหมือนอะไรบางอย่างถูกเขวี้ยงลงมา
นี่ฮ่องเต้พิโรธหนักอีกแล้ว ขันทีหดศีรษะ ทำไม้ทำมือให้ลู่อวิ๋นฉีรีบร้อนวิ่งดุ๊กๆ จากไปอย่างเงียบเชียบ
ลู่อวิ่นฉีมองเขาจากไป สีหน้านิ่งสนิทหมุนตัวเดินเข้าไปในตำหนัก
จูจั้นคุกเข่าอยู่ตรงกลาง
“ฝ่าบาท กระหม่อมถูกใส่ร้าย…” เขาเอ่ยอย่างไม่ได้รับความยุติธรม
เสียงยังไม่ทันเอ่ยจบ ฮ่องเต้ก็หยิบฎีกาในหีบตรงหน้าออกมาเล่มหนึ่งเขวี้ยงใส่เขา
“นี่กล่าวโทษจูซานถ่วงเวลายุทธการทหาร”
“นี่กล่าวโทษจูซานคุยโวหลอกลวงไม่ภักดี”
“นี่กล่าวโทษพวกเจ้าพ่อลูกยักยอกงบทหารสร้างจวน”
เล่มแล้วเล่มเล่า เขวี้ยงใส่จูจั้นไม่หยุด
จูจั้นคุกเข่านิ่งไม่ขยับ ปล่อยให้ฎีกานี่กระทบบนศีรษะบนหัวไหล่บนใบหน้าของเขาสะเปะสะปะ
ฮ่องเต้เขวี้ยงพักหนึ่งเหมือนจะเหนื่อยแล้ว หอบหายใจชี้หีบสองใบ
“เห็นไหม เหล่านี้ล้วนเป็นฎีกากล่าวโทษพวกเจ้า” พระองค์ตรัส “ข้าเชื่อใจพวกเจ้า กดพวกนี้ไว้ ผลสุดท้ายเล่า? ผลสุดท้ายพวกเจ้าตอบแทนข้าอย่างไร? หน้าข้าถูกพวกเจ้าตบจนบวมแล้ว”
“ฝ่าบาท เป็นโจรจิน…” จูจั้นตั้งใจจะโต้แย้ง
ฮ่องเต้ยิ่งทรงมีเพลิงพิโรธ
“เป็นโจรจินตบหน้าข้ารึ? ไม่ใช่พวกเจ้าพ่อลูกตบใช่ไหม?” พระองค์ตวาด “พวกเจ้าเฝ้าแดนเหนือปลอ่ยให้โจรชาวจินไปมาตามใจ ยังภาคภูมิใจนักรึ?”
หากเปลี่ยนเป็นขุนนางใหญ่ผู้อื่น ฮ่องเต้ตวาดด่าคงได้แต่พูดกระหม่อมมีความผิด รอหลังเสร็จเรื่องค่อยโต้แย้ง แต่จูจั้นตั้งแต่เข้ามาข้างในนี้ต่อว่าเขาหนึ่งประโยค เขาก็ต้องตอบกลับหนึ่งประโยค
“ฝ่าบาท กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนี้ กระหม่อมถูกกลั่นแกล้ง” จูจั้นพูดอีกแล้วจริงๆ
ฮ่องเต้โกรธถลึงพระเนตร หนึ่งเท้าถีบหีบไม้ใบหนึ่ง ฎีกาในนั้นล้มครืนลงมาเกลื่อนพื้น
“พวกเจ้าถูกกลั่นแกล้ง? พวกเจ้าครอบครองทหารถือตนว่ายิ่งใหญ่ ยักยอกงบทหาร หลบเลี่ยงสงคราม ชักช้า แจ้งข่าวลวง พวกเจ้าถูกกลั่นแกล้ง? ข้าสิถูกกลั่นแกล้ง” พระองค์ตวาด “ไม่แปลกที่แดนเหนือล้วนบอกว่าใต้มีฮ่องเต้ เหนือมีเฉิงกั๋วกง พวกเจ้าร้ายกาจจริงนะ”
คำพูดนี้ร้ายแรงจริงๆ แล้ว บรรดาขุนนางใหญ่ที่อยู่ที่นั่นไม่กล้าแสร้งไม่อยู่อีกต่อไป พากันคุกเข่าขอร้องให้ทรงระงับโทสะ
“ไม่ใช่ความหมายนี้” เสียงจูจั้นดังขึ้นอีกครั้ง “ประโยคนั้นคือประชาชนแดนเหนือขอบคุณน้ำพระทัยล้นพ้น บอกว่ามีฝ่าบาทท่านอยู่ ถึงมีข้ากับบิดาอยู่ แดนเหนือถึงสงบสุข”
ดีมาก คำอธิบายนี่สมบูรณ์แบบนัก ไม่เสียทีเป็นจูจั้น บรรดาขุนนางใหญ่ที่อยู่ที่นั่นมองไปทางคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นสีหน้าหลากหลายอารมณ์
ฮ่องเต้พิโรธจนสรวลแล้ว
“เจ้าลูกกระต่ายนี่ อย่างที่เจ้าว่าเช่นนี้ ตอนนี้แดนเหนือไม่สงบไม่เป็นสุขก็เพราะข้าเป็นสาเหตุรึ?” พระองค์ตรัสด่า
“จะเป็นไปได้อย่างไร ฝ่าบาทท่านคิดเบี่ยงไปอีกแล้ว…” จูจั้นร้อง
ฮ่องเต้ยกเท้าถีบหีบไม้อีกใบหนึ่งคว่ำ
“ข้าคิดเบี่ยงเบนไม่เบี่ยงเบน แดนเหนือตอนนี้ก็ไม่สงบสุขไม่ร่มเย็น ชาวบ้านทุกข์ร้อน นี่ก็คือสิ่งที่พวกเจ้าพ่อลูกตอบแทนข้า” พระองค์ตวาด
จูจั้นคุกเข่าเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง โขกศีรษะหนักหน่วง เสียงกลบคำด่าทอของฮ่องเต้ หลังจากนั้นเงยศีรษะขึ้น
“ฝ่าบาท กระหม่อมขอพระราชทานอนุญาตกลับแดนเหนือเดี๋ยวนี้ กระหม่อนจะสะบั้นศีรษะของกานต๋ามาให้ฝ่าบาทเตะเป็นลูกหนัง!” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ยเสียงดัง “หากกระหม่อมทำไม่ได้ กระหม่อมจะเอาศีรษะตนเองให้ฝ่าบาทเตะเป็นลูกหนัง”
ฮ่องเต้มองเขาครู่หนึ่ง
“ข้าไม่ชอบเตะลูกหนัง” พระองค์ตวาด “เอาศีรษะเจ้ามีประโยชน์อันใด!”
หนิงเหยียนก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
“ฝ่าบาท โปรดให้เฉิงกั๋วกงสร้างความชอบลบล้างความผิด เฉิงกั๋วกงจนวันนี้ยังไม่แก้ต่างให้ตนเอง นำทหารม้าไล่โจมตีโจนชาวจินด้วยตัวเอง ขอฝ่าบาทให้โอกาสเขาสักครั้ง” เขาค้อมกายเอ่ย
พร้อมกับที่เขาเอ่ยวาจา ขุนนางอีกเจ็ดแปดคนก็ก้าวออกมาพากันเอ่ยขอร้องด้วย
ฮ่องเต้ยังพิโรธไม่คลาย มองขุนนางเหล่านี้ในที่สุดก็ถอนหายใจยาวทีหนึ่ง
“ลู่อวิ๋นฉีล่ะ” พระองค์ตวาดตรัส
ลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ด้านหลังสุดขานรับก้าวเข้ามาข้างหน้า
“ร่างราชโองการ” ฮ่องเต้ตรัส ขันทีด้านข้างรีบค้อมกาย
“สะบั้นศีรษะกานต๋ามาไม่ได้ก็ให้องครักษ์เสื้อแพรเอาศีรษะของเจ้ามาพบ” ฮ่องเต้ตรัสต่อ
ขันทีสะบัดพู่กันเขียนว่องไว ทูนพระราชโองการขึ้นสูง
“พระราชทาน!” เขาเอ่ยเสียงแหลม
ลู่อวิ๋นฉีก้าวเข้าไปรับ
“กระหม่อมรับราชโองการ” เขาเอ่ย
พูดสิ่งเหล่านี้จบฮ่องเต้ก็สีหน้าซีดขาว ลมหายใจหอบฮักๆ เห็นชัดว่าสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปเช่นกัน พระองค์สะบัดแขนเสื้อหมุนตัว
“เลิกประชุม”
บรรดาขุนนางใหญ่พากันค้อมกายร้องทรงพระเจริญเสียงดัง เสียงจูจั้นก็ปะปนอยู่ข้างในด้วย
“ฝ่าบาท ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมล่ะ?” เขาร้อง ลุกขึ้นมองฮ่องเต้ที่กำลังจะก้าวเดิน
ฮ่องเต้มองเขาเย็นชาทีหนึ่ง
“เจ้า? เจ้าก็ไปกรมปศุสัตว์ของเมืองหลวงตรวจตราการเลี้ยงม้าเถอะ สู้แพ้โจรชาวขินจะได้ไม่ต้องพูดว่าเพราะม้าตื่นอีก” พระองค์ตรัส ตรัสจบก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
จูจั้นไม่ยินยอมจะไล่ตามไป ถูกหนิงเหยียนขวางไว้
“ท่านชาย ไม่ได้ ไม่ได้” เขาสีหน้าจริงจังเอ่ยขึ้น
จูจั้นมองเขาทีหนึ่ง ประสานมือให้เขาหนหนึ่งหมุนตัวก้าวยาวมุ่งไปด้านนอก
บรรดาขุนนางในตำหนักก็พากันออกไปด้วย หนิงเหยียนก็พูดคุยเสียงเบากับเพื่อนขุนนางเดินไปข้างนอกเช่นกัน
“ใต้เท้าหนิง”
เสียงแก่ชราแหบพร่าเสียงหนึ่งร้องเรียกข้างหลัง
หนิงเหยียนหยุดฝีเท้าหันกลับไป มองเห็นหวงเฉิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้
หมวกขุนนางของเขายังวางอยู่บนหัวเข่า เส้นผมสีขาวยุ่งเหยิง ดูไปแล้วอเนจอนาถอยู่บ้าง แต่แววตาของเขากลับเย็นเยียบ
“ป้องกันเมืองเหอเจียนพลาดเรื่องใหญ่เช่นนี้ ในสายตาเจ้าก็เอาความชอบชดใช้ความผิดได้รึ?” หวงเฉิงเอ่ยขึ้นสบายๆ
หนิงเหยียนคำนับเขา
“ใต้เท้าหวง ข้าศึกประชิดเปลี่ยนแม่ทัพก็เป็นข้อต้องห้ามใหญ่เหมือนกันนะ” เขาเอ่ยจริงใจ
มุมปากหวงเฉิงยกขึ้น บนหน้าปรากฏรอยยิ้ม
“เจ้าไม่พูดตรงๆ เลยล่ะว่าโจรจินอยู่วันหนึ่ง เฉิงกั๋วกงก็ต้องอยู่วันหนึ่ง” เขาเอ่ย
หนิงเหยียนสีหน้าเคร่งขนึม
“ใต้เท้าหวง ข้าไม่ได้เอ่ยคำนี้” เขาว่า “แต่เฉิงกั๋วกงสำคัญกับแดนเหนือมากเพียงไร ทุกคนล้วนรู้ ฝ่าบาทก็ทรงพระปรีชาเช่นกัน”
ใช่สิฮ่องเต้ทรงพระปรีชา ความหวาดกลัวยามโจรจินแย่งเมืองหลวงครั้งนั้นยังไม่หายไป ดังนั้นกลัวแล้ว เวลานี้นาทีนี้จึงไม่กล้าแตะเฉิงกั๋วกงสักนิด
หวงเฉิงดวงตาหลุบลงเหมือนหมดเรี่ยวแรงไร้กำลังเอ่ยวาจาแล้ว
หนิงเหยียนมองขันทีรอบตัวทีหนึ่ง
“ส่งใต้เท้าหวงกลับไปพักดีๆ” เขาเอ่ยกำชับ
เหล่าขันทีขานรับ มองพวกหนิงเหยียนเดินออกไป
ในท้องพระโรงใหญ่โตเหลือเพียงหวงเฉิงคนเดียว เหล่าขันทีสงสัยว่าเขาหลับไปหรือว่าเป็นลมไปแล้ว ตอนที่กำลังจะเรียกหมอหลวง หวงเฉิงก็เงยหน้าลุกขึ้นยืน
“อย่าฝัน” เขาเอ่ยเบาๆ
พวกขันทีได้ยินเข้างุนงน
“ใต้เท้าหวงท่านว่าอะไรหรือ?” พวกเขาเอ่ยถาม
หวงเฉิงยิ้มให้พวกเขา
“ไม่มีอะไร ข้าแก่แล้ว ให้พวกเจ้าเป็นห่วงมากแล้ว” เขาเอ่ยอย่างเป็นมิตร มือวางบนมือขันทีคนหนึ่ง พร้อมกันนั้นกำไลหินลวี่ซง[1] วงหนึ่งที่สวมอยู่บนข้อมือก็ไหลเข้าไปในมือของขันทีผู้นี้
ขันทีคนนั้นพลันแย้มรอยยิ้มทันที พยุงหวงเฉิงไว้มั่น
“อำมาตย์หวง ท่านนี่ชมบ่าวเกินไปแล้ว” เขายิ้มเอ่ย พลางเร่งขันทีคนอื่น “ไป ไปยกเสลี่ยงมาให้ใต้เท้า ฝ่าบาททรงอนุญาตแล้ว”
เหล่าขันทีขานรับ
หวงเฉิงได้ขันทีประคองเดินไปข้างนอกเชื่องช้าสบายอารมณ์
……………………………………….
[1] หินลวี่ซง (绿松石) หินเทอร์ควอยซ์ อัญมณีทึบแสง สีฟ้าหรือสีฟ้าอมเขียว นิยมใช้ทำเครื่องประดับมาแต่โบราณ