Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 142 มุ่งไปที่ใด
เดรัจฉานอื่นหมายถึงใครซื่อเฟิ่งกับจางเป่าถังล้วนรู้ สองคนหัวเราะแล้ว แต่ประเด็นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ต้องพูดเวลานี้
พวกเขานั่งยองๆ ลงข้างตัวจูจั้นบ้าง
“ท่านลุงด้านนั้นท่านไม่ต้องกังวล สถานการณ์ควบคุมได้แล้ว” ซื่อเฟิ่งเอ่ย
“ใช่ ครั้งนี้ผิดคาดจริงๆ ล้วนเป็นหย่งซิ่งจวิน จางโต้วเซิงลูกกระต่ายนั่นรีบร้อนสร้างผลงานกระหายสงคราม หลังถูกชาวจินจับไปเส้นทางถึงถูกทะลวงช่องว่าง” จางเป่าถังเอ่ย
จูจั้นแค่นเสียงเหอะทางจมูก
“นี่เรียกผิดคาดอะไร? นี่เรียกความจริง” เขาว่า “ใครสนเจ้าว่าความผิดใคร แพ้ก็คือแพ้ คนหนึ่งแพ้ก็คือแดนเหนือทั้งหมดแพ้แล้ว”
ซื่อเฟิ่งกับจางเป่าถังเงียบงันไม่เอ่ยวาจา
“จางโต้วเซิงรักษาไม่ได้แล้ว” จูจั้นเอ่ย “หย่งซิ่งจวินก็รักษาไม่ได้แล้ว ต้องถูกคนมาแทนที่รับช่วงต่อแล้ว”
ถูกคนมาแทนครั้งนี้ย่อมไม่ใช่คนของเฉิงกั๋วกงแล้ว
“มารดามัน” จางเป่าถังด่า “แต่ละคนๆ ล้วนไม่ได้มาช่วยเหลือ ล้วนมากัดเนื้อ คนนอกยังไม่ทันกัด ก็ให้คนของตนเองกัดตนเองตายก่อนแล้ว”
“เรื่องพรรค์นี้ก็เป็นแบบนี้” ซื่อเฟิ่งยิ้มขื่นทีหนึ่งเอ่ย “ไหนเลยเจ้าคิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น”
จูจั้นถ่มหญ้าที่คาบอยู่ในปากออกมา
“ข้าอยากกลับไปแล้ว” เขาเอ่ย
จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งมองไปรอบด้านอย่างไม่ทันรู้ตัวอีกครั้ง
“ฝ่าบาทไม่มีทางเห็นด้วย” จางเป่าถังเอ่ยเสียงเบา “พ่อข้าพวกเขาล้วนลองดูแล้ว ไม่อาจเอ่ยได้ เพิ่งเผยเจตนานิดหนึ่งก็ถูกไล่ออกไปแล้ว”
“ใครให้พวกเขาเห็นด้วยเล่า?” จูจั้นเลิกคิ้วเอ่ย “มาแบบไหน ข้าก็กลับไปแบบนั้นสิ”
จางเป่าถังร้องอ้อหัวเราะหึหึ
“ข้าลืมแล้ว” เขาเอ่ย
ซื่อเฟิ่งไม่ได้หัวเราะขมวดคิ้ว
“ไม่ง่าย ไม่สบายเช่นนั้นอย่างตอนท่านมา” เขาว่า “นอกจากนี้ระหว่างทางครั้งนี้ต้องเอาชีวิตท่านแน่”
อย่างไรตอนมาคำสั่งของฮ่องเต้คือจับคนมาถามเรื่องราว นอกจากนี้ไม่คิดต้องการชีวิตจูจั้น หากจูจั้นออกจากเมืองหลวงครั้งนี้ ยังแบกฐานะนักโทษอยู่ อาจถูกกล่าวว่าเพื่อหนีโทษ
คนหนีโทษ ย่อมสังหารไม่เว้นได้แล้ว
“ไม่สู้รอบิดาของท่านมารับ” ซื่อเฟิ่งเอ่ยต่อ ตบหัวไหล่ของเขา “ท่านไม่ต้องกังวลใจจริงๆ ท่านลุงต้องไม่เป็นไรแน่”
จูจั้นไม่พูดจา ด้านนอกคอกม้าเสียงไอหนักๆ ดังมา นี่เป็นสัญญาณที่นัดกันไว้ก่อนแล้ว จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งได้ยินเสียงก็ลุกขึ้น
“ยังมี” จูจั้นเงยหน้าเอ่ย คิ้วขมวดนิดๆ “ผู้หญิงคนนั้นพวกเจ้าเฝ้าดูหน่อย”
ผู้หญิงคนนั้น…ย่อมหมายถึงคุณหนูจวิน
จางเป่าถังตบหน้าอกทันที
“พี่รองวางใจ ข้าจะดูแลอย่างดี” เขาว่า
“นางร้ายกาจยิ่ง สถานการณ์ทั่วไปจัดการได้ ถูกองครักษ์เสื้อแพรไม่กี่คนนั่นจับได้ก็ไม่เป็นไร ที่พวกเจ้าต้องทำก็คือเลี่ยงไม่ให้นางตกอยู่ในมือลู่อวิ๋นฉี” จูจั้นเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีเดรัจฉานนั่นเรื่องใดทำไม่ได้บ้าง
จางเป่าถังตบหน้าอกทันที
“ข้าจะจับตาลู่อวิ๋นฉีให้ดี” เขาเอ่ย
จูจั้นขมวดคิ้ว
“จับตาลู่อวิ๋นฉีทำอะไร จับตานางถึงสำคัญที่สุด” เขาเอ่ย “หากนางสังหารลู่อวิ๋นฉีไป เทพเซียนก็ช่วยนางไม่ได้แล้ว”
ใครสังหารใครนะ? ซื่อเฟิ่งกับจางเป่าถังอึ้ง
ที่ท่านกังวลไม่ใช่ลู่อวิ๋นฉีทำไม่ดีกับคุณหนูจวิน แต่เป็นคุณหนูจวินจะทำไม่ดีกับลู่อวิ่นฉี? คำพูดนี้ทำไมแปลกพิกลเช่นนี้เล่า?
“แปลกพิกลอะไรเล่า หากนางสังหารลู่อวิ๋นฉีไป ไม่มีประโยชน์กับนางสักกระผีก แน่นอนย่อมไม่ดีกับนางแล้ว” จูจั้นเอ่ยไม่สบอารมณ์
ซื่อเฟิ่งกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง
“นาง สังหารลู่อวิ๋นฉีได้หรือ?” เขาเอ่ย
เด็กสาวผู้นิ่งสงบบอบบางคนนั้น?
แน่นอน เด็กสาวผู้นิ่งสงบบอบบางสังหารใต้เท้าน้อยหวงได้ไปแล้ว แต่ลู่อวิ๋นฉีย่อมไม่ใช่สัตว์เลี้ยงเช่นนั้นอย่างใต้เท้าน้อยหวง
แม้ดูไปแล้วลู่อวิ๋นฉีลุ่มหลงความงามของเด็กสาวคนนี้ แต่ลู่อวิ๋นฉีอย่างไรก็เป็นลู่อวิ๋นฉี
จูจั้นแค่นเสียงเหอะ
“ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนบ้าคนหนึ่งเหมือนกัน” เขาเอ่ยพึมพำ
พวกเจ้ายังไม่ได้เห็นของพวกนั้นบนมือ บนตัว ที่วางไว้ทั่วข้างตัวตอนนางนอน แต่ละชิ้นๆ เอาชีวิตคนได้ทั้งนั้น
ผู้หญิงที่อาวุธลับอาวุธอาบยาพิษกับดักรัดคอสังหารไม่ห่างกายคนหนึ่ง สังหารคนนับเป็นเรื่องใหญ่อะไร
เพียงแต่นางยังไม่ถึงขั้นคิดสังหารคนก็เท่านั้น หากนางคิดล่ะก็….
ไม่รู้คนเท่าไรต้องโชคร้าย
เสียงไอด้านนอกดังขึ้นต่อเนื่อง จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งก็ไม่กล้ารั้งอยู่อีก
“พวกข้าล้วนจดจำไว้แล้ว ท่านวางใจเลี้ยงม้าอยู่ที่นี่เถอะ” พวกเขาเอ่ย รีบร้อนจากไป
ด้านในคอกม้าฟื้นกลับมาสงบ จูจั้นยังคงนั่งยองๆ อยู่หน้าราง มือเลื่อนไปดึงหญ้าเลี้ยงม้าเส้นหนึ่งออกมาจากกองหญ้า
“ที่ข้ากังวลย่อมไม่ใช่บิดาของข้า” เขาเอ่ยกับตนเอง เคี้ยวหญ้าเลี้ยงม้าแหลกทีละนิดๆ “ที่ข้ากังวลคือแผ่นดิน นิดหนึ่งนิ้วหนึ่งได้มาไม่ง่าย ยามเสียไปกลับง่ายดายปานนั้น ไม่อยากยอมเลย”
……………………………………….
และในเวลาเดียวกันนี้ จินสือปาที่ก้าวออกมาจากในพุ่มไม้ก็ถ่มหญ้าที่เคี้ยวจนแหลกเส้นหนึ่งออกมา
บนทางภูเขาด้านหน้าเงาคนสักคนก็มองไม่เห็น
ที่นี่อยู่ในเขตเมืองชิ่งหยวนมณฑลเหอเป่ยซีแล้ว เทียบกับสถานที่ซึ่งเดินทางผ่านก่อนหน้านี้ ที่นี่คนอยู่น้อยกว่าอยู่บ้าง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานี้ยังอยู่ในเขตภูเขาไท่สิง
พวกเขาอยู่ที่นี่นั่งยองเฝ้าใกล้จะวันหนึ่งแล้ว ไม่ต้องพูดถึงขบวนรถม้าเลย กระทั่งเงาผีสักเงาก็ไม่เห็น
“แม่หนูนี่ร้ายกาจเอาการจริงๆ” เขาว่า “ฝู่หนิงเป็นส่วนหนึ่งของแดนเหนือ ขุนนางพลเรือนคนหนึ่งอยู่ที่ฝู่หนิงจะสอนลูกสาวให้ร้ายกาจประหนึ่งสายสืบได้รึ?”
ผู้คุ้มกันพวกนั้นจินสือปาตรวจสอบหมดแล้ว ไม่มีคนที่ร้ายกาจ ถ้าอย่างนั้นก็ได้แต่คาดเดาเช่นนี้แล้ว
“เห็นชัดๆ ว่ามุ่งไปทิศทางนี้กลับไม่เห็นแล้ว” บุรุษคนหนึ่งด้านข้างก็ขมวดคิ้วเอ่ยด้วย ในดวงตายังมีความอับอายกรุ่นโกรธอยู่บ้าง
ถูกเด็กสาวคนหนึ่งสลัดทิ้งเป็นเรื่องที่ทำให้คนไม่พอใจยิ่งนัก
แน่นอนถูกบุรุษสลัดทิ้งอย่างเช่นจูจั้นตอนนั้นสลัดทิ้งก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้คนมีความสุขนักเหมือนกัน
“ดูท่าพวกนางจะเข้าไปในเมืองชิ่งหยวนแล้ว” บุรุษอีกคนหนึ่งผู้นิ่งสงบมีกลิ่นอายม้วนตำราคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
“คุณหนูจวินคนนี้ที่แท้คิดจะทำสิ่งใด? หรือว่านางไม่ได้จะกลับหยางเฉิง?” เทียบกับความนิ่งสงบของสองคนนี้ บุรุษกำยำล่ำสันอีกสองคนรำคาญอยู่บ้างแล้ว
“นางต้องการกลับหยางเฉิงดังนั้นถึงอ้อมทาง” จินสือปาเอ่ย
“ถ้าอย่างนั้นนี่ก็อ้อมไกลเกินไปแล้วกระมัง จะถึงเมืองเจินติ่งอยู่แล้ว” บุรุษเอ่ย
“จะสลัดพวกเรา คุณหนูจวินคนนี้ช่างมีความอดทนและเรี่ยวแรงจริงๆ นะ” จินสือปายิ้มเอ่ย “ไม่แปลกที่ใต้เท้าหัวหน้ากองพันชมชอบเช่นนี้”
พูดจบโบกมือ ท่าทางจริงจังและเย็นชาอยู่บ้าง
“พอดีพวกเราก็ไม่มีความสามารถอื่นแล้ว ก็มีเพียงความอดทนนิดหน่อย ครั้งนี้ เจ้าติดปีกก็ยากหนี”
……………………………………….
“พวกเราสลัดพวกเขาได้แล้ว” เหลยจงเหลียนเอ่ยขึ้นตื่นเต้นอยู่บ้าง
“ยัง” คุณหนูจวินเอ่ย “พวกเขารู้ว่าพวกเราอยู่ที่ไหน จะไล่ตามมา นี่ไม่นับว่าสลัดหลุด”
เหลยจงเหลียนหดหู่อยู่บ้าง
“เจ้าหนูฝูงนี้” เขาพึมพำทีหนึ่ง เงยศีรษะมองด้านหน้า “พวกเราตอนนี้มาถึงเมืองชิ่งหยวนแล้วรึ?”
ด้านหน้าแม้ยังมองไม่เห็นเมือง คนเดินทางบนถนนก็มากขึ้นมาแล้ว รถม้าคนเดินเท้าไหล่ชนมือคล้องไปๆ มาๆ เผยความรุ่งเรืองของชุมชน
“เมืองชิ่งหยวนก็เป็นมณฑลเหอเป่ยซี ในเมื่อเป็นมณฑลเหอเป่ยซี พวกเราล้วนมา” คุณหนูจวินเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์อยู่ด้านข้างโบกหนังสือแสดงตนฉบับหนึ่งใส่เหลยจงเหลียน
รับบัญชาตรวจสอบการจัดการหน่อฝีของมณฑลเหอเป่ยซี
เหลยจงเหลียนยิ้มแล้ว ยื่นมือรับไป
“ชาวบ้านเมืองชิ่งหยวนต้องดีใจไม่คลายแน่” เขาเอ่ย
……………………………………….