Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 159 ใกล้ปะทุ
“โจรภูเขาเหล่านี้ถึงกับซ่อนตัวลึกลับซับซ้อนปานนี้เชียว”
จินสือปามองเทือกเขาที่นูนๆ ลาดๆ ด้านหน้า
เขาจางชิงซานนี่ตั้งอยู่ท่ามกลางเทือกเขาเหล่านี้ ห่างไกลไม่มีคนรู้จัก เพราห่างไกล ทั้งยังไม่มีที่นาดีๆ ที่แห่งนี้ผู้คนจึงน้อยนิด
“หากไม่ใช่เจ้าฟันจอบบอก คงไม่มีใครรู้ว่าที่นี่ถึงกับมีโจรภูเขาด้วย” เหลยจงเหลียนเอ่ย
“จนกระทั่งถึงตอนนี้ ข่าวที่สืบมาได้ทั้งหมดก็ไม่ได้บอกว่าเป็นโจรภูเขา” จินสือปาเอ่ย “ล้วนบอกว่าที่นี่มีหมู่บ้านภูเขาแห่งหนึ่ง ชาวเขาจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่”
เหลยจงเหลียนคิดถึงข่าวที่ได้ยินมา ชาวเขาเหล่านี้เลี้ยงวัวทำนาล่าสัตว์ ช่วงเวลาหนึ่งก็จะเข้าเมืองมาแลกซื้ออาหาร
“ชาวเขาเหล่านี้อยู่ที่นี่มาสิบกว่าปีแล้ว เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด” เขาเอ่ยต่อ “โจรภูเขาเสแสร้งเป็นชาวเขาหนึ่งวัน สิบวันหรือหนึ่งปียังได้ เสแสร้งสิบกว่าปีนั่นน่าขำเกินไปแล้วจริงๆ”
จินสือปาส่ายศีรษะ
“ไม่ ไม่น่าขำ น่ากลัว” เขาเอ่ย
เหลยจงเหลียนมองไปทางเขา
“มีของที่พวกเจ้ากลัวด้วยรึ?” เขาเอ่ย
จินสือปามองไปทางเขา
“เจ้าเลิกสิ้นเปลืองความคิดกับข้าซะเถอะ หากคุณหนูจวินเกิดเรื่องแล้ว ข้าก็จบชีวิตเหมือนกัน” เขาเอ่ย “แต่เจ้าก็อนาถล่ะนะ”
เขาพูดจบก็ควบม้าไปข้างหน้า ตามทหารมากมายถี่ยิบด้านหน้าไป
เหลยจงเหลียนอยู่บนม้าถอนหายใจ ใช่สิ หากคุณหนูจวินเกิดเรื่องขึ้นมา ไม่มีใครเอาชีวิตเขา แต่ชีวิตนี้ของเขาก็คงจมสู่ความรู้สึกผิดและการโทษตนเองอีกครั้ง และครั้งนี้คงไม่มีคนช่วยเขาออกมาได้อีกแล้ว
มือซ้ายข้างเดียวของเหลยจงเหลียนกำหอกยาวในมือแน่น
“ไป” เขาเอ่ย
คนของสำนักคุ้มภัยกับเหล่าผู้คุ้มกันของตระกูลฟางด้านหลังร่างตามไปติดๆ
……………………………………….
หยางจิ่งมองควันสีเทาที่ลอยขึ้นมาด้านหน้า
“สัญญาณไฟหกสายแล้ว” เขาเอ่ย “ชุดเกราะเป็นระเบียบ เป็นกองทหารหย่งหนิง นับสายลับที่อยู่ด้านหน้าตลอดทาง พวกเราทั้งหมดสามสิบห้าคน”
คำพูดนี้ทำให้หลายคนในป่าเงียบงันไปวูบหนึ่ง
สามสิบห้าคนกับหกเจ็ดร้อยคน
“ก่อนหน้านี้พวกเราก็ไม่ใช่ไม่เคยทำมาก่อน” ผู้ชายคนหนึ่งเค่นเสียงเหอะเอ่ย ตบหน้าอก “กลัวพวกเขาเรอะ”
หยางจิ่งมองไปทางเขา ผู้ชายคนนี้เห็นเขามองมาก็เผยรอยยิ้ม ยิ้มจนรอยย่นบนหน้ายิ่งชัดเจน
สิบกว่าปีแล้ว บนศีรษะผมหงอกก็ขึ้นมาแล้ว
ไม่ใช่เมื่อก่อนแล้ว
และในสามสิบห้าคนของพวกเขายังมีเด็กผู้หญิงด้วย แม้ทุกคนฝึกฝนมาแล้ว ทั้งยังมีศาสตราวุธค่ายกลลับช่วยเหลือ จัดการกับโจรภูเขากองโจรอาชาจำนวนหนึ่งไม่ใช่ปัญหา แต่ลงมือกับทหารจริงๆ …
“พวกเราก็เป็นทหาร” ผู้ชายอีกคนพลันตะโกน
คำพูดนี้ทำให้ในป่าเงียบงันอีกครั้ง
“พวกเราไม่ใช่ทหาร ไม่เช่นนั้นทำไมพวกเราอยู่ที่นี่นานปานนี้ล้วนไม่มีใครสนใจ” ผู้ชายอีกคนหนึ่งโพล่งขึ้นมา หน้าของเขาแดงก่ำ
เสียงของเขาแตกพร่า เหมือนจะร้องไห้
“ทำไมเขาบอกว่าจะไปทวงความยุติธรรมให้พวกเรา จะขอฐานะให้ ไปแล้วไม่กลับ?” เขาเอ่ย กัดฟันเสียงสั่น “เขา เขาหลอกพวกเรา!”
คำพูดประโยคนี้ของเขาออกจากปาก ด้านข้างก็มีคนฟาดหนึ่งฝ่ามือดังป้าบใส่เขาทันที
“เจ้าพูดเหลวไหลอะไร ! มารดามันเจ้าพูดอีกเที่ยวสิ!” ผู้ชายคนนั้นก็ตาแดงตะโกนคว้าคอเสื้อของเขาไว้
ผู้ชายที่ถูกคว้าไว้ตาแดงมองเขา ขยับๆ ริมฝีปาก แต่สิ่งใดก็ไม่ได้เอ่ยออกมา
“เขาหลอกอะไรพวกเรา? เขาหลอกพวกเราให้ฝ่าออกมาจากพันทหารหมื่นอาชาหรือ? เขาหลอกพวกเราว่าจะปกป้องภรรยาลูกพ่อแม่ให้ปลอดภัยหรือ? เขาหลอกพวกเราว่าจะมีชาวบ้านทั้งหลายเรียงแถวขนาบต้อนรับน้อมส่งหรือ? เขาหลอกพวกเราให้ร่ำเรียนมีความสามารถร้อยศึกไม่ตายหรือ?” บุรุษคนนั้นตะโกนเสียงแหบต่อ
ตะโกนไปๆ ในน้ำเสียงของลูกผู้ชายก็มีเสียงร้องไห้มาด้วย
ผู้ชายที่ถูกคว้าไว้ในดวงตาก็มีน้ำตาคลอวาว
“แต่เขาไม่ต้องการพวกเราแล้ว เขาไม่ต้องการพวกเราแล้ว” เขาตะโกน
เซี่ยหย่งที่เงียบงันมองไปที่ไกลมาตลอดหมุนตัวมา
“พอแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” เขาเอ่ย แล้วก็หยุดไปอีกครู่หนึ่ง “เขาจะกลับมา”
“ใช่แล้ว เขาจะกลับมา อย่าให้เขากลับมาแล้วเห็นพวกเราขี้ขลาดน่าสมเพชเช่นนี้ หัวเราะเยาะอีกหน” หยางจิ่งเอ่ย “ไม่ว่าเป็นสามร้อยหรือหนึ่งพัน พวกเขามาแล้ว มีแต่สู้ถึงมีทางรอดได้ หรือพวกเราจะไม่สู้รอความตายหรือ?”
“กล้าก็รอด ไม่กล้าก็ตาย” บุรุษคนหนึ่งตะโกนเอ่ย ยกธนูหน้าไม้ในมือขึ้น
คนมากกว่าเดิมยกธนูหน้าไม้ขึ้นทันที
“กล้าก็รอด ไม่กล้าก็ตาย!”
“กล้าก็รอด ไม่กล้าก็ตาย!”
ตะโกนโห่ร้องก้องกังวานพร้อมเพรียง
เซี่ยหย่งโบกมือให้พวกเขาทีหนึ่ง
“แบบเดิม มือธนูหน้าไม้อยู่ข้างหน้า” เขาเอ่ย
พวกผู้ชายยืดตัวตรงขานรับเสียงพร้อมเพรียง จากนั้นแยกย้ายสี่ด้านเร้นหายไประหว่างภูเขาหินผา
เซี่ยหย่งหมุนตัวมองหยางจิ่ง
“เจ้าปกป้องพี่สะใภ้กับนิวหนิ่วไป” เขาเอ่ย
หยางจิ่งมองเขา ขยับๆ ริมฝีปาก
“ได้” ในที่สุดเขาก็เอ่ย สักประโยคก็ไม่พูดมากอีกหมุนตัวก็ไป
“เหล่าหยาง” เซี่ยหย่งเรียกเขาอีกครั้ง “ครั้งนี้เป็นปัญหาที่ข้าก่อ เสือดาวน้อยไม่อยู่แล้ว หากข้าไม่อยู่อีก เจ้าต้องปกป้องพี่สะใภ้กับนิวหนิ่ว พี่ใหญ่ต้องกลับมาแน่”
หยางจิ่งไม่หันกลับ ร่างกายเหยียดตรง หันหลังให้เซี่ยหย่งยกมือขึ้นทีหนึ่ง ก้าวยาวจากไป
เซี่ยหย่งมองไปทางซึ่งหมู่บ้านภูเขาตั้งอยู่ หิ้วธนูหน้าไม้ก้าวยาวเข้าไปในป่า
……………………………………….
“หยุด”
แม่ทัพใหญ่เผิงรั้งบังเ**ยนม้า ยกมือขึ้น มองด้านหน้าอย่างระวัง
ทหารหลังร่างหยุดลงทันที
“ใต้เท้า เกิดอะไรขึ้น?” มีรองแม่ทัพเอ่ยถาม “ยังไม่ถึงใกล้ๆ เขาจางชิงซานเลย”
แม่ทัพใหญ่เผิงมองเส้นทางภูเขาเงียบสงบด้านหน้า
“ข้ารู้สึกว่าไม่ถูกต้องอยู่ตลอด” เขาเอ่ย พูดพลางก็หลุดยิ้ม
มารดา ทำไมเหมือนกับลงสนามรบประจันหน้ากองทัพ ก็แค่โจรภูเขากลุ่มหนึ่งชัดๆ….
“แม้ยังไม่ถึง แต่โจรภูเขาเหล่านี้ถนัดวางกับดักที่สุด” เขายกมือเอ่ย
ผู้คนขานรับ เดินหน้าต่อไป
“ดู เขากลัวแล้ว” จินสือปาเอ่ยกับเหลยจงเหลียน
เหลยจงเหลียนไม่อยากตอบรับเขา เทียบกับจินสือปา เขาเชื่อมั่นในแม่ทัพใหญ่มากกว่า
“เจ้าไม่กลัว เจ้าก็ไปด้านหน้าสิ” เขาเอ่ย “เป็นแต่หลบอยู่ข้างหลังนับเป็นลูกผู้ชายอะไร”
จินสือปาส่งเสียงฮ่ะทีหนึ่ง
“นายของเจ้า เจ้าไปข้างหน้าสิ” เขาเอ่ย พูดพลางก็หัวเราะอีก “ข้าเดิมทีก็ไม่ใช่ลูกผู้ชายอยู่แล้ว”
เสียงเพิ่งเอ่ยจบก็ได้ยินด้านหน้าม้าพลันส่งเสียงร้อง
จินสือปากับเหลยจงเหลียนในใจตระหนก เห็นทหารด้านหน้าสุดกำลังหกคะเมนล้มพรึบพรับอยู่
นี่ก็เพราะม้าใต้ร่างของพวกเขาประหนึ่งเหยียบเข้าไปในบึงโคลน บนเส้นทางภูเขาที่เดิมทีราบเรียบไม่รู้มีเชือกเส้นแล้วเส้นเล่าโผล่ออกมาจากที่ไหน
“เชือกรัดม้า!” เสียงตะโกนดังขึ้นไม่ขาด
ไม่ นี่ไม่ใช่เชือกรัดม้าที่เห็นตามปกติ เชือกพวกนี้ไม่ได้วางติดอยู่บนพื้น แต่เลื้อยวุ่นวายพรึบพรับประหนึ่งงู รัดม้าด้านหน้าล้มเช่นนี้แล้วก็ยังเลี้ยวไปด้านหลังไม่หยุด ม้ามากกว่าเดิมประหนึ่งลูกปัดถูกทึ้งขาดพากันร่วงหล่นพื้น
แม่ทัพใหญ่เผิงในใจเอ่ยด่า ดวงตาเบิกกลม
ด้านล่างมีเชือกรัดม้า รอบด้านต้องมีมือธนูหน้าไม้แน่
“ยกโล่!” เขาตะโกน
พร้อมกับเสียงของเขา เสียงฟึบฟึบก็แหวกอากาศมา
ทหารที่ยกโล่ขึ้นมาหลบพ้น ส่วนทหารที่ไม่ทันถูกยิงเข้า ส่งเสียงร้องเจ็บปวด
เส้นทางภูเขาที่เดิมเงียบสงบเปลี่ยนกลายเป็นเอะอะเดือดพล่านทันที
แม่ทัพใหญ่ร้องด่าอีกครั้ง มองดูศรที่ร่วงอยู่แทบเท้า “ถึงกับเป็นศรหนักหัวเหล็ก! โจรภูเขานี่ปล้นคลังอาวุธทหารมารึ?”
เซี่ยหย่งยืนอยู่บนหินภูเขา มองดูทหารที่ตกสู่ความเอะอะเพราะเชือกรัดม้าและการโจมตีด้วยธนูหน้าไม้ระลอกหนึ่งทว่าไม่สับสนแต่เรียงแถววางกระบวนทัพอย่างรวดเร็วยิ่งยกโล่ธนูหน้าไม้ขึ้น ก็ถอนหายใจทีหนึ่ง
ทหารก็คือทหาร
เพียงแค่หากไม่รบราได้ คงยิ่งรื่นรมย์แล้ว
“ไม่สู้บอกพวกเขาว่าพวกเราก็เป็นทหารเหมือนกัน” มีคนอยู่ด้านหลังเอ่ยด้วยเสียงแหบสากอยู่บ้าง
“พวกเราเคยบอกแล้ว ผลลัพธ์เล่า” เซี่ยหย่งเอ่ย “พวกเขาไม่เชื่อ เสือดาวน้อยก็ถูกพวกเขาสังหารแล้ว”
ได้ยินเสือดาวน้อยสามคำ ผู้คนหลังร่างเงียบงันไร้วาจา
“คำที่พวกเราพูดไม่มีคนเชื่อ” เซี่ยหย่งเอ่ย “แล้วก็ไม่มีใครพูดแทนพวกเรา”
เขาง้างธนูหนักในมือ แหวนยิงธนูบนนิ้วหัวแม่มือกดลูกธนูไว้
ถ้าอย่างนั้นก็เช่นนี้เถอะ
เขามองทหารทั้งหลายบนเส้นทางภูเขาที่ยกธนูหน้าไม้ขึ้นเหมือนกัน
ในเวลานี้เองไม่รู้เสียงตะโกนแหลมสูงเสียงหนึ่งดังมาจากที่ใด
“หยุดนะ!”
นี่เป็นเสียงแหลมสูงของสตรี ไม่ใช่จากด้านหน้าแล้วก็ไม่ใช่จากด้านหลัง แต่ดังมาจากด้านบน
เซี่ยหย่งไม่ทันรู้ตัวเงยหน้ามองไป คนอื่นก็มองไปเหมือนกัน
ได้ยินเพียงเสียงวิ้งทีหนึ่ง เหนือยอดไม้ของป่าก็มีคนประหนึ่งวิหคบินโฉบลงมา
“หัวหน้าหมู่บ้าน” ผู้ชายคนหนึ่งยื่นมือชี้ ร้องขึ้นอย่างตกตะลึง “มีคนเปิดตาข่ายฟ้า!”
ใคร? ใครถึงกับเปิดตาข่ายฟ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต?
เซี่ยหย่งตกตะลึงมองคนผู้นั้นที่โฉบผ่านเหนือศีรษะ
นี่เป็นเด็กสาวคนหนึ่ง สองมือนางเกาะสิ่งหนึ่งไว้ แขวนอยู่บนเชือกตาข่ายฟ้าไหลลงมาอย่างรวดเร็ว กระโปรงปลิวสะบัด คลับคล้ายเทพเซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์
นาง!
นางหาตาข่ายฟ้าพบได้อย่างไร?
ไม่ถูกต้อง ทำไมนางหนีออกมาได้?
เซี่ยหย่งสีหน้าจากตกตะลึงงแปรเปลี่ยนเป็นตะลึงงัน
บนเส้นทางภูเขาทหารที่วางกระบวนทัพป้องกันอย่างแน่นหนาก็ตาโตอ้าปากค้างด้วย มองสตรีที่ร่วงลงมาจากฟ้าอย่างไม่อยากเชื่อ
นี่มันอะไรกัน?
เทพเซียน? ปีศาจ?
“มารดาเฒ่าของข้า” แม่ทัพใหญ่เผิงเอ่ยพึมพำ “เรื่องประหลาดมีทุกปีจริงๆ ปีนี้มากเป็นพิเศษ”