Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 190 ผู้มาเยือนไม่หวังดีกล้าพบไหม
หม่าตูเฝ้าอยู่บนป้อมปราการมาสามวันแล้ว สองตาอดนอนจนแดงก่ำก็ไม่ยอมไปพักผ่อน
แม้ไม่มีผู้ใดบอกเขา แต่ที่ทั้งป้อมปราการบนล่างเตรียมป้องกันรอทหารจินมารบ เขาคิดว่าล้วนเป็นเพราะศรดอกนั้นของเขา
แม้ข่าวบอกว่าเพราะสิบสองคนที่ถูกคนลอบโจมตี ทหารจินทิ้งหอชีหลี่ถอยไปรักษาเมืองไคเต๋อ แต่ไม่ใช่ทหารจินจะถูกขู่ขวัญกระเจิงแล้ว ตรงกันข้ามตามหาคนตัดฟืนจากชนบทคนนั้นอย่างบ้าคลั่ง
ไม่แน่ว่าเวลาใดจะคิดถึงความแค้นฝั่งนี้วิ่งมา
ทหารประจำการสามร้อยกว่านายในป้อมปรากการแห่งนี้บวกกับชาวบ้านเจ็ดร้อยคนจะอยู่รอดได้หรือไม่ก็ไม่แน่แล้ว
ควันกลุ่มหนึ่งฟุ้งขึ้นมาไกลๆ เป็นทหารม้า
ในที่สุดก็มาแล้วหรือ?
หม่าตูร่างกายเกร็งเครียดทันที ฟันกัดกระทบดังกึกๆ คนอื่นๆ บนป้อมปราการก็เคร่งเครียดขึ้นมาเช่นกัน แต่ไม่นานก็พบว่าทหารม้าที่ควบขี่มาคือทหารประจำการของป้อมปราการข้างเคียง
ทหารโจวสิบกว่านายลงมาด้านล่างของป้อมปราการโดยการนำของหัวหน้าทหารอายุสี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง
“พี่ใหญ่หวัง พวกท่านมาได้ย่างไร?” ติงต้าซานได้รับข่าว ออกมาต้อนรับเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
ตั้งแต่ทหารจินยึดครองเมืองไคเต๋อ ทหารอันลี่ถอยไป พวกเขาทหารที่เหลืออยู่เหล่านี้ก็ไม่กล้าออกจากป้อมปราการง่ายๆ แล้ว
มีกำแพงสูงของป้อมปราการปกป้องยังสู้กับทหารจินได้ พบข้างนอกเข้าก็ไม่มีความมั่นใจอะไรแล้ว
ดังนั้นระหว่างป้อมปราการต่างๆ นอกจากทหารยามที่ไปมาส่งข่าวสาร พาคนออกมาพบหน้ากันไม่มีมาหลายวันแล้ว
“น้องติง ข่าวนั้นเจ้าได้ยินแล้วหรือไม่?” หัวหน้าทหารหวังเอ่ยถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ติงต้าซานถอนหายใจ
“อย่างไรสงครามแดนเหนือตึงเครียดปานนี้ บุตรชายเฉิงกั๋วกงรีบร้อนกลับไปก็มีเหตุผลอภัยได้” เขาเอ่ยเสียงเบา “แต่พูดอีกด้านหนึ่ง คำสั่งทหารดั่งเขาล้ม บัญชาจักรพรรดิไม่อาจขัด เขาแหกคุกหนีโดยพลการเช่นนี้ เป็นกบฏจริงๆ หลังจับได้แล้วทุกคนเกลี้ยกล่อมเขาดีๆ ทำเช่นนี้ไม่เพียงช่วยเฉิงกั๋วกงไม่ได้ ตรงกันข้ามยิ่งเพิ่มความวุ่นวายเสียอีก”
หัวหน้าทหารหวังสีหน้าพิกลมองเขา
“เจ้าพูดอะไรน่ะ?” เขาเอ่ย “เกี่ยวอันใดกับบุตรชายเฉิงกั๋วกง?”
ติงต้าซานก็เบิกตาบ้าง
“ไม่ใช่ข่าวประกาศจับบุตรชายเฉิงกั๋วกงหรือ?” เขาเอ่ยถาม
หัวหน้าทหารหวังสบถ
“ใครพูดถึงเรื่องนั้น” เขาเอ่ยแล้วดึงแขนของติงต้าซาน สีหน้าตื่นเต้น “ทหารจินของเมืองไคเต๋อถูกสังหารไปสิบกว่าคน”
เรื่องนี้เอง ติงต้าซานร้องฮั้ยทีหนึ่ง
“พี่ใหญ่หวังท่านตกข่าวเกินไปแล้ว ข้ารู้ตั้งนานแล้ว เล่ากันว่าเป็นชาวชนบท…” เขาเอ่ย
คำพูดเขายังไม่ทันเอ่ยจบ หัวหน้าทหารหวังก็ขัดเขา
“แล้ว” เขาเอ่ย
แล้ว?
ติงต้าซานตะลึงวูบหนึ่งจากนั้นสีหน้าตื่นตะลึง
“แล้ว?” เขาก็เอ่ยซ้ำ
หัวหน้าทหารหวังพยักหน้า ยื่นมือไปหาเขา วาดตัวเลขจำนวนหนึ่ง
“สิบแปดคน” เขาเอ่ย
สิบแปดคน!
อั้ย มารดาเฒ่าของข้า!
หรือว่าคนตัดฟืนชนบทคนนั้นเป็นคนทำอีกหรือ
ติงต้าซานรู้สึกเพียงหัวใจจะกระเด้งออกมาจากลำคอ นี่ที่แท้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าแบบไหนกัน?
……………………………………….
ศีรษะคนสิบแปดหัวเรียงหน้ากระดานอยู่หน้าประตูเมืองไคเต๋อ ผ่านมาค่ำคืนหนึ่งรอยเลือดแห้งกรังแล้ว ใต้แสงตะวันใบหน้าน่าเกลียดน่ากลัวแสดงให้เห็นความทุกข์ทรมานที่ประสบก่อนตาย
เสียงร้องด่าของทหารจินที่ยืนอยู่เหนือกำแพงเมืองดังไม่ขาด แต่ประตูเมืองกลับปิดสนิทตั้งแต่ต้นจนจบไม่เปิดออก นี่ทำให้เสียงร้องด่าของพวกเขาแลดูขี้ขลาดอยู่บ้าง
ทหารหน่วยหนึ่งออกไปค้นหาคนที่ตอนกลางคืนโจมตีทหารจินที่หอชีหลี่ อาศัยคนมากกำลังมากยามฟ้ามืดจึงไม่กลับในเมือง ผลสุดท้ายเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นศีรษะของคนทั้งหมดก็ถูกวางไว้หน้าประตูเมือง
ถึงกับทั้งกองทัพย่อยยับ
แม่ทัพจินที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองโกรธจนหน้าแดงก่ำ
ตลอดทางจากเหนือสังหารมาถึงที่นี่ลำบากนัก เสียคนไปก็ไม่น้อย แต่กลับไม่เคยอับอายโกรธเกรี้ยวเช่นนาทีนี้เวลานี้
นี่คือการท้าทาย นี่คือการท้าท้ายอย่างโจ่งแจ้ง
พร้อมกันนั้นก็ทำให้คนตื่นตะลึง
คนเดียว ทำได้หรือ?
“ไม่ใช่ บาดแผลไม่เหมือนกัน ทหารสอดแนมบอกว่าร่องรอยในสถานที่เกิดเหตุก็ดูออกว่าน่าจะเป็นสิบกว่าคน” รองแม่ทัพคนหนึ่งใช้ภาษาหูเอ่ยขึ้น
สิบกว่าคน?
ที่แท้ไม่ใช่คนเดียว?
หากรู้ก่อนว่าสิบกว่าคน พวกเขาคงไม่มีทางส่งคนแค่สิบกว่าคนไปค้นหาตามจับ
ถ้าอย่างนั้นคนเดียวก่อนหน้านี้เป็นเหยื่อล่อรึ?
ชาวฮั่นพวกนี้ต่ำช้าหน้าไม่อายจริงๆ
ฆ่าพวกเขาให้เกลี้ยง ฆ่าพวกเขาให้เกลี้ยง!
แม่ทัพจินร้องด่าอูอาอูอาอีกครั้ง คล้อยหลังเสียงด่าของเขา ประตูเมืองก็เปิดออกกว้างทหารจินกลุ่มใหญ่แห่ออกมา ร้องโห่ฮาล้อมศีรษะของทหารจินสิบกว่านายไว้
แม่ทัพจินก็สวมชุดเกราะเต็มยศวิ่งออกมา กำลังสั่งผู้คนไปไล่ล่ากวาดล้าง ทหารจินไม่กี่คนที่เก็บศีรษะของสหายอยู่พลันร้องขึ้นมา
ที่พวกเขาพูดกันอยู่คือภาษาหู เวลานี้โทนเสียงยิ่งประหลาด คล้ายตกอกตกใจอะไร
ติงต้าซานที่ซ่อนอยู่ในที่ลับอดไม่ได้ยื่นศีรษะนิดๆ มองเห็นทหารจินคนหนึ่งชูขวานเล่มหนึ่งร้องโหวกเหวกโวยวายอยู่แว่วๆ
อาวุธที่ทหารจินใช้ล้วนเป็นดาบด้ามยาว ขวานเล่มนี้เป็นเครื่องมือเพาะปลูกของชนบทที่เห็นอยู่ทั่วไป
ขวานเล่มนี้มีสิ่งใดพิเศษ?
เห็นท่าทางทหารจินหวาดกลัวมาก?
ติงต้าซานมองเห็นแม่ทัพคนนั้นตะโกนอะไรหลายประโยค พวกเขาเก็บศีรษะแล้วพลันประหนึ่งน้ำหลากถอยเข้าไป ประตูเมืองพริบตาถูกปิด
ถึงกับไม่ส่งทหารไปไล่ล่ากวาดล้างคนร้ายแล้ว? นี่กลัวกลับไปแล้วหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
ติงต้าซานสมองตกอยู่ในม่านหมอก ทหารยามที่อยู่ด้านข้างชิดกันกับเขาดึงแขนเสื้อเขา
“คนตัดฟืน” เขาเอ่ยเสียงเบา “พวกเขาบอกว่าคนตัดฟืนมาแล้ว”
ทหารสอดแนมมากน้อยล้วนฟังภาษาหูเข้าใจจำนวนหนึ่ง นี่ก็เป็นเงื่อนไขตอนนั้นของเฉิงกั๋วกง
คนตัดฟืน คนที่สังหารทหารจินเป็นคนตัดฟืนจริงๆ แต่ถูกสังหารสามสิบคนนี้ไป ทหารจินก็กลัวจนกระทั่งค้นหาก็ไม่กล้าแล้วจริงๆ หรือ?
ถึงขั้นนี้ไหม? ติงต้าซานยิ่งไม่เข้าใจแล้ว
“แม่เจ้าโว้ย !”
ได้ยินประโยคนี้ หัวหน้าทหารคนหนึ่งในห้องพลันตบโต๊ะทีหนึ่ง
เรี่ยวแรงของเขามากอย่างที่สุด โต๊ะที่เดิมทีไม่แข็งแรงอยู่บ้างก็ส่งเสียงดังเปรี๊ยะหลุดเป็นชิ้นๆแล้ว
ถ้วยชาที่วางอยู่บนโต๊ะก็ร่วงลงพื้นหมดสิ้น ในห้องเสียงด่าดังขึ้นทันที
คนเหล่านี้ล้วนเป็นหัวหน้าทหารของป้อมปราการหลายแห่งใกล้ๆ ที่ถูกเรียกรวมมา
ติงต้าซานปวดใจกับเครื่องเรือนของตนเองยิ่งกว่า
“เจ้าโง่สือต้าเจ้าคลั่งอะไร” เขาตะโกนไม่สบอารมณ์
“คนตัดฟืนไง!” หัวหน้าทหารสือไม่สนใจเขา คนก็กระโดดขึ้นมา ยื่นมือชี้ทางเหนือ “นั่นคือคนตัดฟืนของทะเลสาบซูปี้หูไง แม่เจ้าโว้ย มิน่าสุนัขจินถึงกลัวจนปิดประตูไม่กล้าออกมา แค่สังหารไปสามสิบคนที่ไหนเล่า ทหารจินที่คนตัดฟืนเหล่านี้สังหารพอกองเป็นภูเขาฟืนลูกหนึ่งแล้ว”
คนตัดฟืนแห่งทะเลสาบซูปี้หูเรอะ!
ในห้องเงียบงันครู่หนึ่งจากนั้นก็ฮือฮา
แม้ระยะห่างจากแดนเหนือค่อนข้างไกล แต่งานในกองทัพต้องติดต่อกัน เรื่องเล่าของคนตัดฟืนมหัศจรรย์ทั้งยังเร้าใจ ย่อมเล่าลือต่อกันมา
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนตัดฟืนจะออกจากแดนเหนือมาถึงที่นี่
“หรือว่า เป็นการจัดการของเฉิงกั๋วกง?” หัวหน้าทหารคนหนึ่งพลันเอ่ย
เรื่องที่ฮ่องเต้ออกราชโองการให้เฉิงกั๋วกงมาช่วยเมืองไคเต๋อ แต่เฉิงกั๋วกงปฏิเสธเด็ดขาดทุกคนล้วนรู้แล้ว
เฉิงกั๋วกงไม่กลับมา ที่จริงพวกเขาก็เข้าใจได้ อย่างไรสิ่งที่แดนเหนือด้านนั้นต้องขัดขวางคือทหารจินหมื่นสองหมื่น เช่นนี้เทียบดูแล้วสองพันนายที่นี่ที่จริงไม่ควรค่าเอ่ยถึง
ในสนามรบก็เป็เช่นนี้ มักต้องสละเสมอ มักต้องสนสถานการณ์ภาพรวมทั้งหมดเสมอและเวลาส่วนมากที่บอกว่าต้องสนสถานการณ์ภาพรวมทั้งหมดก็คือต้องเสียสละส่วนน้อย
พวกเขาก็ยอมรับแล้ว นี่ก็คือเรื่องที่คนเป็นทหารยากหลีกเลี่ยง เข้าสนามรบย่อมเตรียมพร้อมตายได้ตลอดเวลา
เพียงแต่คิดไม่ถึง เฉิงกั๋วกงไม่มากลับส่งคนตัดฟันมาแล้ว
“แต่คนตัดฟืนไม่ใช่ไม่ได้สังกัดกองทัพรึ? ราชสำนักยังเคยให้ประกาศจับ บอกว่าทำให้ประชาชนสับสนป่วนงานกลาโหม” หัวหน้าทหารอีกคนหนึ่งลังเลนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น
นี่ก็เป็นเรื่องจริง ตอนนั้นองครักษ์เสื้อแพรยังให้เฉิงกั๋วกงค้นหาคนตัดฟืนอย่างจริงจัง ไม่เช่นนั้นจะกล่าวโทษเขาว่าเลี้ยงทหารส่วนตัว นั่นย่อมเป็นโทษกบฏ
“คนตัดฟืนสังหารเพียงชาวจิน ตอนนี้ชาวจินมาที่นี่ของพวกเรา ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่มาสังหารสุนัขจิน” หัวหน้าทหารหวังคิดนิดหนึ่งเอ่ยขึ้น
ติงต้าซานส่ายศีรษะ
“ถ้าอย่างนั้นสุนัขจินแดนเหนือน่าจะเยอะยิ่งกว่า” เขาเอ่ย
อยากสังหารสุนัขจินที่แดนเหนือยิ่งสาแก่ใจ
ผู้คนนั่งอยู่ในห้อง ล้อมโต๊ะไม้กับถ้วยชาที่แตกเป็นชิ้นๆ ตรากตรำครุ่นคิด ฉับพลันมีทหารสีหน้าตระหนกวิ่งเข้ามา
“ใต้เท้า ไม่ดีแล้ว” เขาตะโกนบอก
บรรดาหัวหน้าทหารในห้องฉับพลันร่างกายตั้งตรงทันที
เพราะเสียหายมากเกินไป ชาวจินโกรธแค้นจึงตัดสินใจลงมือกับพวกเขาทหารที่ป้อมปราการเหล่านี้แล้วหรือ?
ทหารสีหน้าพิกลอยู่บ้าง ยื่นมือชี้ด้านนอก
“คนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตนเองว่าคนตัดฟืนมาขอรับ” เขาเอ่ย
คนตัดฟืน
บรรดาหัวหน้าทหารในห้องอึ้งค้างอีกครั้ง
อย่านินทาคนลับหลังจริงๆ ด้วย…
คนตัดฟืนหรือ
บุคคลที่อยู่แต่ในคำเล่าลือมาตลอดฉับพลันมาถึงนอกประตูป้อมปราการของพวกเขา จะได้เห็นตัวเป็นๆ แล้ว!
ความรู้สึกนี้แปลกประหลาดเหมือนไม่จริงอยู่บ้าง
แล้วยังขลาดกลัวอยู่บ้างอย่างประหลาด
ชายฉกรรจ์หยาบกระด้างกลุ่มหนึ่งประหนึ่งเด็กสาวแรกรุ่น กำมือตนเองแน่น สีหน้าลังเล
พบ หรือไม่พบ?