Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 191 พูดง่ายๆ ทำไม่ทำ
พบหรือไม่พบ คนตัดฟืนล้วนอยู่นอกประตู
นอกจากนี้แสดงตัวตนแล้ว รอคอยเข้าพบ
หรือจะไม่พบ? หรือจะหลบซ่อน? ป้อมปราการแห่งนี้สถานที่ก็ใหญ่แค่นี้ หลบไปที่ไหน?
อีกอย่าง พวกเขาไม่ใช่สุนัขจินเสียหน่อยกลับกันเป็นผู้กล้าที่สังหารสุนัขจิน….
ติงต้าซานก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ถลึงตาทีหนึ่งใส่ทหารที่มาแจ้งข่าว
“นี่เรียกไม่ดีอะไรเล่า” เขาคิ้วตั้งตวาด “ผู้กล้าที่ทำให้สุนัขจินได้ยินข่าวก็ขวัญหายเหล่านี้มาที่นี่ของพวกเรา นี่เป็นเรื่องดีใหญ่หลวง!”
เสียงตะโกนดังของเขาทำให้ผู้คนที่ชะงักนิ่งได้สติกลับมา
ใช่แล้ว แม้ตัวตนของคนตัดฟืนนี่ไม่ถูกต้องอยู่บ้าง แต่เวลานี้แล้ว คนที่สังหารโจรจินได้ล้วนเป็นคนของตนเอง นับประสาอะไรกับคนที่ห้าวหาญปานนี้
“เปิดประตู”
“เชิญ”
“ดูสิผู้กล้าเหล่านี้ทำให้สุนัขจินได้ยินชื่อก็ขวัญหาย”
“จัดแถวต้อนรับ”
ผู้คนพากันเอ่ยขึ้น เดินตามติงต้าซานไปด้านนอก ทหารคนนั้นวิ่งไปถ่ายทอดคำสั่งของเหล่าหัวหน้าทหารก่อนแล้ว ที่จริงไม่ต้องให้พวกเขาถ่ายทอด ตอนที่คนกลุ่มนั้นนอกป้อมปราการแจ้งชื่อเสียงเรียงนาม หทารและชาวบ้านของทั้งป้อมปราการล้วนรุมล้อมเข้ามา
ข่าวสุนัขจินถูกสังหารไปสามสิบคน นอกจากนี้หดหัวอยู่ในเมืองไคเต๋อไม่กล้าออกมาเล่าลือไปทั่วแล้ว แต่ใครทำยังไม่ชัดเจนนัก สิ่งที่ทุกคนรับรู้ยังเป็นชาวชนบทที่บ้านแตกสาแหรกขาดระเบิดอารมณ์แก้แค้นคนหนึ่งในคำเล่าลือตอนแรกสุด
เมื่อมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาจากนอกป้อมปราการ ทุกคนล้วนคิดได้
ที่แท้ไม่ใช่คนเดียว แต่เป็นคนกลุ่มหนึ่ง
ทุกคนมองบุรุษสิบกว่าคนที่เดินเข้ามานี่ พวกเขารูปร่างไม่เหมือนกัน อายุไม่เหมือนกัน สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบรองเท้าปอ ข้างเอวล้วนเหน็บขวานเล่มหนึ่งไว้ ไม่ว่าอายุมากน้อย ใบหน้าล้วนมอมแมมคล้ายมีฝุ่นดินชั้นหนึ่งปกปิดอยู่ นี่ทำให้หน้าตาของพวกเขากลายเป็นคลุมเครือ เป็นคนที่โยนไว้ในฝูงชนก็ไม่สะดุดตาประเภทนั้น
นี่คือคนหมู่บ้านเดียวกันหรือคนที่ประสบสิ่งเดียวกันกลุ่มหนึ่งรวมตัวด้วยกัน?
ดูไปแล้วเป็นคนชนบทจริงๆ นะ ตรงไปตรงมาทั้งยังซื่อ ยิ่งไม่มีหอกยาวศรธนูอย่างทหารติดกาย พวกเขาสังหารสุนัขจินมากปานนั้นไปจริงหรือ?
ชาวบ้านที่หลบซ่อนอยู่ในป้อมปราการไม่รู้สึกอย่างไร แต่ติงต้าซานที่ตั้งทัพสังหารศัตรูเห็นเลือดมาก่อนมองเห็นคนที่เดินมากลุ่มนี้แต่ไกล หัวใจก็สั่นเทา
กลิ่วคาวเลือด
กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น
ทหารทั้งหลายที่เขาเคยพบย่อมล้วนมีกลิ่นคาวเลือดกันทั้งสิ้น แต่หากพูดว่ากลิ่นคาวเลือดที่เขาคุ้นเคยคือการถูกเลือดชโลมในสนามรบ ถ้าอย่างนั้นคนเหล่านี้ก็แช่ทะเลสาบเลือดมา
มิน่าแค่อาศัยขวานเล่มเดียวก็ขู่ชาวจินจนปิดประตูไม่กล้าออกมาได้
ติงต้าซานสงบจิตใจก้าวไปข้างหน้า
“นี่คือหัวหน้าทหารของพวกเรา” มีทหารหัวไวรีบแนะนำ
แล้วติงต้าซานก็มองเห็นคนกลุ่มนี้หลีกทางออกนิดหนึ่ง
“นี่คือหัวหน้าของพวกเรา” บุรุษคนหนึ่งในนั้นเอ่ย
หัวหน้าคนตัดฟืนก็มาแล้ว?
พวกติงต้าซานหัวหัวใจเต้นเร็วขึ้นนิดหนึ่งอีกครั้ง
กองทหารมีแม่ทัพ ตัวเมืองมีทางการ หมู่บ้านมีหัวหน้าหมู่บ้าน คนตัดฟืนก็ย่อมมีหัวหน้าเช่นกัน
จับโจรจับหัวหน้าก่อน ทางการอยากจับหัวหน้าของคนตัดฟืนมาตลอด แต่หัวหน้าคนนี้ลึกลับผลุบๆ โผล่ๆ ถึงขั้นไม่มีคนบอกหน้าตาอายุของเขาได้ชัด รู้เพียงอายุไม่น้อยแล้ว ถูกคนตัดฟืนทั้งหมดเรียกขานว่าพี่ใหญ่
คิดไม่ถึงหัวหน้าคนนี้ถึงกับมาที่นี่ด้วยตนเอง
ติงต้าซานฝ่ามือชื้นเหงื่อรู้สึกคล้ายตอนเขายังหนุ่มถูกขุนนางยศสูงกว่าเรียกพบเพราะผลการรบแบบนั้น
อยากพบ แล้วก็ไม่อยกาพบ
ไม่ว่าอยากพบหรือไม่อยากพบ ก้าวเท้าของผู้อื่นก็ไม่มีทางหยุด
ติงต้าซานมองเห็นบุรุษหนวดเคราครึ้มเส้นผมเป็นริ้วขาวรูปร่างกำยำคนหนึ่งก้าวมายืนด้านหน้า
“สวัสดี” เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ข้าคือคนตัดฟืน เจ้าเรียกข้าว่าเหล่าจิ่วได้”
เหล่าจิ่วรึ
อายุนี่ดูแล้วไม่นับว่าแก่นัก แต่ก็ไม่นับว่าหนุ่ม ดวงตาทั้งสองเฉียบแหลมยิ่งแล้วก็ดุร้ายยิ่ง ติงต้าซานมองเพียงแวบเดียวก็รีบหลบ
“ข้า ข้าคือติงต้าซาน” เขารีบเอ่ย
เหล่าจิ่วพยักหน้า สายตากวาดมองแม่ทัพหลังร่างติงต้าซาน
คนเหล่านี้ก็กำลังมองเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ เห็นเขามองมาก็ลนลานนิดๆ อย่างไม่รู้สาเหตุ
ต้องแนะนำตัวสักหน่อยไหม?
พวกเขาคิดในใจ
“พวกเราเข้าไปคุยไหม?” เหล่าจิ่วเอ่ยปากก่อน
อ้อใช่ เข้าไปคุย ที่นี่คนมากปานนี้ไม่อาจพูดคุยกันได้
พวกติงต้าซานได้สติ รีบยื่นมือทำท่าเชิญ ไล่ชาวบ้านจากนั้นห้อมล้อมคนตัดฟืนเหล่านี้เดินเข้าไปในห้อง หัวหน้าทหารหลายคนที่ถูกทิ้งอยู่ข้านหลังสบตากันทีหนึ่ง
“คล้ายกับว่า แขกกลับกลายเป็นเจ้าบ้านอยู่นิดๆ” หัวหน้าทหารคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
นอกจากนี้พวกเขายังไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่ถูกต้อง
คนที่กระทั่งสุนัขจินยังหวาดกลัว ท่าทางย่อมใหญ่โตอยู่บ้าง พูดจากด้านนี้ หัวหน้าคนนี้จากแขกกลับกลายเป็นเจ้าบ้านก็สมควร
ในสนามรบเดิมก็คืออาศัยกำลังเอ่ยวาจา
ทุกคนส่งสายตาให้กันแล้วติดตามไป
เหมือนเช่นทหารด้านนี้อยู่ด้านนอกยืนรอ พวกคนตัดฟืนก็ไม่ได้ตามเข้าไป มีเพียงเหล่าจิ่วที่ตามพวกติงต้าซานหัวหน้าทหารเข้าไปในห้อง
แต่ไม่นานติงต้าซานก็ตะโกนเรียกคนอีกครั้ง ทหารสองคนรีบเข้าไปเก็บกวาดโต๊ะเก้าอี้กับถ้วยชาที่แตกกระจายอยู่บนพื้น
“ชงชาดีๆ มาซิ” ติงต้าซานหน้าแดงเอ่ย
เหล่าจิ่วยกมือห้าม
“ไม่ต้องแล้ว” เขาเอย “เวลากระชั้นชิด เรื่องยาวพูดให้สั้น”
หัวหน้าคนนี้พูดจาตรงไปตรงมานักเชียว
ติงต้าซานมองสหายข้างกายทีหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องแนะนำทุกคนแล้วกระมัง…
“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” เขาก็เอ่ยตรงไปตรงมาด้วย “ไม่ปิดบังท่านเหล่าจิ่ว เมื่อครู่พวกเรากำลังพูดถึงพวกเจ้า พวกเจ้าร้ายกาจจริงๆ”
เขาพูดพลางยกนิ้วโป้งขึ้น
พวกหัวหน้าทหารคนอื่นก็รีบร้องรับด้วย
“ใช่แล้ว ใช่แล้ว”
“สองวันสั้นๆ พกวเจ้าก็สังหารสุนัขจินไปมากปานนั้น”
“สุนัขจินกลัวจนขวัญหายไปเลยจริงๆ”
พวกเขาหัวเราะพลางเอ่ย
เหล่าจิ่วสีหน้าเรียบเฉย เพียงหัวเราะเบาๆ
“ไม่ควรค่าเอ่ยถึง” เขาเอ่ยแล้วโบกมือ “ขวัญหายไม่มีสิ่งใดควรค่าดีใจ ที่พวกเราต้องการคือพวกเขาตาย”
คำพูดนี้วางอำนาจทั้งยังสบายๆ จริงๆ
พวกติงต้าซานกลืนน้ำลาย ไม่รู้ว่าจะต่ออย่างไรอยู่บ้าง
นี่ใช้ไม่ได้ ท่าทางนี่อ่อนแอเกินไปแล้ว ทุกคนอายุพอๆ กันชัดๆ ทำไมอยู่ต่อหน้าหัวหน้าคนนี้กลับเหมือนเด็กสาวแรกรุ่นคนหนึ่ง
ขายหน้าเกินไปแล้ว
หัวหน้าทหารหวังกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่ง
“ใช่แล้ว สุนัขจินใครพบใครเจอล้วนต้องฆ่าจริงๆ” เขาหน้าขรึมเอ่ยขึ้น “พวกเรากำลัง…”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาทำให้พวกเขาตายด้วยกันเถอะ” เหล่าจิ่วขัดเขาแล้วเอ่ยต่อ ตบขาลุกขึ้นยืน “คืนพรุ่งนี้ลอบจู่โจมเมืองไคเต๋อ กวาดสุนัขจินพวกนั้นให้หมด เอาเมืองไคเต๋อคืนมา”
ล้อ ล้อ ล้อเล่นรึ?
ทั้งห้องเงียบสนิท คล้ายกระทั่งลมหายใจก็หยุดไปแล้ว
คนทั้งหมดล้วนมองเหล่าจิ่วคนนี้ สีหน้านิ่งอึ้ง
พวกเขากำลังพูดอะไร? ไม่ใช่เพิ่งพบหน้า นั่งลง พูดกันไม่ถึงสองประโยครึ ทำไมพูดไปถึงจะเอาเมืองไคเต๋อคืนแล้วเล่า?
เมืองไคเต๋อนะ
ทหารจินสามพันนะ
สามพันนะ!
“ไม่ถึงสามพันแล้ว” เหล่าจิ่วเอ่ย
เอาเถอะ ถูกพวกเขาสังหารไปสามสิบคนแล้ว ยังเหลืออีกเท่าไร?
ขากถุย ติงต้าซานในใจถ่มน้ำลาย นี่เป็นเวลานับสิ่งนี้เรอะ?
อีกอย่าง สามพันกับสองพันหกเจ็ดร้อยมีอะไรแตกต่าง!
“เหล่าจิ่วอา เรื่องเช่นนี้พวกเราหารือกันอีก…” เขาเอ่ยติดๆ ขัดๆ
“แน่นอนต้องหารือ” เหล่าจิ่วเอ่ย “ข้ารู้อยู่แล้วว่าวันนี้พวกเจ้าล้วนรวมตัวอยู่ที่นี่ ดังนั้นถึงมาหารือกับทุกคนสักหน่อย”
เขาถึงกับสืบรู้ร่องรอยของพวกเขา พวกหัวหน้าทหารที่นั่นอดไม่ได้สบตากันทีหนึ่ง
เหล่าจิ่วนั่งลงอีกครั้ง
“มา หารือเถอะ” เขาเอ่ยขึ้น “ทำ หรือว่าไม่ทำ”
พี่ใหญ่ นี่เรียกหารือหรือ? นี่ก็ง่ายเกินไปแล้ว
พวกติงต้าซานสีหน้าตระหนกลนลาน มองบุรุษที่นั่งวางมาดอยู่ตรงหน้า ประหนึ่งมองเห็นอันธพาลผู้จะฉุดคร่าเจ้าสาว
แต่ง หรือไม่แต่ง?
ไม่แต่งก็ต้องแต่ง!