Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 34 ใกล้ไม่รู้ไกลรู้
แต่คุณหนูจวินไม่มีเจตนาล้อเล่น นางกวักมือให้เด็กๆ
“พวกเจ้าทำเรื่องที่กำลังทำได้บางอย่างก็พอแล้ว ส่งยาช่วยแจกอาหารอะไรพวกนี้” นางเอ่ยพลางเดินไปทางห้องหนึ่ง
ท่านหมอคนหนึ่งมองหีบยาที่หิ้วอยู่ในมือ ลังเลทนส่งให้เด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้
บนหน้าเด็กๆ ความตกใจกลัวยังไม่ทันสลายไป ยืนอยู่ที่เดิมกำมือแน่น
“กลัวอะไร” โจวจิงพลันเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ยังน่ากลัวว่าตายในคุกอีกหรือ?”
เขาพูดจบสูดหายใจลึกทีหนึ่ง ยื่นมือรับหีบยาไปจากมือท่านหมอ ตามคุณหนูจวินเดินเข้าไปในห้อง
เด็กๆ คนอื่นแม้มีสีหน้าหวาดกลัว แต่ก็ตามไปโดยที่ไม่ลังเลสักนิด
“ข้าก็จะหิ้ว ข้าก็จะหิ้ว” โจวเหมาเหมาก้าวขาสั้นๆ วิ่งตาม กางมือออก
ยังมีเด็กทารกคนหนึ่งด้วย คนในเรือนสีหน้ายิ่งสับสน
จะทำอะไรกันแน่?
“คุณหนูจวินเหมือนเคยบอกว่า คนที่ปลูกฝีสำเร็จชีวิตนี้จะไม่กลัวฝีดาษเล่นงานอีก แล้วก็จะไม่เป็นฝีดาษอีกแล้ว” คนหนึ่งพลันเอ่ยขึ้น “หรือว่าพูดจริง?”
…
“อะไรจริงอะไรหลอก?”
เจียงโหย่วซู่ขมวดคิ้วมองบรรดาหมอหลวงที่รวมตัวพูดคุยเสียงเบากันอยู่
บรรดาหมอหลวงรีบล้อมเข้ามา
“หมอหลวงเจียง ท่านได้ยินมาหรือไม่?”
“วัดกวงหวาด้านนั้นพักนี้สร้างเรื่องใหม่ออกมาแล้ว”
“บอกว่าค้นพบวิธีที่ทำให้คนไม่ต้องเป็นฝีดาษ”
ทุกคนพากันเอ่ยเสียงเบา
“โรคบนโลกนี้มีที่ป้องกันได้ที่ไหน” หมอหลวงเจียงขมวดคิ้วเอ่ย “เลิกฟังคำพูดไร้สาระของพวกเขาได้แล้ว”
ใช่สิ นี่ฟังแล้วน่าเหลือเชื่อจริงๆ
“ได้ยินว่าพวกหมอเหล่านี้เอาตัวเองทดลองมาก่อนแล้ว”
“ยังมีบุตรชายเฉิงกั๋วกงขอพระราชทานราชโองการพาเด็กหลายคนของตระกูลโจวที่ต้องโทษสบคบศัตรูในห้องขัง ไปทดลองยาด้วย”
บรรดาท่านหมอเอ่ยต่อ
เรื่องนี้หมอหลวงเจียงย่อมได้ยินมาเหมือนกัน เขาหัวเราะแล้ว
“ดูท่าฝีดาษนี่พวกเขาคงรักษาไม่ได้จริงๆ แล้ว” เขาเอ่ย “เริ่มคิดวิธีการแปลกประหลาดเช่นนี้แล้ว พวกเขาทำเช่นนี้แสดงว่าตนเองทุ่มเทใจกับฝีดาษแล้วหรือ? เช่นนี้ก็เลี่ยงโทษได้รึ?”
พวกเขาลูบเครา
“ส่วนเด็กตระกูลโจว โจวเปิ่นถังสมคบศัตรูจนเมืองเจินติ้งถูกยึด ทำให้แนวป้องกันแถบเหนือของเฉิงกั๋วกงถูกฉีกขาดเป็นรูแห่งหนึ่ง เสียหน้ามากนัก นอกจากนี้ยังถูกฮ่องเต้ตำหนิลงโทษ ส่งแม่ทัพใหม่ไป เฉิงกั๋วกงถูกแย่งเนื้อชิ้นโตชิ้นหนึ่งที่แถบเหนือไป ให้ครอบครัวของโจวเปิ่นถังถูกตัดศีรษะตายอย่างสงบ ไหนเลยจะระบายโทสะได้”
กล่าวเช่นนี้ก็มีเหตุผลมากอยู่เหมือนกัน บรรดาท่านหมอล้วนพยักหน้า
“ใช้ยาก็ไม่เป็นฝีดาษได้ ล้อเล่นจริงๆ” พวกเขาหัวเราะเอ่ย “ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ากินยาอะไรแล้วจะไม่เป็นโรคอะไรได้”
ท่านหมอคนหนึ่งพลันร้องเอ๋
“ก็พูดไม่ได้ว่าไม่มีนะ” เขาเอ่ย สีหน้าตั้งใจ
ทุกคนมองไปทางเขา ในดวงตาเจียงโหย่วซู่ความไม่พอใจบางๆ แล่นผ่าน
“อย่างเช่นภิกษุชั้นสูงในวัด อย่างเช่นผู้ปราดเปรื่องจากต่างแดน อย่างเช่นแม่ชีวัดผู่หนิง ล้วนมียาที่ให้คนกินแล้วไม่เป็นโรคอีกได้นะ” หมอคนนั้นเอ่ยสีหน้าจริงจัง
คำพูดนี้ทำให้บรรดาท่านหมออึ้งไปจากนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง
เจียงโหย่วซู่ไม่ได้หัวเราะ สีหน้าเรียบเฉย
“คุณหนูจวินเรียกตนเองว่าหมอเทวดา ทำยาเช่นนี้ออกมาได้ก็ไม่แปลกนี่” เขาเอ่ยเฉยชา “เพียงแต่อย่าคิดว่าคนในใต้หล้านี้ล้วนเป็นตาสีตาสา”
แม้วัดกวงหวาจะถูกทหารกับองครักษ์เสื้อแพรล้อมไว้แน่นหนา แต่เมืองหลวงแห่งนี้น้อยนักจะมีเรื่องที่เป็นความลับ ไม่รู้ว่าจากสำนักแพทย์หลวงหรือจากเต๋อเซิ่งชาง หรือจากทหารที่ตั้งด่านสกัด หรือจากเหล่าพัศดีในคุกหลวง หรือจากที่บุตรชายเฉิงกั๋วกงพานักโทษตายในคุกเดินอาดๆ ผ่านเมือง นานาวิธีข่าวแพร่ออกไปแล้ว
พวกหมออย่างคุณหนูจวินรักษาฝีดาษไม่ได้ผล คนที่ตายกองสุมทีละคนๆ ข่าวนี้ทำให้คนทั้งเมืองหลวงอกสั่นขวัญแขวน มีคนไม่น้อยเริ่มเก็บข้าวของเตรียมออกจากเมืองหลวงไปหลบยังสถานที่อื่นแล้ว แต่จากนั้นก็มีข่าวว่าคุณหนูจวินค้นพบวิธีทำให้คนไม่เป็นฝีดาษแพร่มาอีก
“หลอกกันละมั้ง?”
“ต้องหลอกกันแน่ เหมือนกับที่นางพูดว่ารักษาฝีดาษได้ต่อมารักษาไม่ได้ เป็นเรื่องหลอกลวง”
“จะมีวิธีการเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“วิธีการอะไรทำให้คนไม่เป็นฝีดาษได้?”
คำวิพากษ์วิจารณ์การคาดเดาสารพันแพร่ออกไปดั่งสายลม
วิธีอะไร? ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลูบเครา พูดออกไปคงไม่มีใครเชื่อว่าเป็นวัวฝูงหนึ่งล่ะนะ
พูดความจริง ตอนเขาเพิ่งได้ยินข่าวนี้ ตนเองก็ยังไม่เชื่อ
วัวนะ วัวก็ทำให้คนไม่เป็นฝีดาษได้ แค่วัวก็จัดการฝีดาษอันน่าหวาดกลัวที่ตั้งแต่โบราณมาทุกคนหวาดกลัวแต่อับจนหนทางได้?
นี่ใครจะคิดถึงเล่า คุณหนูจวินคนนี้คิดออกได้อย่างไร?
“ดูท่าจะวุ่นวายจริงๆ แล้ว” เขาเอ่ยกับฟางจิ่นซิ่ว
“ในเมื่อนางกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ย่อมต้องมั่นใจอยู่” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย “คนเช่นนาง ไม่มีทางให้ตนเองเสียเปรียบหรอก”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกังวลใจมาตลอดจนกระทั่งนาทีนี้ถึงผ่อนคลายลงบ้าง ยกถ้วยชาดื่มคำหนึ่ง
“หากทำเรื่องเช่นนี้สำเร็จจริงๆ ถ้าอย่างนั้นโรงหมอจิ่วหลิงก็สร้างบุญกุศลใหญ่หลวง ชื่อดังทั่วหล้าแล้ว” เขาเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะ วางรางลูกคิดในมือลง
“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วรีบเอาเวลาไปหาวัวมากกว่าเดิมส่งไปเถอะ” นางว่า “เกรงว่าต้องมีคนมากมายมาหานางปลูกฝีแน่”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วหัวเราะ
“ชื่อดังทั่วหล้าคงไม่เร็วปานนั้น” เขาเอ่ย “คนในใต้หล้านี้ไม่เชื่อง่ายดายเช่นนั้นหรอก”
“คนในใต้หล้าง่ายหรือไม่ง่ายข้าไม่รู้” ฟางจิ่นซิ่วหัวเราะเอ่ย “แต่คนหยางเฉิงเชื่อแน่”
…
เมืองหยางเฉิงกลางเดือนสองยังคงหนาวอยู่ แต่นี่ไม่ได้ส่งผลกับความครึกครื้นในตลาด เทียบกับบนถนน ในเหลาสุราโรงน้ำชาแลดูซบเซาอยู่บ้าง
ครึ่งปีมานี้ไม่มีเรื่องใหม่อะไรเลย
“นี่ก็จะวันที่สามเดือนสามแล้ว คิดว่าหอจิ้นอวิ๋นคงต้องคิดถึงคุณหนูจวินมากแน่”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะวันที่สามเดือนสามปีก่อนคุณหนูจวินชนะโยนศรที่หอจิ้นอวิ๋นได้เงินมากมาย หอจิ้นอวิ๋นก็เลยร่ำรวยไปด้วย”
คำพูดนี้ทำให้ผู้คนในโรงน้ำชาพูดถึงเรื่องเก่าปีก่อนขึ้นมา แต่เรื่องเก่าเล่ามากเกินไป ความสนใจของทุกคนอย่างไรก็น้อยลงไปบ้าง
“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”
ฉับพลันมีคนวิ่งร้องตะโกนเข้ามาจากด้านนอก
คำพูดนี้ทำให้คนเต็มโรงน้ำชาล้วนตื่นตัว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ทุกคนเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น
คนที่มาสีหน้าแดงวิ่งหอบฮักฮักยกสองมือขึ้นสองตาเป็นประกาย
“คุณหนูจวินอยู่ที่เมืองหลวงทำยาป้องกันฝีดาษออกมาได้แล้ว!” เขาตะโกนบอก
ฝีดาษ?
ฝีดาษ!
ในโรงน้ำชาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ฮือฮา
…
ด้านในเรือนยามต้นฤดูใบไม้ผลิอันเงียบสงบ สาวใช้อายุน้อยหลายคนกำลังนั่งยองอยู่กับพื้นมองดูว่าในรอยแตกของก้อนอิฐมีหญ้าเขียวผลิยอดออกมาหรือไม่ พลางหัวเราะคิกคักเสียงเบา
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมาจากด้านนอก เหมือนมีคนวิ่งอยู่
คุณชายกำลังจะสอบใหญ่แล้ว นายหญิงใหญ่ก็เริ่มกินเจ ทุกวันสวดคัมภีร์ขอพรให้คุณชาย ใครกล้าวิ่งเอะอะเช่นนี้ในเรือนนายหญิงใหญ่
เหล่าสาวใช้อายุน้อยเงยหน้าขึ้น มองเห็นหญิงรับใช้เฒ่าประจำตัวคนหนึ่งของนายหญิงใหญ่ สีหน้านางตื่นตระหนกอยู่บ้างวิ่งตรงเข้ามาในห้องของนายหญิงใหญ่หนิง
เกิดเรื่องอะไรขึ้นทำให้แม่เฒ่าผู้นี้เสียกิริยาเช่นนี้
บรรดาสาวใช้อายุน้อยสบตากัน