Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 48 แรกพบบ้าบอ
สหายเก่า?
“สหายเก่า?” คุณหนูจวินเอ่ยถามพร้อมท่าทางประหลาดใจที่สมเหตุสมผล
“ใช่แล้ว” บัณฑิตกู้สีหน้าอ่อนโยนท่าทางย้อนนึกถึงอดีตอยู่บ้าง “เขาก็เคยเอ่ยว่าฝีดาษใช้พิษต้านพิษมาป้องกันได้”
สหายเก่า บัณฑิตกู้เป็นสหายเก่าของอาจารย์
ในใจคุณหนูจวินคลื่นความตกตะลึงสาดซัด
นี่จริงหรือ? หรือว่าเพียงแค่ล่อหลอก?
“งั้นหรือ?” สีหน้าคุณหนูจวินประหลาดใจทั้งยังตื่นเต้นยินดีอยู่บ้าง “สหายเก่าของท่านบัณฑิตก็เป็นหมอหรือ? เป็นคนที่ไหน ตอนนี้อยู่ที่ใดเล่า?”
บัณฑิตกู้ยิ้ม
“เขาน่ะ ไม่ใช่หมอ” เขาเอ่ย
ความตกตะลึงในใจคุณหนูจวินยิ่งมากกว่าก่อนหน้านี้ ทั้งยังมีรสชาติแปลกแปร่งอยู่บ้าง
ท่านอาจารย์ในโลกหล้าชื่อเสียงโด่งดังเป็นหมอเทวดา ทุกคนพูดถึงเขาล้วนจะพูดว่าเป็นท่านหมอ
แต่อาจารย์กลับพูดบ่อยๆ ว่าตนเองไม่ใช่หมอ
ตอนนี้ก็มีคนอีกคนหนึ่งเอ่ยเช่นนี้
หรือว่าเป็นสหายเก่าจริงๆ?
เหมือนกับจูจั้นแบบนั้น?
อาจารย์คนนี้ ท่านที่แท้ยังมีสหายเก่าอีกเท่าไร?
คุณหนูจวินในใจขมปร่า
“ถ้าอย่างนั้น?” นางมองบัณฑิตกู้สีหน้าประหลาดใจ ไม่เข้าใจอย่างมาก “เขาคือ?”
“เขาเป็นผู้มากความสามารถคนหนึ่ง คู่ควรเรียกขานเป็นอาจารย์” บัณฑิตกู้เอ่ย
คำพูดนี้คุณหนูจวินก็ไม่แปลกหน้า ตอนแรกบัณฑิตกู้มาถึงวังไหวอ๋องก็เอ่ยวาจาเช่นนี้กับนางมาก่อน
เวลานั้นในใจนางเรื่องราวที่ขบคิดมากเหลือเกิน รู้สึกเพียงคำพูดนี้พิกลอยู่บ้าง แต่คร้านจะสนใจว่าพิกลที่ใด
เวลานี้มาฟังอีกครั้ง คุณหนูจวินเข้าใจแล้ว ที่แท้พิกลก็ตรงบัณฑิตกู้ไม่เหมือนคนอื่นเรียกขานอาจารย์เป็นหมอเทวดาหรือหมอ
หรือว่าเป็นสหายเก่าจริงๆ
คุณหนูจวินในใจครุ่นคิดครู่หนึ่ง
“งั้นหรือ?” สีหน้านางตื่นเต้นอยู่บ้าง “แม้ไม่ใช่หมอ แต่คิดสิ่งเหล่านี้ได้ต้องเป็นคนที่มากความสามารถคนหนึ่งแน่ ไม่ทราบว่าบัณฑิตกู้แนะนำได้หรือไม่?”
บัณฑิตกู้มองนางครู่หนึ่ง ยิ้มส่ายศีรษะ
“ไม่ได้หรือ?” คุณหนูจวินรีบเอ่ย ไม่ยินยอมอยู่บ้าง “แม้การปลูกฝีข้าค้นพบวิธีแล้ว แต่ยังมีความสงสัยมากมายที่ยังไม่แก้ บัณฑิตท่านนี้มีความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งนี้นานแล้ว ไม่ทราบว่าจะศึกษาแก้ข้อสงสัยกับข้าได้หรือไม่”
บัณฑิตกู้ยิ้มอ่อนโยน สีหน้าปรากฏความเศร้าอยู่บ้างออกมา
“ที่พูดว่าสหายเก่าก็เพราะไม่ได้พบกันนานแล้ว” เขาเอ่ย “ข้าก็ไม่รู้ว่าจะตามหาเขาอย่างไร”
คุณหนูจวินร้องอา สีหน้าผิดหวังยิ่งนัก
“ถ้าอย่างนั้นไม่พบหน้านานแล้วก็ไม่แน่ว่าจะไม่พบหน้ากันตลอดไป” นางแย้มรอยยิ้มอีกครั้ง ท่าทางคาดหวังอยู่บ้าง “หากท่านบัณฑิตได้พบ ต้องแนะนำกับข้าให้ได้นะเจ้าคะ”
นางเอ่ยย่อกายคำนับจริงจัง
บัณฑิตกู้รีบคำนับคืน
“ถ้าอย่างนั้น ก็รบกวนสามวันให้หลังคุณหนูจวินค่อยมาตรวจซ้ำให้องค์ชายไหวอ๋อง” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินรับคำคำนับอีกครั้ง หิ้วหีบยาหมุนตัวก้าวเดิน
ข้างหลังสายตาติดตาม
สายตานี้แตกต่างจากสายตาของลู่อวิ๋นฉี ละมุนอบอุ่นดุจดั่งมองส่งนักเดินทางออกจากบ้าน
คุณหนูจวินรู้สึกอยากร้องไห้ขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
นี่แน่นอนไม่ใช่เพราะคำพูดไม่กี่ประโยคของบัณฑิตกู้ผู้ไม่รู้ที่มา ไม่รู้ความคิดผู้นี้จึงจิตใจปั่นป่วนเช่นนี้ จิตใจนางปั่นป่วนอยากร้องไห้ทุกข์ระคนสุขก็เพราะอาจารย์
บุรุษที่หายไปจากในชีวิตของนางแล้วแต่ก็ทั้งสำคัญปานนั้น ไม่มีที่ใดไม่อยู่คนนี้
“ไม่รู้เขายังอยู่บนโลกหรือไม่”
เสียงของบัณฑิตกู้พลันเอ่ยขึ้นด้านหลังอีกครั้ง
ราวกับเอ่ยถาม แล้วก็ราวกับพูดกับตนเอง
ก้าวเท้าของคุณหนูจวินชะงักวูบหนึ่งหันกลับไปมอง บัณฑิตกู้มือไพล่หลังลุกขึ้นยืน ยิ้มให้นาง ยกมือโบก
“ไปเถอะ ไปเถอะ” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินคำนับให้เขาอีกครั้ง หันหน้าจากไป
นางก้าวข้ามธรณีประตู เดินไปบนทางเดินปูหิน ขันทีสองคนด้านหน้านำทาง
เดือนสามทิวทัศน์วสันตฤดูเต็มเปี่ยม วังไหวอ๋องก็ใบไม้เขียวขจีบุปผาสีสันสดสวยด้วย
คุณหนูจวินทั้งดวงตาทั้งดวงใจกลับเหงาเศร้า
เขาไม่อยู่แล้ว
เขาไม่อยู่แล้ว
เขาไม่อยู่แล้ว
เขา…ไม่อยู่แล้ว
…
คุณหนูจวินรีบร้อนกลับมาถึงโรงหมอจิ่วหลิง นางรีบร้อนอยากลองอ่านจดหมายที่หลังจากตนเองเอาออกมายังวางอยู่ก้นสุดของหีบยาไม่ได้เปิดอ่านมาตลอดเล่มนั้น
รถม้าขององครักษ์เสื้อแพรยังไม่หยุดสนิท นางก็เปิดม่านรถกระโดดลงมาแล้ว ตรงดิ่งเข้าไปในโรงหมอจิ่วหลิง
“ข้ากลับมาแล้ว” คุณหนูจวินมองไปทางด้านในโถง
ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงเงียบสงบดังเช่นเดิม แต่ด้านในโถงกลับมีคนไม่น้อยยืนอยู่ เฉินชี ฟางจิ่นซิ่ว หลิ่วเอ๋อร์ บรรดาพนักงานรวมถึงผู้ดูแลใหญ่หลิ่วก็อยู่ ได้ยินเสียงหันกลับมา
สีหน้าของพวกเขาประหลาดใจ
ประหลาดใจเช่นนี้? ประหลาดใจที่นางกลับมาเร็วเช่นนี้หรือ?
คุณหนูจวินยิ้มให้พวกเขา
“ข้ากลับมาแล้ว” นางเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ร่างกายของไหวอ๋องฟื้นตัวดีมาก ไม่ต้องฝังเข็มดื่มยาแล้ว”
ไม่มีใครมีปฏิกิริยากับคำพูดของนาง กระทั่งหลิ่วเอ๋อร์ยังไม่กระโดดโลดเต้นร้องโหวกเหวกโวยวายโถมเข้ามา พวกเขายังคงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าประหลาดใจมองนาง
“เกิดอะไรขึ้น?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม ไม่เข้าใจอยู่บ้าง
เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วถอยหลีกไปหลายก้าว คุณหนูจวินมองเห็นหีบห่อพันผ้าสีแดงที่วางอยู่กลางโถง
นี่คือสิ่งใด?
“คุณหนูจวิน” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองนางสีหน้าพิกลเอ่ย “ใต้เท้าหัวหน้ากองพันลู่ต้องการรับท่านเป็นอนุภรรยาน่ะ ท่านรู้ไหม?”
อะไรนะรับข้าเป็นอนุภรรยา
คุณหนูจวินอึ้ง
อีกอย่าง นี่มันน้ำเสียงอะไร? ข้ารู้? ข้าจะรู้ได้อย่างไร?
บรรยากาศในโรงหมอจิ่วหลิงแปลกประหลาด
คุณหนูจวินมองหีบที่วางอยู่ในโถง
ผ้าสีแดงสดสื่อชัดถึงการเฉลิมฉลอง ไม่เข้ากับบรรยากาศประหลาดอย่างที่สุด
“นี่เป็นเรื่องเมื่อไร?” นางเอ่ยถาม
เห็นผีแล้วจริงๆ
นางเพิ่งจากไปไม่ถึงครึ่งวัน ทำไมเกิดเรื่องนี้ได้?
สิ้นเสียงวาจาของนาง เฉินชีโล่งอก ยกนิ้วโป้งให้ฟางจิ่นซิ่ว
“จิ่นซิ่วพูดถูกจริงๆ คุณหนูจวินต้องไม่รู้เรื่องนี้แน่” เขาเอ่ย
นางย่อมไม่รู้
เรื่องนี้บ้าบอเกินไปแล้วจริงๆ
แต่หากลองคิดๆ ดูก็ไม่นับว่าบ้าบอเกินไปนัก สายตาของคุณหนูจวินกวาดผ่านคนไม่กี่คนในที่นั้น
เฉินชีพูดว่าฟางจิ่นซิ่วบอกว่าตนเองต้องไม่รู้แน่ หรือก็คือบอกว่านางมั่นใจว่าเรื่องลู่อวิ๋นฉีรับอนุภรรยาไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง
ความคิดเช่นนี้พูดขึ้นมาง่ายแต่ไม่ใช่คนทุกคนจะคิดเช่นนี้ได้เอง
นางอยู่ที่วังไหวอ๋องหนึ่งเดือน หัวหน้ากองพันลู่ในฐานะพี่เขยของไหวอ๋องก็ย่อมวันคืนไม่ห่าง ต่อมานางยังไปอยู่ที่วัดกวงหวาเกือบจะสองเดือน หัวหน้ากองพันลู่ในฐานะองครักษ์เสื้อแพรก็รับพระบัญชาอยู่ที่วัดกวงหวาสองเดือนเช่นกัน บวกกับก่อนหน้านี้ทั้งสองคนขัดแย้งกันค่อนข้างรุนแรงท่ามกลางการจับจ้องของชาวบ้านทั้งเมือง
สำหรับบรรดาชาวบ้านแล้วชายหญิงอายุน้อยขัดแย้งกันรุนแรงไม่นับเป็นอะไร บางทีอาจเป็นเรื่องเล่างดงามเรื่องหนึ่งก็ได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากนั้นสองคนยังพบปะ ติดต่อกันเป็นเวลายาวนานเช่นนี้ด้วย
โรคของไหวอ๋องรักษาหายดี ประสบความลำบากในที่สุดเอาชนะฝีดาษ เรื่องครอบครัวเรื่องบ้านเมืองล้วนน่ายินดี นอกจากนี้เช้าวันนี้เขายังมาเชิญไปวังไหวอ๋องด้วยกัน เป็นห่วงเป็นใยไหวอ๋อง ในฐานะผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตไหวอ๋อง องค์หญิงจิ่วหลีย่อมต้องขอบคุณและเคารพเลื่อมใสอย่างที่สุดเช่นกัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ หัวหน้ากองพันลู่ส่งสินสอดมา น่าจะเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลและงดงามเรื่องหนึ่ง ถึงขนาดอาจถูกคิดว่านี่คือเรื่องที่ระหว่างพวกเขาตกลงกันไว้ก่อนแล้ว
ดังนั้นถึงมีน้ำเสียงหยั่งเชิงถามเช่นนั้นของผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ถึงมีความโล่งอกของเฉินชี
คุณหนูจวินมองสินสอดนี่ คิ้วขมวด
เล่นอะไรกัน!
เรื่องนี้ไม่มีที่มาที่ไปเกินไปแล้ว แต่ลองคิดดูก็สมเหตุสมผลได้อีก
ไม่แปลกที่ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกับเฉินชีคิดเช่นนี้
แน่นอนนอกจากฟางจิ่นซิ่ว
ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้ว
“นั่นเป็นพวกเจ้าไม่รู้จักนาง” นางเอ่ย “จวินเจินเจินคนเช่นนี้จะไปเป็นอนุภรรยาของผู้อื่นได้อย่างไร”
“ใช่ไหมเล่า” หลิ่วเอ๋อร์ก็เอ่ยตาม “ต่อให้ต้องแต่ง คุณหนูของพวกเราก็ต้องเป็นภรรยา องค์หญิงก็ไม่ได้”
ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วร้องเฮ้ยทีหนึ่ง สาวใช้ไม่รู้ความคนนี้พูดส่งเดชไปไหนแล้ว
“คุณหนูจวิน นี่ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เขาเอ่ยถาม สีหน้าจริงจัง “ท่านเดิมทีไม่รู้หรือ”
“ข้าย่อมไม่รู้” นางเอ่ย
หลายวันนี้ลู่อวิ๋นฉีนอกจากสายตาจับจ้องนางก็ไม่ได้เข้าใกล้นางอีก ยิ่งไม่เคยพูดจาอะไรกัน แม้เขาเหมือนมีวาจาอยากจะพูด สายตาที่จับจ้องนางก็ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ แต่ไม่คิดจริงๆ ว่าเขาจะทำเรื่องพรรค์นี้ออกมา
ก็พูดไม่ได้แน่นอนเช่นนั้น ที่จริงนางรู้ว่าทำไมลู่อวิ๋นฉีทำเรื่องเช่นนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่าจะกะทันหันปานนี้
นางมองไปยังทิศทางหนึ่ง นั่นคือคฤหาสน์ส่วนตัวของลู่อวิ๋นฉี บรรดาผู้หญิงที่เลี้ยงดูไว้เหล่านั้น บรรดาผู้หญิงที่องคาพยพบ้างรูปร่างบ้างเสียงคล้ายคลึงกับองค์หญิงจิ่วหลิง
พูดถึงคล้ายคลึง แม้หน้าตานางไม่เหมือนแล้ว แต่หากนางปรารถนา บนโลกนี้ยังมีใครเหมือนองค์หญิงจิ่วหลิงได้มากยิ่งกว่านางอีก
เรื่องนั้นหยุดลู่อวิ๋นฉีไม่ให้เค้นถามสงสัยแรงจูงใจของนาง แต่กลับดึงความสนใจของเขามาอย่างสิ้นเชิง
แม้เขาไม่ไล่ตามอีก ไม่สอดส่องอีก แต่เหมือนที่บัณฑิตกู้พูดวันนี้เช่นนั้น
“หัวหน้ากองพันลู่คนเช่นนี้จะไม่ไปคาดเดาอะไร เป็นแต่ลงมือทำเท่านั้น”
เขาทำเรื่องน่าสะอิดสะเอียนเช่นนี้ออกมาก็ไม่แปลกอะไรเหมือนกัน
“โอ้ นี่ไม่แปลก !” เฉินชีก็ตบมือท่าทางเข้าอกเข้าใจเช่นกัน “ในเมื่อคุณหนูจวินไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็เข้าใจได้แล้ว”
ทำไมพูดว่าเข้าใจแล้ว
คนในห้องมองไปทางเขา
“เข้าใจง่ายออก” เฉินชีเอ่ย ยื่นมือชี้ป้ายสำนักนอกประตู “หัวหน้ากองพันลู่คนนี้มีความแค้นกับโรงหมอจิ่วหลิงของพวกเรา เขาตั้งใจจะทำลายป้ายโรงหมอจิ่วหลิงของพวกเรา เพียงแต่ครั้งก่อนไม่สมหวัง วันนี้คุณหนูจวินรักษาไหวอ๋องหายก่อน ตอนนี้ยังปราบฝีดาษอีก นั่นย่อมชื่อเสียงเพิ่มมากมาย ฮ่องเต้พระราชทานรางวัล ชาวบ้านก็เคารพปกป้อง หัวหน้ากองพันลู่เขาจึงยิ่งไม่มีวิธีระรานแล้ว”
เขาพูดพลางเดินหลายก้าว สายตาของทุกคนติดตามเขาไป
“ดังนั้นหัวหน้ากองพันลู่จึงคิดวิธีเช่นนี้ขึ้น” เขาหยุดสีหน้าโกรธเกรี้ยว ชี้คุณหนูจวิน “บอกว่าจะรับคุณหนูจวินเป็นอนุภรรยา”
“เช่นนี้คุณหนูก็ไม่อาจเปิดโรงหมอได้อีกแล้วหรือ?” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ยถาม
เฉินชีส่ายนิ้วให้นาง
“ไร้เดียงสา” เขาเอ่ย “เจ้าคิดว่าหัวหน้ากองพันลู่บุรุษเช่นนี้จะขังคนไว้จัดการปัญหาง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?”
หลิ่วเอ๋อร์เบะปาก
“เขาย่อมไม่ใช่จะรับคุณหนูจวินเป็นอนุภรรยาจริงๆ” เฉินชีสีหน้าถมึงทึงเอ่ย “เขาจะทำลายชื่อเสียงของคุณหนูจวิน”
คุณหนูจวินเป็นหมอคนหนึ่ง นอกจากนี้เป็นหมอหญิงคนหนึ่ง ตอนนี้เท้าแรกรักษาโรคให้ไหวอ๋อง เท้าหลังก็ถูกพี่เขยของไหวอ๋องต้องตารับเข้าบ้าน นี่หากแพร่ออกไป ทุกคนจะคิดอย่างไร?
ปฏิกิริยาของทุกคนคงจะเหมือนผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ถึงขนาดยิ่งไม่น่าฟังยิ่งกว่า จะคิดว่าหัวหน้ากองพันลู่กับคุณหนูจวินทำเรื่องไม่งาม
ต่อให้เป็นผู้มีพระคุณรักษาไหวอ๋องหายดี องค์หญิงจิ่วหลีก็คงไม่ยินดีเห็นสามีของตนเองถูกล่อลวงกระมัง
“คุณหนูของข้าไม่ตกลงไม่ใช่ก็พิสูจน์แล้วรึว่าไม่มีเรื่องนี้” หลิ่วเอ๋อร์เอ่ย
สีหน้าคนในห้องโถงกลับไม่ผ่อนคลายลงสักนิด
“ไม่ตกลงย่อมไม่ตกลง แต่ไม่ตกลงก็ไม่แน่ว่าจะเกิดประโยชน์” เฉินชีเอ่ย
“ผู้ดูแลใหญ่เฉินกล่าวถูกต้อง” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ย “วิธีการชั้นต่ำที่ขี้โกงเช่นนี้ชั่วร้ายเช่นนี้ เป็นรูปแบบของพวกเขาจริงๆ”
พวกเขาย่อมหมายถึงองครักษ์เสื้อแพร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณหนูจวินยังอาศัยการรักษาโรคให้บรรดาหญิงสาวในเรือนในก่อตั้งสำนักสร้างชื่อ ไปในบ้านคนรักษาครั้งหนึ่งก็ถูกผู้ชายในบ้านต้องตา ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้ใครยังกล้าเชิญนางไปรักษาโรคอีก
หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตา
“คุณหนูของข้าหน้าตาดีคนก็ดี ถูกคนชมชอบย่อมสมควร เกี่ยวอะไรกับคุณหนูของข้า หรือเพื่อไปรักษาโรคให้คนต้องทำลายโฉมหน้าเรอะ” นางเอ่ย “ไม่สั่งสอนผู้ชายของตัวเอง กลับมาริษยาชิงชังคุณหนูของข้า ถ้าอย่างนั้นคนพวกนี้ก็ป่วยตายไปดีแล้ว ใครสนพวกนางเล่า”
นั่นก็ใช่ เฉินชีกับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองหลิ่วเอ๋อร์ไร้วาจาไปชั่วครู่ คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“ใช่แล้ว ใครสนใจ” นางเอ่ย ยื่นมือลูบศีรษะของหลิ่วเอ๋อร์
บรรยากาศในโถงเพราะเสียงหัวเราะของนางจึงผ่อนคลายขึ้นหลายส่วน บางทีอาจเพราะยืนยันแล้วว่านี่ไม่ใช่สองฝ่ายชอบพอกันแต่เป็นแผนร้าย
…
ในสำนักแพทย์หลวงเจียงโหย่วซู่ตกตะลึงอยู่บ้างมองศิษย์
“เจ้าว่าอะไรนะ?” เขาเอ่ยถาม “ใต้เท้าลู่ส่งอะไรไปที่โรงหมอจิ่วหลิงนะ?”
ท่านหมอเกิ่งสีหน้าพิกล
“ส่งสินสอด” เขากดเสียงเบาเอ่ยยักคิ้วหลิ่วตา
เจียงโหย่วซู่ชั่วขณะตามไม่ทัน
“ทำไม?” เขาเอ่ย
ท่านหมอเกิ่งหัวเราะหึหึแล้ว
“แน่นอนเป็นคุณหนูจวินร้ายกาจสิ รักษาโรคที่วังไหวอ๋องหนึ่งเดือนนี้ อยู่ที่วัดกวงหวาสองเดือน ไม่เพียงรักษาไหวอ๋องหายดี ช่วยชาวประชา ยังตกได้หัวหน้ากองพันลู่ด้วย” เขาเอ่ย
เจียงโหย่วซู่ตอนนี้ถึงได้สติ สีหน้าอึ้งจากนั้นทำหน้ารังเกียจ
“ยุ่งเหยิงวุ่นวายอะไรกัน อะไรกัน” เขาเอ่ย “บ้าบอ”
ท่านหมอเกิ่งหัวเราะหึหึ
“อาจารย์ ท่านผู้เฒ่าใจเมตตาเป็นหมอ ไม่รู้ความคิดของบรรดาแม่นางน้อยเยาว์วัยเหล่านี้” เขาเอ่ย “นี่สำหรับพวกนางแล้วก็เป็นความสามารถเหมือนกัน นั่นเป็นถึงหัวหน้ากองพันลู่…”
เขาพูดพลางลูบคาง
“หัวหน้ากองพันลู่พูดไปแล้วก็แค่ชื่อเสียงน่ากลัว ที่จริงหน้าตาก็ไม่เลว นอกจากนี้ตำแหน่งสูงอำนาจมาก ติดตามเขาย่อมมีศักดิ์ศรีร่ำรวย ไก่สุนัขขึ้นสวรรค์ หัวหน้ากองพันลู่เลี้ยงผู้หญิงมากมายขนาดนั้นข้างนอก แต่ล้วนเป็นของเล่นที่ผู้อื่นส่งมา กระทั่งเมียเก็บยังนับไม่ได้ นี่เพิ่งเป็นครั้งแรกที่ส่งสินสอด คุณหนูจวินคนนี้มีความสามารถมากจริงๆ”
เจียงโหย่วซู่สีหน้าถมึงทึง ฉับพลันก็หัวเราะ
หัวหน้ากองพันลู่ถูกแม่นางน้อยตกได้?
หัวหน้ากองพันลู่เป็นคนเช่นนี้หรือ? นั่นน่าหัวเราะเกินไปแล้วจริงๆ
“ข้าก็บอกตั้งนานแล้วว่าหัวหน้ากองพันลู่ไม่ใช่คนเช่นนี้” เขาเอ่ย “ไม่ต้องลงมือก็งั้นๆ ลงมือปุบก็ทำให้คนสะอิดสะเอียนจริงๆ”
เจ้าสูงส่งบริสุทธิ์ทรงคุณธรรม เจ้าช่วยโลกช่วยชาวประชาแล้วอย่างไร?
มือที่ยื่นออกมาจากบ่อโคลนข้างหนึ่งเพียงแค่ดึงแค่นั้นก็สะบัดคราบสกปรกเน่าเหม็นใส่เจ้าได้แล้ว
“คนดีต้องให้คนชั่วบดขยี้จริงๆ” ความแค้นที่สั่งสมมาหลายวันกลางหว่างคิ้วของเจียงโหย่วซู่ถูกกวาดทีเดียวหมดเกลี้ยง พารอยยิ้มบางๆ ลูบเคราเอนพิงพนักเก้าอี้ “พวกเราจัดการคุณหนูจวินคนนี้ไม่ได้ ต่อไปก็มอบให้หัวหน้ากองพันลู่เถอะ”
……………………………………….