Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 61 มีอย่างที่ไหน
จูจั้นกับลู่อวิ๋นฉีตีกัน?
บุตรชายเฉิงกั๋วกงกับลู่อวิ๋นฉีตีกันเหมือนจะไม่มีอะไรแปลก ได้ยินว่าทั้งสองคนเป็นอริกัน พบหน้าก็ตี
ครั้งนี้ก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง
“ถ้าอย่างนั้นรอพวกเขาตีกันเสร็จ พวกเจ้าค่อยโยนสินสอดกลับไป” เฉินชีเอ่ย
พนักงานสีหน้าพิกลนิดๆ
“แต่ สินสอดนั่นถูกบุตรชายเฉิงกั๋วกงลากไปแล้ว” เขาเอ่ย
เฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วตะลึง อดไม่ได้เอี้ยวศีรษะมองมาทางคุณหนูจวิน
หรือว่า….
บุตรชายเฉิงกั๋วกงตีกับลู่อวิ๋นฉี ก็เป็นเพราะคุณหนูจวิน? เหมือนกับครั้งก่อนอย่างนั้น?
…
นอกประตูกรมสืบสวนฝ่ายเหนือที่บรรดาขุนนางเดินผ่านล้วนกลั้นลมหายใจเงียบเสียง ตลอดมาคนก็น้อยนัก เวลานี้เอะอะครึกครื้น
เสียงโครมครามดังสะเปสะปะ หีบใบหนึ่งถูกเขวี้ยงใส่ประตูใหญ่สีดำเทาของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ
หีบกลิ้งตกลงบนพื้น แม้ไม่ปริแตก ฝาปิดก็หล่นเปิดเงินทองอัญมณีด้านในกระจายร่วงเต็มพื้น
เท้าที่สวมรองเท้าบู้ตสีดำเปรอะดินโคลนเต็มไปหมดข้างหนึ่งเหยียบลงบนอัญมณีเหล่านี้ เหยียบจนมันส่งเสียงแกรกกราก
“ลู่อวิ๋นฉี ไสหัวออกมา” จูจั้นเปล่งเสียงตะโกน ในมือหิ้วหีบใบหนึ่งไว้ จากนั้นก็ตะโกนยกมือเขวี้ยงเข้ามา
หีบพุ่งผ่านประตูใหญ่ตกลงในลาน เสียงดังสนั่น ถ้วยเงินถ้วยทองกลิ้งบนพื้นหินเขียว ตกอยู่แทบเท้าคนผู้หนึ่ง
ชุดปลาบินสีแดงสดใต้แสงตะวันสีสดจับตา กลบเครื่องเงินเครื่องทองที่ทอประกายดึงสายตาซึ่งร่วงอยู่ใต้เท้า
ลู่อวิ๋นฉียืนนิ่งไม่ขยับ มองจูจั้นด้านนอกประตู
จูจั้นสวมอาภรณ์ผ้าเนื้อหยาบชุดหนึ่ง หน้าตามอมแมมเหนื่อยล้า แต่นี่ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับท่าทางคุกคามของเขา
“เจ้าตัวหน้าไม่อาย” เขาตะโกนด่า ยกเท้าจะก้าวเข้าประตู
ด้านในประตูองครักษ์เสื้อแพรสิบกว่าคนแห่เข้ามาพร้อมเพรียง ดาบปักวสันต์ในมือชี้ตรงมาที่จูจั้น
จูจั้นหยุดก็ไม่หยุด แขนยาวสะบัดทีหนึ่ง คนประหนึ่งศิลายักษ์ก้อนหนึ่งพุ่งตรงชนเข้าใส่คมดาบ
องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งถูกชนกระเด็น ดาบขององครักษ์เสื้อแพรถูกจับไว้ ดาบหมุนเข้าใส่องครักษ์เสื้อแพรอีกคน
คนชนคน ดาบชนดาบ คนล้มกลิ้ง ดาบปลิวร่วง
องครักษ์เสื้อแพรสิบกว่าคนที่ขวางประตูอยู่พริบตาเดียวถูกแหวกออก จูจั้นมาถึงตรงหน้าลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉีไม่ถอยไม่หลบ ยกมือตรงเข้าไปประจันกับจูจั้น
คนที่หลบอยู่นอกประตูแอบดูเหมือนจะได้ยินเสียงเนื้อกระดูกกระทบกัน ดูเจ็บจนทุกคนล้วนอดไม่ได้หลับตาทนดูตรงๆ ไม่ได้
คนที่ล้อมเข้ามายิ่งมากขึ้นทุกที ส่วนมากเป็นคนในกรมข้างเคียง เห็นสองคนที่สู้ติดพันกันอยู่ในลาน สีหน้าตะลึงงัน
“นี่เกิดอะไรขึ้น?” พวกเขาเอ่ยถามเสียงเบา
ไม่มีใครให้คำตอบ สายตาของทุกคนล้วนจับอยู่บนรถม้าด้านข้างรวมถึงบนตัวของข้ารับใช้หลายคน
บนรถม้ามีตราสัญลักษณ์ของโรงหมอจิ่วหลิง บนรถม้ายังเหลือหีบของขวัญที่ห่อด้วยผ้าไหมแดงหลายหีบ
เด็กรับใช้ที่ม้วนแขนเสื้ออยู่หลายคนสีหน้านิ่งสนิท
นี่…..
บรรดาขุนนางที่อยู่ในเหตุการณ์คิดถึงเรื่องหนึ่งทันที
ไม่ใช่กระมัง…
ไม่ใช่กระมัง…
เฉินชีที่เร่งมามองเห็นภาพตรงหน้ากลืนน้ำลาย
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เขาเบียดเข้ามามองเหล่าพนักงานเอ่ยถามเสียงเบา
บรรดาพนักงานมองเห็นเขาในที่สุดก็สงบจิตใจลงได้
“พวกเราก็ไม่ทราบขอรับ พวกเราเดิมทีจะไปจวนสกุลลู่ บุตรชายเฉิงกั๋วกงอยู่ดีๆ ก็เข้ามา ให้พวกเราขับรถมาถึงที่นี่ หลังจากนั้นก็…” พวกเขาแย่งกันพูด ยื่นมือชี้ประตูกรม
หีบที่ร่วงกระจัดกระจาย ในลานยังมีคนสองคนตีกันอยู่
เสียงฝีเท้าสับสนดังขึ้น คนมากกว่าเดิมแห่มาจากอีกด้านหนึ่ง ผู้ที่มาคือทหารของกรมทหารม้าห้าเมือง
นี่คือได้ข่าวจึงมารักษาระเบียบแล้ว
“ทำอะไรกัน ทำอะไรกัน?” แม่ทัพที่นำหน้าร้องตะโกน “ถึงกับกล้ารวมตัวก่อเรื่องที่นี้ หายากจริงๆ”
หายากจริงๆ
ประตูกรมสืบสวนฝ่ายเหนือทุกคนหลบยังหลบไม่ทัน ถึงกับมีวันหนึ่งมีคนมาตีกันที่นี่
บรรดาทหารไล่คนที่ยืนอยู่หน้าประตูกรม
“หยุดให้หมด! มีอย่างที่ไหน! ไม่เข้าท่า!” แม่ทัพตวาด สีหน้าเคร่งขรึม
ทว่าเวลานี้ด้านในประตูกรมสืบสวนฝ่ายเหนือ องครักษ์เสื้อแพรมากกว่าเดิมแห่เข้ามาหาคนสองคนที่สู้ติดพันกันอยู่ ปกป้องลู่อวิ๋นฉี ทำร้ายจูจั้น
แม่ทัพด้านนอกมองเห็นปุบ
“แม่โว้ย!” เขาร้อง “คนมากมายขนาดนี้ทำร้ายคนๆ เดียว หน้าไม่อายเกินไปแล้ว”
เขาร้องกระโดดลงจากม้า พุ่งเข้าไปดุจพยัคฆ์ดุจหมาป่า
เขาพุ่งเข้าไป บรรดาทหารย่อมไม่ล้าหลังร้องตะโกรพุ่งเข้าไปด้วย แทบจะชนประตูใหญ่ของกรมสืบสวนฝ่ายเหนือคว่ำ
ประตูกรมสืบสวนฝ่ายเหนือโกลาหลสู้กันชุลมุนรุมกันเป็นก้อน
คนบนถนนตาโตอ้าปากค้าง
คนเหล่านี้ไม่ใช่มาแยกคนทะเลาะกัน รักษาความเป็นระเบียบหรือ? ทำไมตามไปตีกันด้วยแล้วเล่า?
มีอย่างที่ไหน! ไม่เข้าท่า!
ที่นี่อย่างไรก็เป็นข้างวังหลวง กระดานทองประกาศต่อสาธารณะแล้ว ต่อไปยังมีเรื่องมากมายต้องตระเตรียม คืนวานขุนนางนับไม่ถ้วนวิ่งวุ่นไม่ได้แยกย้าย ข่าวเรื่องวุ่นวายด้านนี้แจ้งเข้ามาอย่างรวดเร็ว กองทหารองครักษ์เคลื่อนไหว ขุนนางกลุ่มหนึ่งที่ทนไม่ได้นอนมาหนึ่งคืนก็สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวมาเช่นกัน
เมื่อพวกเขามาถึง การต่อสู้วุ่นวายด้านนี้ในที่สุดก็ถูกหยุดลง สองฝ่ายถูกแยกออก การรบราด้วยคำด่ายังไม่หยุด
“ไอ้คนแซ่ลู่ เจ้ามันตัวหน้าไม่อาย!” จูจั้นเอ่ยด่า ชี้ลู่อวิ๋นฉี
เมื่อเขาด่าออกมา แม้ไม่รู้ว่าทำไมต้องด่า ทหารกลุ่มหนึ่งก็ไม่ลังเลสักนิดด่าตามมาติดๆ
“หน้าไม่อาย”
เทียบกับจูจั้นที่ปลอดภัยไม่เป็นไร ลู่อวิ๋นฉีสะบักสะบอมกว่านิดหน่อย เขายกมือเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก ยังคงเงียบงันไม่พูดจาเหมือนวันวาน
เขาเงียบ เหล่าองครักษ์เสื้อแพรข้างตัวแม้สีหน้าทะมึนแต่ก็ไม่ส่งเสียงเช่นกัน
“พอแล้ว!”
ผู้ช่วยราชเลขาธิการที่ได้ข่าวเร่งเดินทางมา หน้าดำตะโกน
“มีอย่างที่ไหน!”
จูจั้นพยักหน้า ยื่นมือไปทางลู่อวิ๋นฉี
“ไม่ผิด มีอย่างที่ไหน” เขาตะโกนตามด้วย
เขาอ้าปาก บรรดาทหารก็ตะโกนตามด้วยเช่นกัน
“มีอย่างที่ไหน”
ภาพนี้ทำให้คนที่ล้อมดูอยู่ด้านนอกกลั้นหัวเราะไม่อยู่ส่งเสียงออกมา สีหน้าของพวกขุนนางเช่นผู้ช่วยราชเลขาธิการดำเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
บุตรชายเฉิงกั๋วกงก่อกวนเล่นเล่ห์เก่งที่สุด คนในราชสำนักต่างรู้
“จูจั้น เจ้าทำไมมาทะเลาะก่อเรื่องที่นี่?” ผู้ช่วยราชเลขาธิการตวาด
“เพราะเขาหน้าไม่อาย” จูจั้นไม่ลังเลสักนิดเอ่ยตอบ
“เขาทำอะไรหน้าไม่อายเล่า?” ผู้ช่วยราชเลขาธิการตวาด
จูจั้นมองหน้าผู้ช่วยราชเลขาธิการอย่างตั้งใจ
“ใต้เท้าไป๋ เขาทำอะไรก็หน้าไม่อาย” เขาเอ่ย
ชาวบ้านที่ล้อมดูอยู่เสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้งทันที ลู่อวิ๋นฉีมองมาด้านนี้ บรรดาองครักษ์เสื้อแพรย่อมมองตามเขามาด้วย เสียงหัวเราะด้านนอกฉับพลันเงียบ ประหนึ่งหยดน้ำพริบตาถูกความเย็นแช่แข็ง
มีเสียงฝีเท้าม้าเร่งรีบดังมาอีก ผู้คนมองไปเห็นขันทีหลายคนเข้ามา
ระยะห่างจากฝั่งนี้กับวังหลวงใกล้ขนาดนี้ แล้วยังเกิดเรื่องที่กรมสืบสวนฝ่ายเหนืออีก ฮ่องเต้ต้องทรงทราบแล้วแน่
“ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ขันทีที่เป็นหัวหน้าตะโกนเสียงแหลม
มองเห็นขันทีผู้นี้ จูจั้นก็พุ่งเข้าไปทันที มองซ้ายมองขวา
“เห? ตู้กงกงเล่า?” เขาเอ่ยถาม
ขันทีกลอกตา ตู้กงกงเจ้าหนูนี่วิ่งเร็วนัก ได้ยินว่าเป็นเรื่องของบุตรชายเฉิงกั๋วกงก็หนีไปเข้าส้วมแล้ว ตรงหน้าฮ่องเต้เหลือเพียงตนคนเดียว ได้แต่ก้มหน้าย่อมรับโชคร้ายมาเยือน
ไม่รอเขาเอ่ยวาจา จูจั้นก็ไม่เกรงใจสักนิดคว้าแขนของเขา
“หลิวกงกง ข้าถูกใส่ร้าย” เขาตะโกน “ข้าต้องการเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
หลิวกงกงหัวเราะแห้งๆ สองที
“ท่านชาย ฝ่าบาทตรัสว่ามีคำใดท่านก็พูดเสียที่นี่” เขาเอ่ย “พวกท่านทะเลาะกันต่อหน้าผู้คนได้ ย่อมพูดต่อหน้าผู้คนได้เช่นกัน”
เขาพูดคำนี้ก็ออกแรงสะบัดแขนที่ถูกจูจั้นจับไว้ แต่ไม่เป็นผล
มือของจูจั้นประหนึ่งคีมเหล็กนิ่งสนิท นอกจากนี้ไม่ทำให้เขารู้สึกเจ็บจนกระทั่งความโกรธก็แสดงออกไปไม่ได้
“ข้าไม่มีทางทำเรื่องปิดบังฮ่องเต้พรรค์นี้เด็ดขาด” จูจั้นตะโกนเอ่ย “ข้าจะเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
คนที่ล้อมดูอยู่กลั้นหัวเราะไม่อยู่อีกครั้ง
ก็มีแต่จูจั้นคนเช่นนี้จึงเล่นกลเจ้าเล่ห์เช่นนี้ได้
เสียงเอะอะด้านนี้ทำให้คนผู้หนึ่งที่เดินออกมาจากกรม หยุดเท้า
“ด้านนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หนิงเหยียนเอ่ยถาม ขมวดคิ้วเล็กน้อย
หนิงอวิ๋นเจาที่ตามอยู่หลังร่างหนิงเหยียนได้ยินเสียง ก็เงยหน้ามองข้ามไปเหมือนกัน
……………………………………….