Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 68 แจ้งข่าวดีก่อนเรื่องน่ากังวลซ่อนไว้ชั่วคราว
ห้องหนังสือยามดึก สองสามีภรรยานั่งประจันหน้ากลัดกลุ้ม ดอกไม้สดที่วางไว้บนโต๊ะด้านข้างไหวไปตามสายลมยามค่ำคืน ส่งกลิ่นหอมออกมา
นี่คือดอกไม้สดที่วันนี้วางไว้เป็นพิเศษ ไม่เพียงแค่ในห้องหนังสือของหนิงเหยียน ในจวนตระกูลหนิงล้วนจัดวางใหม่ทั้งหมด วางดอกไม้สด แขวนผ้าไหมแดง เพื่อฉลองให้ชื่อบนกระดานทองของหนิงอวิ๋นเจา
แต่ตอนนี้นดอกไม้สดผ้าไหมแดงล้วนอยู่ แต่ไม่มีบรรยากาศของการฉลองสักนิด
“ตอนนั้นทำไมท่านไม่ห้ามเขา” นายหญิงรองหนิงกล่าวโทษอยู่บ้าง
หนิงเหยียนขมวดคิ้ว
“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะทำเรื่องแบบนี้” เขาเอ่ย “ตอนนั้นก็คุยกันอยู่ดีๆ”
สัญญาณล่วงหน้าสักนิดก็ไม่มีจริงๆ
นอกจากนี้ตอนนั้นที่พวกเขาคุยกันยังเป็นท่าทีกับเป้าหมายของฮ่องเต้ในเรื่องนี้อีกด้วย
ผลลัพธ์ที่ตามมาของเรื่องนี้คนอื่นไม่รู้ชัด หนิงอวิ๋นเจาไม่รู้ชัดได้หรือ?
คิดอย่างไรก็ไม่ควรทำเช่นนี้นะ
ทำไมคุยกันอยู่ดีๆ กะทันหันก็ก้าวออกไปแล้ว
หนิงเหยียนทุกครั้งที่ย้อนคิดก็รู้สึกเหมือนฝันอยู่
“อวิ๋นเจาไม่ใช่คนที่พาปัญหามาให้ครอบครัวพวกนั้นสักหน่อย” นายหญิงรองหนิงก็คิดไม่เข้าใจเช่นกัน
ประโยคนี้ของนางกลับเตือนหนิงเหยียน
“เพราเขาไม่รู้สึกว่านี่สร้างปัญหาให้ครอบครัว” หนิงเหยียนยิ้มอับจนหนทางอยู่บ้างเอ่ยขึ้น
นายหญิงรองหนิงย่อมรู้คำพูดเหล่านั้นที่หนิงอวิ๋นเจาพูด สีหน้ายุ่งยากเหมือนกัน
“ตอนนั้นไม่ก้าวออกไปจะร้ายแรงปานนั้นอย่างที่เขาพูดหรือ?” นางเอ่ย
นั่นใครจะรู้เล่า ไม่มีถ้าหากประการนี้แล้ว
หนิงเหยียนเคาะโต๊ะ
“นั่นไม่สำคัญแล้ว” เขาพรูลมหายใจเอ่ย “ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือพวกเราไม่อาจปฏิเสธ ไม่เช่นนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมร้ายแรงจริงๆ แล้ว”
จอหงวนคนใหม่แย่งชิงผู้หญิงกับคนอื่น ถ้าอย่างนั้นตระกูลหนิงคงกลายเป็นเรื่องตลกจริงๆ แล้ว ขุนนางยื่นฎีกากล่าวโทษ ฮ่องเต้พิโรธ ล้วนทำให้ตระกูลหนิงไฟไหม้ศีรษะได้ทั้งสิ้น
“ถ้าอย่างนั้นก็ยอมรับจริงๆ รึ?” นายหญิงรองหนิงเอ่ย
“ยอมรับสิ” หนิงเหยียนตอบ “นอกจากนี้ยังต้องยอมรับจริงๆ ด้วย ต่อให้ในบ้านก็ต้องรักษาความลับเหมือนกัน”
นี่มันเรื่องอะไรกัน นายหญิงรองหนิงยื่นมือบีบนวดหว่างคิ้ว
“พี่สะใภ้ใหญ่เตรียมรอหลังกระดานทองประกาศชื่อก็จะหาคู่ให้อวิ๋นเจาอยู่แล้ว เร่งแต่งงานให้ทันฤดูใบไม้ร่วง รอปีหน้าก็จะอุ้มหลาน” นางเอ่ย “คราวนี้ดี…”
พูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเขาคิดจะหลอกนานเท่าไร? อวิ๋นเจาของพวกเราลากนานไม่ได้นะ”
หนิงเหยียนลูบเครา
“ที่จริง ทำจริงก็ได้” เขาเอ่ย
นายหญิงรองหนิงยกมือตีแขนเขาทีหนึ่ง
“นายท่าน ท่านพูดอะไรเนี่ย!” นางแหวเสียงสูง
หนิงเหยียนกระแอมทีหนึ่ง
“ที่จริงพูดขึ้นมา คุณหนูจวินคนนี้ก็ไม่เลว พฤติกรรมบ้าบอที่ได้ยินพวกเจ้าเล่าก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นเพราะอายุน้อย ตอนนี้ดูแล้ว…” เขาเอ่ย
“ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่ไหว” นายหญิงรองหนิงขัดเขาทันที “นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
มองหนิงเหยียน
“ข้ารู้อยู่แล้ว พวกท่านบุรุษเหล่านี้ชื่นชอบชั่งผลได้ผลเสียมากกว่า ไม่รู้จักแล้วก็ไม่ครุ่นคิดเรื่องความรู้สึกสักนิด”
หนิงเหยียนกระแอมทีหนึ่ง
นายหญิงรองหนิงไม่ให้โอกาสเขาพูด
“คุณหนูจวินคนนี้ตอนนี้ดีอีกเท่าไร พี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่มีทางเห็นด้วย” นางเอ่ย “คิดก็ไม่ต้องคิด”
อารมณ์ร้ายของนายหญิงใหญ่หนิง หนิงเหยียนย่อมรู้เช่นกัน บางเวลาคบหากับผู้หญิง ทำให้คนปวดหัวเสียยิ่งกว่าราชสำนักเสียอีก
หนิงเหยียนก้มศีรษะมองกระดาษจดหมายที่แผ่อยู่บนโต๊ะ
“ถ้าอย่างนั้นก็แจ้งข่าวดีก่อนเถอะ” เขาเอ่ย “ไม่อาจชักช้าได้อีกแล้ว”
ชักช้าอีก สารด่วนของทางการไปถึงแล้ว ของพวกเขาตระกูลตนยังไม่มาถึง
“ท่านจะบอกว่าเรื่องนี้ปิดบังพวกพี่สะใภ้ใหญ่ไว้ก่อนหรือ?” นายหญิงรองหนิงเอ่ย แล้วส่ายศีรษะอีกครั้ง “เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะปิดได้อย่างไร”
คุณหนูจวินปลูกฝีชื่อเสียงโด่งดัง หัวหน้ากองพันลู่ บุตรชายเฉิงกั๋วกง คนไหนไม่มีชื่อเสียงเลื่องลือบ้าง จอหงวนคนใหม่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง สี่คนนี้รวมอยู่ด้วยกันคงลือกันครึกโครมยิ่งกว่าแล้วก็ดึงความสนใจผู้คนยิ่งกว่าเรื่องจอหงวนคนใหม่
คิดดูก็รู้ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์เมื่อทุกคนเห็นหนิงอวิ๋นเจาในขบวนแห่ประดับบุปผาห้าวันให้หลังล้วนจะเป็นอะไร
หนิงเหยียนรู้สึกปวดหัวรุนแรงยิ่งกว่าเดิมแล้ว
“ปิดได้นานเท่าไรก็ปิดนานเท่านั้น เรื่องนี้พวกกเรากลับไปพูดกับพี่ใหญ่พี่สะใภ้ใหญ่ด้วยตนเอง” เขาเอ่ย
นายหญิงรองหนิงมองหนิงเหยียนยกพู่กันเขียนจดหมาย สีหน้ายุ่งยาก
เรื่องนี้ปิดได้ไม่นานแน่
นายหญิงใหญ่หนิงหลังได้ข่าวจะเป็นอย่างไร?
จดหมายของตระกูลหนิงช้ากว่าของเต๋อเซิ่งชางอยู่บ้าง จดหมายของตระกูลหนิงยังอยู่ระหว่างทาง ฟางเฉิงอวี่ก็ได้รับจดหมายแล้ว
“นี่เป็นข่าวดีจริงๆ เจ้าไม่ต้องไปเมืองหลวงแสร้งน่าสงสารแล้ว” ฟางอวี้ซิ่วฟังฟางเฉิงอวี่เล่า ลูบฝ่ามือเอ่ย
ด้านในห้องโถงของตระกูลฟางนอกจากฟางเฉิงอวี่ สตรีสองนางนั่งอยู่เช่นเดิม
ได้ยินฟางอวี้ซิ่วพูดว่าข่าวดี บนหน้าของพวกนางกลับไม่ดีใจ แต่เผยความตกตะลึงและความวิตกที่ไม่ได้เห็นมานานแล้วออกมา
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฟางอวิ๋นซิ่วเอ่ย สองมือกำเข้าด้วยกัน สีหน้าเคร่งเครียด
“นี่เป็นเรื่องดีนะ” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “คุณชายสิบหนิงจอหงวนคนนี้ออกหน้า น้องสาวย่อมไม่มีคนรังแกแล้ว เทียบกับน้องชายไปเมืองหลวงร่ำไห้ฟ้องว่าชาติกำเนิดน่าเวทนายังต้องถูกแย่งภรรยาอีก ได้ผลกว่ามากแล้ว”
พูดพลางมองฟางเฉิงอวี่ด้านข้าง
“ใช่หรือไม่เล่า เฉิงอวี่?”
ฟางเฉิงอวี่นั่งเอนกายอยู่บนเก้าอี้ ยิ้มพยักหน้า
“ใช่สิ ใช่สิ” เขาเอ่ย “นี่เป็นเรื่องดี คิดไม่ถึงคุณชายสิบหนิงจะออกหน้า คราวนี้ปัญหาล้วนคลี่คลายแล้ว”
ฟางอวิ๋นซิ่วได้ยินเขาพูดว่าปัญหาคลี่คลายแล้วก็โล่งอกประนมมือท่องอมิตตาพุทธทีหนึ่ง
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางยิ่งขมวดคิ้วแน่นแล้ว
“พวกเขาตระกูลหนิงคิดจะทำอะไร?” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยถามท่าทางระแวงอยู่บ้าง
“คุณชายสิบหนิงเขาหมายความว่ายังไง?” นายหญิงใหญ่ฟางก็เอ่ยถามเช่นกัน
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ลุกขึ้นนั่งตัวตรงบนเก้าอี้
“ท่านย่า ท่านแม่ พวกท่านพูดเช่นนี้ คุณชายสิบหนิงคงเสียใจ” เขาเอ่ย “เขาไม่มีเจตนาอื่น ก็แค่ช่วยจิ่วหลิง ฐานะของเขา แล้วยังมีเรื่องในอดีตกับจิ่วหลิง เหมาะสมที่สุด ไม่มีทางชักนำให้เกิดความสงสัย กดเรื่องนี้ลงไปได้”
“ข้าย่อมรู้ว่าฐานะของเขาเหมาะสมอย่างยิ่ง แล้วก็ทำได้สมเหตุสมผล” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ย สีหน้าระแวง “ข้าจะถามว่าทำไมเขาทำเช่นนี้?”
“ใช่แล้ว ทำไมเขาทำเช่นนี้?” นายหญิงใหญ่ฟางก็เอ่ยถามตามอีกครั้งด้วย
ฟางเฉิงอวี่เหมือนจะหมดหนทางอยู่บ้าง
“แน่นอนเพื่อช่วยจิ่วหลิง” เขาเอ่ย
“นั่นแหละ” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยอีกครั้งเช่นกัน “ทำไมเขาช่วยจิ่วหลิง?”
“นั่นแหละ เขาบ้าไปแล้วรึ?” นายหญิงใหญ่ฟางยิ่งเอ่ยออกมาตรงๆ
ฟางอวี้ซิ่วหัวเราะพรืดแล้ว
“ท่านย่า ท่านแม่ พวกท่านทำคุณชายสิบหนิงเสียใจมากจริงๆ แล้ว” นางเอ่ย “ในเมื่อบอกว่าช่วยเหลือ ถ้าอย่างนั้นย่อมต้องเป็นคิดดีเจตนาดี พวกท่านอย่าสงสัยผู้อื่นเช่นนี้เลย”
คิดดีเจตนาดี?
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางสีหน้ายังคงพิกล
คำนี้ใช้กับคุณชายสิบหนิงและคุณหนูจวิน ทำไมฟังดูแล้วพิกลปานนั้น?
คิดดีเจตนาดีมาจากไหน? เพราะอะไร? เพราะถอนหมั้นเป็นเรื่องตลก หรือเพราะที่หอจิ้นอวิ๋นทะเลาะกับคุณหนูตระกูลหนิงตระกูลหลิน คนหนึ่งแต่งงานคนหนึ่งแปดเปื้อนชื่อเสียงย่อยยับ?
“ท่านย่า ท่านแม่” ฟางอวี้ซิ่วยิ้มประคองมือของพวกนาง “พวกท่านไม่เชื่อคุณชายสิบหนิง ไม่เชื่อน้องสาวด้วยหรือ?”
นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางมองไปทางนาง
“นางยังบอกว่าเป็นการช่วยเหลือเลย ถ้าอย่างนั้นย่อมเป็นการช่วยเหลือแล้ว” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “นางเป็นคนฉลาดเฉลียวปานนั้น หากคุณชายสิบหนิงกระทำไม่ถูก นางจะเอ่ยเช่นนี้ได้อย่างไร?”
นั่นก็ใช่ นายหญิงผู้เฒ่าฟางกับนายหญิงใหญ่ฟางคลายกังวลพยักหน้า
“ดังนั้นเรื่องนี้ต้องเป็นน้องสาวกับคุณชายสิบหนิงหารือกันดีแล้วแน่” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย “ไม่แน่อาจเป็นความคิดของน้องสาวด้วยซ้ำ”
ไม่แน่อาจเป็นจวินเจินเจินบีบบังคับหรือวางแผนให้คุณชายสิบหนิงทำเช่นนี้
ในใจนายหญิงผู้เฒ่าฟางยังเอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค
เหมือนตอนแรกที่วางหลุมพรางให้เด็กสาวคนอื่นซื้อปิ่นไม้แดง ให้สาวๆ ตระกูลหนิงตระกูลหลินในหอจิ้นอวิ๋นยกหินทับเท้าตนเอง ให้อาลักษณ์หลินไม่กล้าพูดมากสักครึ่งประโยคแบบนั้น
“เด็กคนนี้ เรื่องแล้วเรื่องเล่าจริงๆ” นางเอ่ย แม้เอ่ยเช่นนี้ แต่ความวิตกกังวลบนใบหน้าล้วนสลายไปแล้ว “ข้าไม่ยุ่งแล้ว”
นายหญิงใหญ่ฟางก็ส่ายศีรษะด้วย พยุงนายหญิงผู้เฒ่าฟางจากไป
ด้านนี้เหลือพี่สาวน้องชายสามคน ฟางอวี้ซิ่วเดินไปข้างกายฟางเฉิงอวี่
“เสี่ยวอวี่เอ๋ย พี่สาวดีกับเจ้าไหมเล่า?” นางเลิกคิ้วยิ้มเอ่ย
อยู่ดีๆ พูดคำนี้ทำอะไร? ฟางอวิ๋นซิ่วมองนาง ไม่เข้าใจ
……………………………………….