Jun Jiu Ling หวนชะตารัก - ภาค 3 บทที่ 80 ระหว่างทางพบคนงาม
แต่ไม่ได้ยินสาวใช้คนนี้ถูกตำหนิ กลับเป็นเสียงหัวเราะของคุณหนูจวินลอยมา
ถึงกับยังหัวเราะออก ยามเฝ้าประตูส่ายศีรษะ ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้น หน้าประตูฟื้นกลับมาเงียบสงบ เขาก็พรูลมหายใจทั้งยังท่าทางเศร้าโศกอยู่บ้าง
ใครก็ไม่อยากเป็นเช่นนี้หรอก ได้แต่โทษองครักษ์เสื้อแพรโหดเหี้ยมเกินไป
ไม่อาจเพื่อตรวจโรคพ่วงชีวิตไปด้วยได้กระมัง
“พวกเขาโง่หรือเปล่า?”
หลิ่วเอ๋อร์เดินบนถนน เอ่ยอีกครั้ง
คุณหนูจวินรับผลไม้เคลือบน้ำตาลไม้หนึ่งจากร้านแผงลอยข้างทางส่งให้หหลิ่วเอ๋อร์
“ก็ไม่ใช่หรอก แค่ไม่มีหนทาง” นางยิ้มเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์ดีใจจะรับไป ก็มีคนรีบร้อนเดินผ่านข้างกาย ชนร่างนาง ผลไม้เคลือบน้ำตาลหวิดร่วง
“เฮ้” นางตะโกนเอ่ย มองคนที่เดินผ่านไป
นี่เป็นเด็กสาวผู้สวมเสื้อลายบุปผากำลังหิ้วตะกร้าใบหนึ่งคนหนึ่ง ก้มศีรษะเดินถนนอยู่ ได้ยินเสียงหันกลับมาราวกับไม่รู้สึกว่าตนเองชนคนเข้า
“เจ้าชนข้า” หลิ่วเอ๋อร์ถลึงตาตวาด
เด็กสาวคนนั้นมองนางร้องอ้อทีหนึ่ง หันกลับก้าวไวๆ ไปข้างหน้า
คิดไม่ถึงว่ากระทั่งคำขอโทษสักคำก็ไม่มี คนเมืองหลวงไร้มารยาทเกินไปแล้ว
“ใช่หรือไม่เจ้าคะคุณหนู?” หลิ่วเอ๋อร์มองไปทางคุณหนูจวิน
คุณหนูจวินกลับไม่ได้พูดจา แต่มองแผ่นหลังของเด็กสาวคนนั้น สีหน้าเหม่อลอยอยู่บ้าง
“เหมือนจังนะ” นางเอ่ย
เหมือนจัง? เหมือนอะไร? หลิ่วเอ๋อร์ไม่เข้าใจมองข้ามไปอีกครั้ง เด็กสาวคนนั้นปะปนเข้าไปในฝูงชนมองไม่เห็นแล้ว
คุณหนูจวินยังคงมองถนนอย่างเหม่อลอย คิ้วขมวด ในดวงตาเศร้าโศกอยู่บ้าง
เป็นอะไรไปหรือ?
หลิ่วเอ๋อร์วิตกนิดๆ
“คุณหนู” นางเขย่าแขนของคุณหนูจวิน “คนรู้จักหรือเจ้าคะ?”
คุณหนูจวินส่ายศีรษะ
ไม่ใช่คนรู้จัก เป็นแววตาที่รู้จัก
แววตาของเด็กสาวคนนั้นเป็นความแน่วแน่ที่จะเดินไปหาความตาย เหมือนกับครั้งนั้นที่ตนเองเข้าวังไปลอบสังหารฮ่องเต้
ดูอายุของนางก็เพียงสิบหกสิบเจ็ดปีเท่านั้น อายุน้อยกว่าตนเองตอนนั้นหลายปี
เสื้อผ้าที่สวมแม้เรียบง่าย แต่หน้าตางดงามผุดผ่อง ต้องเป็นครอบครัวร่ำรวยสูงศักดิ์เลี้ยงมาแน่
แม่นางอายุเท่านี้ครอบครัวเช่นนี้ก็พบด่านที่ข้ามไปไม่ได้ ได้แต่เดินไปหาความตายแล้วหรือ?
“พวกเราไปดูกัน” นางเอ่ย
“มีเรื่องหรือเจ้าคะ?” หลิ่วเอ๋อร์กำผลไม้เคลือบน้ำตาลเอ่ยเคร่งเครียด
“ไปดูกัน ยังไม่รู้ หวังว่าจะไม่มีเรื่องล่ะนะ” คุณหนูจวินเอ่ย ลูบศีรษะหลิ่วเอ๋อร์ “กินเถอะ”
…
คนบนถนนวิ่งวุ่นวาย เพราะกองทหารเกียรติยศกองหนึ่งเข้ามา ขับไล่ฝูงชนกระเจิง เดินทางไปยังตรอกแห่งหนึ่ง
นี่เป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าขุนนาง ตรอกเส้นนี้ด้านในมีจวนสามหลัง แต่ตอนนี้มีเพียงขุนนางผู้เดียวอาศัยอยู่ที่นี่
ก็คือหวงเฉิงมหาบัณฑิตแห่งสภาอำมาตย์ ตั้งแต่ใต้เท้าเฒ่าหวงสองปีก่อนเป็นโรคที่ขา ฮ่องเต้ก็ให้ครอบครัวอีกสองครอบครัวที่อยู่ที่นี่ย้ายออกไปเพื่อให้เขารักษาตัวอย่างสงบ จวนสามหลังล้วนเป็นของตระกูลหวง
ใต้เท้าน้อยหวงย่อมไม่ทรยศน้ำพระทัย ตนเองครองจวนหลังหนึ่ง ด้านในคนงามเป็นฝูง เล่ากันว่าตกแต่งหรูหราอย่างที่สุด
แต่เทียบกับหัวหน้ากองพันลู่ที่เลี้ยงคนงามเหมือนกัน ใต้เท้าน้อยหวงยิ่งใจกว้างแล้ว เขาเชื่อว่าสุขคนเดียวไม่สู้สุขหลายคน ดังนั้นจึงเชิญบรรดาสหายมาในจวน
คนที่โชคดีได้มาเสวยสุขที่นี่ล้วนไม่มีใครไม่ออกปากชื่นชม
ใต้เท้าน้อยหวงวันนี้ก็เตรียมจัดงานรื่นเริงงานหนึ่ง เพราะวันนี้เขาดีใจยิ่งนัก ฮ่องเต้รับฟังความคิดเห็นของเขา ฎีกากล่าวโทษของสำนักฎีกาวันพรุ่งนี้ก็จะถวายขึ้นไปแล้ว นอกจากนี้ไม่ใช่แค่สำนักฎีกา เขายังเตรียมคนร้องเรียนหน้าพระพักตร์จากแถบเหนือไว้อีกหลายคน
คิดดูก็รู้ วันพรุ่งนี้ในท้องพระโรงต้องเป็นงานเลี้ยงใหญ่ครั้งหนึ่งแน่
ดังนั้นออกจากวังหลวง ใต้เท้าน้อยหวงจึงเชิญคนมากมายนักมาเล่น รวมถึงลู่อวิ๋นฉี
“ให้ใต้เท้าลู่มาสะดวกหรือขอรับ?” ผู้ติดตามใกล้ชิดเอ่ยถามเสียงเบา “คุยกับเขาไว้แล้วว่า หากวันพรุ่งนี้พวกใต้เท้าเฒ่าเหอเหล่านั้นคัดค้าน จะให้เขาไล่เรียงความผิดส่วนตัวของคนเหล่านั้นออกมา ใต้เท้าลู่รับปากแล้ว เวลานี้ให้เขามา จะถูกคนตำหนิว่าพวกเราสมคบกันหรือไม่ขอรับ?”
ใต้เท้าน้อยหวงยิ้ม
“จะเป็นไปได้อย่างไร ใต้เท้าลู่คนเช่นนี้จะสมคบคิดกับผู้อื่นได้อย่างไร” เขาเอ่ย “พวกเราเชิญเขาครั้งนี้ เขาพอดีจับตาพวกเราไว้ ดูว่าพวกเราสมคบคิดใส่ร้ายขุนนางผู้ภักดีหรือไม่ จะได้สะดวกตอบองค์ฮ่องเต้ไง”
ผู้ติดตามเข้าใจตอบรับ
“ไม่แปลกที่ใต้เท้าลู่ตอบรับนะขอรับ” เขาเอ่ย “เขาน้อยนักจะเข้าร่วมงานเลี้ยง”
ใต้เท้าน้อยหวงยิ้มพยักหน้า
“ใต้เท้าลู่ก็ไม่โง่สักหน่อย” เขาเอ่ย
ระหว่างคุยเล่นจวนเรือนของตนเองก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า แต่ด้านหลังร่างพลันมีเสียงเรียกดังขึ้น
“ใต้เท้าหวง”
ใต้เท้าน้อยหวงชักม้าหยุด มองไป
เห็นใต้เท้าถังแห่งสำนักฎีกาที่ได้พบก่อนหน้านี้
“มาเร็วเชียวนะ” ใต้เท้าน้อยหวงพลิกกายลงจากม้า หัวเราะเอ่ยเสียงเบากับเขา “ดูท่าคนงามที่นี่ของข้า เจ้าคงทนรอไม่ไหวเหมือนกัน”
หน้าดำๆ ของใต้เท้าถังแดง
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” เขารีบโบกมือเอ่ย “ข้าจะมาบอกกับใต้เท้าน้อยหวงสักคำว่าคืนนี้ข้าคงไม่มาแล้ว”
“กลัวอันใด ต่อให้เจ้าไม่มา คนที่ควรพูดว่าเจ้าข้าสมคบกันก็ยังจะพูดอยู่ดี” ใต้เท้าน้อยหวงหัวเราะเอ่ย แล้วมองคนข้างกาย “คนมีชีวิตอยู่บนโลก ใครไม่ถูกคนนินทา ถูกคนนินทาสองประโยคก็ไม่อยู่แล้ว? ไม่ใช้ชีวิตแล้ว? การงานไม่ทำแล้วรึ?”
คนข้างกายล้วนยิ้มประจบขานรับ
“ใต้เท้าหวงพูดถูกต้อง”
“ความสามารถธรรมดาย่อมไม่ถูกคนริษยา”
“เรื่องที่ควรทำ ไม่อาจเพราะผู้อื่นนินทาก็ไม่ทำได้ ตัวอยู่ในตำแหน่งไม่ขบคิดถึงบ้านเมือง ใยไม่ใช่กินข้าวหลวงไม่ทำงาน”
ทุกคนพากันเอ่ย
ใต้เท้าถังหยุดฝีเท้า
“ยังมีธุระอื่นบางอย่าง” เขาเอ่ย “ขอบคุณใต้เท้าที่ต้อนรับ แต่รอวันพรุ่งนี้สำเร็จค่อยรวมตัวก็ไม่สาย”
ใต้เท้าน้อยหวงหัวเราะพยักหน้า
“ใต้เท้าถังทำงานระมัดระวัง รีบไปทำธุระเถอะ” เขาเอ่ย
พวกเขาพูดคุยหัวเราะพลางเดินพลาง คนบนถนนพากันหลีกหลบ เวลานี้มาถึงปากตรอกแล้ว
บางทีอาจเพราะฝูงชนหลบหลีกเบียดกันวุ่นวาย จึงมีคนลนลานไม่ทันดูทางชนเข้ามา
องครักษ์คนหนึ่งตวาดด่าทันที ในเวลาเดียวกันกระบองดับบารมี[1]ก็ตีเข้าไป
เสียงสตรีร้องเจ็บปวด ล้มลงกับพื้น ในเวลาเดียวกันตะกร้าใบหนึ่งก็ร่วงตก ขนมแป้งม้วนข้างในร่วงกระจาย
เป็นสตรีคนหนึ่งหรือ ทุกคนล้วนมองไป
เห็นเด็กสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง สวมเสื้อเนื้อหยาบ ทั้งร่างสั่นระริก หมอบอยู่กับพื้นโขกศีรษะ
“ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย” นางเอ่ยเสียงสั่น
การแต่งกายนี้ทุกคนล้วนจดจำได้ว่าเป็นสาวชาวบ้านที่หิ้วตะกร้ามาเร่ขายของคนหนึ่ง
ยังไม่ถึงกับต้องจู้จี้เอาเรื่องกับคนเช่นนี้ ผู้ติดตามโบกมือส่งสัญญาณให้ไล่ไป แต่ใต้เท้าน้อยหวงพลันยกมือห้าม
บางทีอาจเพราะเสียงดั่งนกขมิ้นสั่นของเด็กสาวคนนี้ ใต้เท้าน้อยหวงอดไม่ได้มองไป รอมองเห็นรูปร่างงามลออที่เสื้อผ้าเรียบง่ายปิดบังไม่อยู่ของเด็กสาวผู้ฟุบหมอบอยู่บนพื้น ดวงตาก็ยิบหยี
……………………………………….
[1] กระบองดับบารมี (杀威棒) กระบองที่ใช้ตีผู้ร้ายหรือนักโทษเพื่อดับความหยิ่งผยองหลังจับมาได้