Kill the Hero - ตอนที่ 29
Kill the Hero 029
[ชานชาลาพุงซาน สถานีพุงซาน]
เมื่อได้ยินประกาศ คิมวูจินก็มองออกไปนอกหน้าต่างรถไฟคยองกีเซ็นทรัลไลน์ที่มุ่งหน้าไปยังอิลซาน
เมื่อรถไฟออกจากสถานีก็สามารถมองเห็นวิถีชีวิตของเมืองโกยางได้อย่างชัดเจน
‘ที่แห่งนี้จะถูกทำลายในอีก 2 ปี’
ภาพของอิลซานผ่านเข้ามาในความคิดของคิมวูจิน มันคือภาพของเมืองที่ถูกทำลายโดยมอนสเตอร์ เต็มไปด้วยรถถัง และปืนใหญ่ เพื่อกำจัดมอนสเตอร์เหล่านั้น
มันไม่ใช่แค่จินตนาการ
‘มันคือโอเกอร์สองหัวใช่ไหม? ’
ปี 2025 อิลซานแทบไม่อาจจะเรียกว่าเมืองอีกต่อไปได้ เพราะโอเกอร์สองหัวที่หลุดออกมาจากดันเจี้ยน 6 ชั้น
และเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นไปทั่วโลก
‘อีกไม่นานนัก’
มอนสเตอร์ที่ออกมาจากดันเจี้ยนเกทในปัจจุบันยังคงเป็นภัยคุกคามอยู่ แต่ประชาชนทั่วไปที่มีอาวุธปืนก็ยังพอจะจัดการกับความเสียหายที่เกิดจากภัยคุกคามนั้นได้
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี 2025 ไม่มีมอนสเตอร์ตัวใดที่ฆ่าไม่ได้
ปัญหาคือแค่ปืนเพียงอย่างเดียว มันไม่พออีกต่อไป พวกเขาต้องใช้พลังอย่างปืนใหญ่หรือหน่วยรบจำนวนมาก เพื่อฆ่าพวกมัน
ตอนนั้นเองที่โลกตระหนักถึงความสำคัญของผู้เล่นที่แข็งแกร่ง และไอเทมที่ทรงพลัง การทิ้งดันเจี้ยนที่มี 5 ชั้นขึ้นไป โดยไม่ได้จัดการกับมัน ก็เหมือนกับการเสียดินแดนไป
แน่นอนว่ามีคนที่รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
ผู้เล่นทุกคนที่มีเลเวลเกิน 100 รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้
ถ้าคุณต้องเผชิญหน้ากับมอนสเตอร์จากดันเจี้ยน 3 ชั้น มันก็ไม่ยากที่จะจินตนาการว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นหลุดออกไปข้างนอก มันเป็นสิ่งที่รับรู้ได้เองถึงจะไม่ฉลาดนักก็ตาม
‘ถ้าคุณรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณก็ไม่อาจอยู่เฉย ๆ ได้’
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผู้เล่นระดับสูงรวมถึงปาร์คยองวานถึงลังเลที่จะทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนรวม และยอมเสี่ยงชีวิตเข้าสู่ดันเจี้ยน พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขาต้องเพิ่มเลเวล และรวบรวมไอเทมอย่างหนักเพื่อความอยู่รอด
เพราะพวกเขารู้ว่าช่วงเวลาที่เลวร้ายกำลังจะมาถึง ไม่มีใครสามารถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องแข็งแกร่งขึ้น
‘พวกเขาไม่อาจผลักมันออกไปแล้วค่อยคิดเรื่องนี้ทีหลังได้’
ในขณะเดียวกัน ก็เป็นเหตุผลที่พวกเขาไม่มองย้อนกลับไป และทำตามที่พวกเขาพอใจ
ในเมื่อพวกเขารู้ว่าโลกนี้จะกลายเป็นโลกที่ไร้กฎหมายในอีกสองหรือสามปีให้หลัง
ทำไมพวกเขาจะต้องกังวลเกี่ยวกับการตรวจสอบภาษีหรือการดำเนินคดีที่จะเกิดขึ้นในอีก 10 หรือ 20 ปีต่อมา? ขณะเดียวกัน ก็ไม่ผิดอะไรที่จะขายประเทศออกไป ในเมื่อโลกกำลังจะล่มสลาย
มันเป็นยุคที่ไร้กฎหมาย และความมืดจะช่วยให้สมาคมเมสสิอาห์เฉิดฉายยิ่งขึ้น
เพราะการอยู่ในสมาคมเมสสิอาห์ทำให้คิมวูจินไม่ต้องกังวลหรือคิดเรื่องยาก ๆ อะไร
เขาชอบที่เป็นอยู่ในตอนนั้น อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาต้องการสัมผัสกับเรื่องราวนั้นอีกครั้ง
คิมวูจินได้เห็นความจริง
‘ฉันต้องเตรียมตัวให้พร้อม ก่อนที่โลกจะกลายเป็นแบบนั้น พลังในการต่อต้านการคุกคามของสมาคมเมสสิอาห์’
ถ้าเขายังคงอ่อนแออยู่ เมื่อกฎของโลกเริ่มเปลี่ยนไป สมาคมเมสสิอาห์ก็จะกลืนกินชีวิตของคิมวูจิน
[ชานชาลาอิลซาน สถานีอิลซาน]
ตอนที่คิดถึงเรื่องนั้น คิมวูจินก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
หลังจากลงที่สถานีอิลซาน และเดินออกไปอีกเล็กน้อยจากสถานี เขาก็เห็นพื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเรือนกระจก
ปลายทางของคิมวูจิน ดันเจี้ยนเกทอยู่ในเรือนกระจกที่รกร้างที่สุด
ด้วยพลาสติกที่ฉีกขาด และการตกแต่งภายในที่พังทลายของเรือนกระจกก็ได้ต้อนรับคิมวูจิน
นั่นคือทั้งหมด
มันอยู่ตรงนั้น ดันเจี้ยนเกทตั้งอยู่อย่างโดดเด่น โดยที่ไม่มีใครสักคนให้ความสนใจกับมัน
‘เขาบอกว่ามันกินไปสามปาร์ตี้แล้วใช่มั้ย? ’
มันเป็นการดูแลที่ไม่เหมาะกับดันเจี้ยนเกทที่กลืนกินไปแล้วสามปาร์ตี้
หลังจากกลืนกินปาร์ตี้ได้ถึงสามปาร์ตี้ ดันเจี้ยนนี้จึงมักจะถูกผู้เล่นหลีกเลี่ยง
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะดันเจี้ยนนั้นเต็มไปด้วยมอนสเตอร์ที่ยุ่งยากอย่างโคโบลด์ ผู้เล่นที่มีสมองจึงยิ่งไม่เต็มใจที่จะเข้าดันเจี้ยนนี้
หรือก็คือไม่มีใครคิดจะแตะต้อง และมันยังคงคายมอนสเตอร์ออกมา จนกว่าจะมีผู้เล่นที่คล้ายกับผู้เล่นจากสมาคมเมสสิอาห์ ผู้ที่ไม่สนใจความเสี่ยงจะมาเคลียร์
เพราะเหตุนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องป้องกันไม่ให้มอนสเตอร์หนีออกจากดันเจี้ยนอย่างกะทันหัน และสร้างความเสียหายให้กับประชาชนโดยรอบ
แน่นอนว่า ไม่ว่าจะมีคนเสียชีวิตมากแค่ไหน ปัญหาเล็ก ๆ เช่นนั้นก็ไม่สำคัญสำหรับคนที่กำลังยุ่งอยู่กับการหาเงินให้มากขึ้น
‘ฮายาชิ โคสึเกะ เขายังดีกว่าหมอนั่น’
โอเซชานไม่ใช่คนชั่วร้ายขนาดนั้น
ไม่ใช่การเข้าใจผิด
‘เขาทำงานได้ดี มันยังสะอาด’
ดันเจี้ยนที่มีคนถูกฆ่าไปถึงสามปาร์ตี้ ควรจะมีร่องรอยทิ้งไว้ใกล้ ๆ
ถ้าไม่อย่างนั้นก็น่าจะมีร่องรอยของมอนสเตอร์บ้าง
แต่สภาพแวดล้อมกลับยังเรียบร้อยอยู่
ไม่ต้องพูดถึงรอยเท้ามอนสเตอร์ ไม่มีแม้แต่รอยล้อรถยนต์
นั่นหมายความว่าสถานที่แห่งนี้ถูกดูแล และทำความสะอาดอย่างเข้มงวด
คิมวูจินยิ้ม
‘ช่างเป็นคนที่มีอารมณ์ขันซะจริง’
คิมวูจินไม่เคยเห็นนายหน้าที่ดูแลจัดการดันเจี้ยนในลักษณะนี้
‘จนอยากจะพบเขาสักครั้ง’
เป็นครั้งแรกที่คิมวูจินอยากเจอกับผู้ชายที่ชื่อโอเซชาน
นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ต้องคิดอะไรให้มากมาย
ไม่ว่าจะมีคนตายในดันเจี้ยนนี้มากแค่ไหน หรือโคโบลด์จะเป็นมอนสเตอร์แบบใด ก็ไม่สำคัญสำหรับคิมวูจิน
อย่างที่ได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ การเคลียร์ดันเจี้ยนประเภทนี้ เป็นสิ่งที่คิมวูจินทำก่อนที่จะย้อนกลับมา
‘การจะทำแบบนั้นได้ ฉันต้องเคลียร์ดันเจี้ยนนี้ก่อน’
ดังนั้นคิมวูจินจึงเข้าไปในดันเจี้ยนโดยไม่ลังเล
– คิมวูจินเข้าไปในดันเจี้ยนแล้วครับ เขาเข้าไปคนเดียว ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามเคลียร์มันด้วยตัวเอง
“งั้นเหรอ? ติดต่อฉันถ้าเขาออกมา”
– ครับ
คนที่วางสมาร์ทโฟนลง เมื่อสายตัดไปแล้วคือชายหนุ่ม
ดูเหมือนว่าเขาจะอายุ 20 กลาง ๆ แต่หัวเกรียน แว่นตาขอบเขาหนา ร่างกายที่มีมัดกล้าม และอารมณ์ที่ไม่มั่นคงนัก ทำให้คาดเดาอายุของเขายาก
“เกิดอะไรขึ้น? “
ชายวัยกลางคน ผมบลอนด์ ตาสีฟ้าถาม
นอกจากนี้คำถามนั้นยังเป็นภาษารัสเซีย
เห็นได้ชัดว่าคำตอบก็เป็นภาษารัสเซียเช่นกัน
“มีคนบ้าอยากแลกเปลี่ยนกับฉัน ฉันกำลังทดสอบเขาอยู่”
ชายวัยกลางคนเอียงศีรษะไปข้างหลัง เมื่อได้ยินเกี่ยวกับลูกค้าใหม่
“คนบ้า? ”
“คุณเชื่อไหมว่าเขาขอให้ฉันจ่ายค่าเดินทางให้”
ชายแก่ยิ้มอย่างขมขื่นตอบ
“พยายามรีดไถเงินจากคุณ? เขาต้องไม่รู้จักคุณแน่”
“ใช่ ฉันแน่ใจว่าเขาไม่รู้จักฉัน แต่ปาร์คยองวานบอกว่าเจ้านั่นต้องการทำธุรกิจกับฉัน”
ต่อหน้าชื่อปาร์คยองวาน ชายวัยกลางคนหุบยิ้มทันที
“คุณหมายถึงปาร์คยองวานจากสมาคมฟีนิกซ์หรือเปล่า? ”
“แล้วจะยังมีไอ้เวรปาร์คยองวานไหนที่ฉันรู้จักอีก”
“ถ้าเขาเป็นคนที่มาจากฝั่งของปาร์คยองวาน คุณไม่รับเขาจะไม่ดีกว่าเหรอ?”
ต่างจากชายหนุ่มขี้เล่น ชายวัยกลางคนถามอย่างจริงจัง
จากนั้นชายหนุ่มก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเช่นกัน
“เขาไม่ได้อยู่ฝ่ายปาร์คยองวาน”
“คุณแน่ใจนะ? “
“ถ้าเขาเป็นคนของปาร์คยองวาน ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องมาเป็นลูกค้าแบบนี้ ในเมื่อเขาสามารถแลกเปลี่ยนกับฉันผ่านปาร์คยองวานได้ ฉันจะตรวจสอบให้มากกว่านี้หลังจากที่เขาผ่านการทดสอบแล้ว”
“โอกาสรอดของเขาล่ะ?”
“อืม…มันเป็นดันเจี้ยนระดับ C+ จำกัดเลเวลไว้ที่ 20 เข้าได้สูงสุด 4 คน และเงื่อนไขคือฆ่าโคโบลด์ 100 ตัว ฉันบอกได้ว่าตั้งแต่เขาเข้าไปคนเดียว อัตรารอดของเขาคงไม่สูงมากนัก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ชายวัยกลางคนก็พูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“เขาเข้าไปคนเดียวเหรอ? เข้าไปในดันเจี้ยนโคโบลด์? ”
ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าโคโบลด์เป็นมอนสเตอร์แบบไหน
“มันอันตราย”
“ใช่ มันอันตรายมาก”
และโอเซชานก็รู้เช่นกัน
“พวกมันเป็นมอนสเตอร์ที่อันตรายมาก และมีประสาทรับกลิ่นที่ใกล้เคียงกับสุนัข พวกมันเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบเหมือนฝูงหมาป่า มีเพื่อน และมีความสามารถในการใช้เครื่องมือที่ซับซ้อนอย่างธนู ถ้าเขาเผชิญหน้ากับพวกมัน เหมือนกับตอนที่เขาสู้กับพวกออร์คหรือก็อบลิน เขาจะต้องแย่ยิ่งกว่าตกนรกอีก”
เขารู้ว่าโคโบลด์อันตรายแค่ไหน และการล่าพวกมันก็ไม่เหมือนกับการล่าออร์คหรือก็อบลิน
เขารู้ด้วยว่าการมองดูผู้เล่นที่ไม่ใช่มืออาชีพเข้าไปในดันเจี้ยนโคโบลด์ โดยไม่มีการเตรียมความพร้อมที่เหมาะสมก็ไม่ต่างอะไรกับการมองดูคนฆ่าตัวตายอยู่เฉย ๆ
“เขาต้องมีความสามารถมาก”
ชายวัยกลางคนรู้ว่าโอเซชานไม่เคยสนับสนุนให้ใครฆ่าตัวตาย
“ฉันไม่รู้”
“คุณไม่รู้?”
“ใช่ อย่างน้อยที่สุดเขาก็ยังไม่ถึงเลเวล 20 เขาไม่มีประสบการณ์ในการเคลียร์ดันเจี้ยน 2 ชั้น และเขาเป็นผู้เล่นได้ประมาณหนึ่งเดือนเท่านั้น แต่ไอ้คนที่ไม่รู้จักฉันคนนี้ ก็ติดต่อฉันผ่านปาร์คยองวาน แล้วเขายังขอให้ฉันช่วยจ่ายค่าเดินทางอีก เมื่อคิดดูจากทุกสิ่งที่เขาทำ เขาก็ไม่ใช่คนที่มองหาวิธีง่าย ๆ เช่นกัน”
“มีโอกาสมากที่เขาจะเป็นนักฆ่าที่จะมาฆ่าคุณ”
“นักฆ่า? “
“ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่รู้จัก เข้าหาใครบางคน ในขณะที่ดึงความสนใจอย่างเปิดเผย เรามักจะเห็นสิ่งนั้นได้ในหนังที่มีตัวเอกเป็นนักฆ่า”
โอเซชานหัวเราะเยาะคำพูดของชายวัยกลางคน
“ฉันไม่สนใจเรื่องพวกนั้น ยังไงพวกเราส่วนใหญ่ก็จะตายภายใน 10 ปีอยู่ดี ฉันแน่ใจว่าฉันจะต้องปวดหัวมากกว่านี้ เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 10 ปี และถ้าฉันตาย กอร์บาชอฟ คุณจะไม่ขาดทุนเหรอ? เพราะทุกอย่างในชื่อของฉันเป็นของคุณ”
เมื่อได้ยินคำพูดของโอเซชาน กอร์บาชอฟก็ยิ้มอย่างขมขื่น
“ความสามารถคือสิ่งสำคัญ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่พยายามจะฆ่าฉัน แต่ก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่เขามีฝีมือ สิ่งที่ฉันต้องการคือสัตว์ประหลาดที่สามารถกลับมาหัวเราะได้อีกครั้ง หลังจากมันถูกขังไว้ในดันเจี้ยนที่ชั่วร้ายแบบนั้น นั่นคือเหตุผลที่ฉันกำหนดเส้นตายไว้ที่ 5 วัน”
กอร์บาชอฟส่ายหัว เมื่อได้ยินว่ากำหนดเวลามีเพียง 5 วัน
“ดูเหมือนว่าคุณจะต้องการสัตว์ประหลาดจริง ๆ”
“ใช่ ถ้าคุณไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาด มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะฆ่าโคโบลด์ 100 ตัว ใน 5 วัน”
ดวงตาของโอเซชานเปล่งประกายขณะที่เขาพูด
‘ถ้าสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่ในมือฉัน มันเกินพอแล้วที่จะจบเกมนี้’
กอร์บาชอฟลุกขึ้น เมื่อเห็นสายตาของโอเซชาน
“เอาล่ะ งั้นฉันจะไปทำงานเดี๋ยวนี้”
โอเซชานโบกมือลา
“ฉันเสียใจที่ไม่ได้ไปส่งคุณที่สนามบิน คุณก็รู้ว่าสถานการณ์ของฉันเป็นยังไง”
“ถ้าคุณเสียใจ ทำไมคุณไม่อัปเกรดเที่ยวบินเป็นชั้นธุรกิจให้ล่ะ?”
“ฉันจะไปส่งคุณที่สนามบิน คุณไม่รังเกียจถ้าเราจะขึ้นรถไฟใต้ดินไปใช่ไหม?”
“… ฉันสบายดี”
ที่เชิงเขามีโขดหิน และต้นไม้อยู่นับไม่ถ้วน
Keung! Keung!
โคโบลด์กำลังลาดตระเวนบนภูเขาเพียงลำพัง
การปรากฏตัวของโคโบลด์ไม่ได้ต่างอะไรจากนิยามคำว่า “มอนสเตอร์”
หัวสุนัข เดินด้วยสองขาแทนที่จะเป็นสี่ขา ถือดาบ และโล่ไว้ในมือทั้งสองข้าง มันดูน่าขนลุกยิ่งกว่าออร์คหรือก็อบลินซะอีก
อย่างไรก็ตาม ร่างกายของโคโบลด์ สูงเกือบ 1.4 เมตร เมื่อเทียบกับร่างกายที่มีกล้ามเนื้อสูง 2 เมตร ของออร์คก็ดูจะไม่อันตรายมากนัก
มันดูอ่อนแอพอที่ผู้เล่นประเภทนักรบจะคิดว่า พวกเขาสามารถต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้อย่างง่ายดาย
และความจริง การฆ่าโคโบลด์ตัวต่อตัวนั้น เป็นไปได้สำหรับผู้เล่นที่มีเลเวลสูงกว่า 10 และมีประสบการณ์การล่าที่เพียงพอ
ด้วยเหตุนี้ ในการล่าโคโบลด์เป็นครั้งแรก ผู้เล่นส่วนใหญ่จึงไม่ลังเลที่จะล่าโคโบลด์ทันทีที่พวกเขาเห็นว่า มันลาดตระเวนเพียงลำพัง
อย่างไรก็ตาม มีการพูดถึงเรื่องแบบนี้ไม่มากนัก
มีแค่ไม่กี่คนที่ล่าโคโบลด์ด้วยวิธีนั้นแล้วรอดชีวิตกลับมาได้
มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ …
โคโบลด์ไม่เคยพลาดกลิ่นเลือดของพวกมัน และเพื่อแก้แค้นให้กับญาติของพวกมัน พวกมันไม่กลัวอันตรายใด ๆ ในอีกแง่ เลือดโคโบลด์เป็นเหมือนคำสาปที่นำพาความตายมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Seug!
นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมคิมวูจิน ถึงปรากฏตัวอยู่ด้านหลังโคโบลด์แล้วรัดคอมันด้วยลวดในมือ
Kekk!
โคโบลด์ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเงียบงันพร้อมกับอ้าปากกว้าง
จากนั้นคิมวูจินก็ค่อย ๆ รอจนกระทั่งหัวใจของโคโบลด์หยุดเต้น
แล้วโคโบลด์ก็ตายพร้อมกับลิ้นยาวที่ห้อยออกมา
‘การสังเวยนั้นปลอดภัย’
มันเป็นช่วงเวลาที่เขาได้รับเครื่องสังเวย โดยไม่ต้องเสียเลือดสักหยด
อันที่จริง คิมวูจินไม่จำเป็นต้องเข้าใกล้มันด้วยวิธีนี้ก็ได้
ด้วยพลังการต่อสู้ในปัจจุบันของเขา การจะฆ่าโคโบลด์ 100 ตัว มันก็เป็นไปได้อยู่ และถ้าจะพูดให้ดูโอเวอร์อีกเล็กน้อย เขาถึงขั้นเทเลือดโคโบลด์ลงบนร่างกายตัวเองด้วยก็ยังไหว
‘สิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้คือทำกับดัก’
แต่คิมวูจินไม่ได้ทำเช่นนั้น
ถ้าจำเป็น เขายินดีที่จะล่าล้างบางพวกมัน
อย่างไรก็ตาม คิมวูจินไม่ใช่คนประเภทที่จะต่อสู้อย่างยากลำบากโดยไม่จำเป็น
ในขณะที่แข็งแกร่งอย่างท่วมท้น การสร้างผลลัพธ์ที่ท่วมท้นยิ่งกว่านั้น คือสไตล์การล่าของคิมวูจิน
“อัญเชิญทหารโครงกระดูก”
เพื่อที่จะทำเช่นนั้น คิมวูจินได้อัญเชิญทหารโครงกระดูกมา
“กระดูกสีดำ”
[พลังจากนรกไหลเวียนภายในทหารโครงกระดูก]
ทหารโครงกระดูกที่มีกระดูกสีดำลุกขึ้น
*** TL : จากที่พยายามอ่านฉบับมังฮวาดูแล้ว เนื้อหาค่อนข้างต่างจากในนิยายพอสมควรเลย อาจจะต่างกันถึงประมาณ 50-60% เลยทีเดียว แต่ในด้านเนื้อหาหลักยังคงเหมือนกันอยู่ มันต่างกันที่รายละเอียดอย่าง ไอเทม สกิล ดันเจี้ยน ลำดับการปรากฏตัวของตัวละคร ลักษณะตัวละครบางตัว