Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 101 ความจริงใจในความจริง
“อะไรนะ”
ลูซิโอผุดลุกขึ้นทั้งสีหน้าซีดเผือด หัวหน้านางกำนัลต้องปลอบให้เขาเย็นลง
“ฝ่าบาท เย็นพระทัยลงก่อนเพคะ”
“เรื่องนั้นเป็นความจริงหรือ”
“เพคะ” หัวหน้านางกำนัลตอบอย่างสุขุม “หมอหลวงแจ้งว่าพระอาการไม่หนักหนาเพคะ”
“…”
ได้ยินดังนั้นลูซิโอจึงทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างหมดแรง หัวหน้านางกำนัลค้อมศีรษะและถอยกายออกไปเงียบๆ จากนั้นลูซิโอก็กุมศีรษะด้วยมือที่สั่นเทา
“…บ้าเอ๊ย”
แย่ที่สุด
แย่ที่สุด
“อา…”
แพทริเซียส่งเสียงครวญพลางขยุ้มผ้าห่มแน่น แย่ที่สุดเลยจริงๆ
‘พรุ่งนี้คงดีขึ้นกระมัง…’
มิเช่นนั้นงานที่ต้องสะสางคงมีเป็นกองพะเนิน นั่นเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่สุดแล้ว…
‘คอแห้งจัง’
แพทริเซียค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น นางตั้งใจจะลุกขึ้นนั่งแต่ร่างกายกลับไร้เรี่ยวแรงผิดปกติจึงล้มลงไปนอนอยู่อย่างนั้น และด้วยเหตุนั้นหญิงสาวจึงได้แต่ครางฮืออยู่ในลำคอ
“อา…!”
หงุดหงิดชะมัด
นางกำผ้าห่มแน่นราวกับจะใช้เป็นที่ยึดแต่ก็ไม่มีประโยชน์ กลายเป็นนางสิ้นเปลืองแรงไปเปล่าๆ
‘ต้องเรียกมีร์ยา…’
ปัญหาคือตอนนี้นางไม่มีเสียง หมอหลวงเพิ่งกลับไปเมื่อครู่ ยาก็ยินแล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ แพทริเซียดิ้นขลุกขลักและพยายามทำแบบเดิมอีกครั้ง
“แฮ่ก…”
ขณะที่สติเลือนรางเต็มที ใครคนหนึ่งก็เปิดประตูเข้ามา
‘ใครกัน…’
“ใคร…”
ยังไม่ทันได้ฟังคำตอบ เปลือกตาของนางก็ปิดลงเสียก่อน
‘เย็น’
แพทริเซียค่อยๆ ลืมตาขึ้น มีใครบางคนนั่งอยู่ข้างๆ นางยื่นมือออกไปจับชายเสื้อของคนผู้นั้นอย่างงุ่มง่าม
“…มีร์ยาหรือ”
“…”
ไม่มีคำตอบ แพทริเซียกะพริบตาเพื่อปรับสายตา และภาพที่นางเห็นหลังจากนั้นคือ…
“ฝ่า…”
“ตื่นแล้วหรือ”
ใบหน้าของเขาดูซีดเซียว แพทริเซียกะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง
“เหตุใดพระองค์…”
“ได้ยินว่าเจ้าป่วย”
“…”
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับท่าน แพทริเซียอยากจะพูดออกไปเช่นนั้นแต่โชคร้ายที่นางไม่มีแรงเหลือพอให้ทำแบบนั้น นางร้องโอดโอยในลำคอพลางกล่าว
“…เสด็จกลับเถอะเพคะ”
“คิดแล้วว่าเจ้าต้องพูดแบบนี้”
“…”
ทันใดนั้นแพทริเซียก็ชะงักไปและจ้องมองอีกฝ่าย ในห้องค่อนข้างมืดนางจึงเห็นใบหน้าของเขาไม่ชัดนักแต่เท่านั้นก็เพียงพอที่จะรู้ได้ว่าเขาดูซูบซีดไปมาก ผู้ชายคนนี้ผอมแห้งแบบนี้อยู่แล้วหรือ?
“แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว…เราเป็นห่วงน่ะ”
“ทำไม…”
“เพราะบางทีเจ้าอาจจะป่วยเพราะเรา”
“…”
จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร แพทริเซียกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว นี่เขาโง่หรือเซ่อกันแน่ แพทริเซียพูดเสียงเบาราวกับกระซิบ
“เป็นไปไม่ได้หรอกเพคะ”
“ใช่แล้ว อาจเป็นอย่างที่เจ้าว่า”
“ดีแล้วเพคะที่ฝ่าบาทไม่เป็นอะไร”
“นี่เจ้า…” เขาถามเสียงสั่น “เป็นห่วงเราหรือ”
“…”
แพทริเซียหลับตาลงโดยไม่พูดอะไร ในขณะที่ลูซิโอมีสีหน้าราวกับซาบซึ้งเสียเหลือเกิน เขากล่าวเสริมเสียงสั่นเครือ
“…ขอบใจนะ”
ไร้สาระ แพทริเซียเดาะลิ้นในใจ แต่เสียงที่ออกมากลับเป็นเสียงไอ
“แค่กแค่ก!”
“อ๊ะ…!”
เห็นดังนั้นลูซิโอก็ตะลีตะลานทำตัวไม่ถูก เขาดูไม่เป็นตัวเอง แพทริเซียขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางกล่าว
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
“เรียกหมอหลวงดีหรือไม่”
“ไม่เป็นไรเพคะ” แพทริเซียย้ำอีกครั้ง “หม่อมฉันไม่เป็นไรจริงๆ ยาก็กินไปแล้ว”
“…”
ได้ยินดังนั้นลูซิโอก็จ้องมองมาด้วยสีหน้าสลด แพทริเซียมองเขาอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยถามอย่างไร้เรี่ยวแรง
“เสด็จมาด้วยเหตุใดหรือเพคะ”
“เมื่อครู่เราบอกไปแล้วมิใช่หรือ” เขาลูบผมที่แผ่กระจายของนางเงียบๆ พลางกระซิบ “ได้ยินว่าเจ้าป่วยจึงรีบมาหาเพราะเป็นห่วง”
“…จงใจมาหรือเพคะ”
“อาจเป็นเช่นนั้น เราอาจต้องการซื้อใจเจ้าก็เป็นได้ เรา…ดูเป็นคนชอบฉวยโอกาสใช่หรือไม่” ลูซิโอพึมพำด้วยสีหน้าขมขื่น ก่อนทอดสายตามองมาที่นาง “เจ้าจะตำหนิเรา…ก็ไม่เป็นไร”
“…”
“เจ้าจะพูดอะไรก็ได้ แต่ช่วยหายไวๆ เถอะนะ เราขอร้อง”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
ขณะที่พูดประโยคนั้นแพทริเซียก็ยังคงไอเบาๆ ครู่หนึ่งหลังจากนั้นนางก็กล่าวย้ำอีกครั้งด้วยสีหน้ากระดากอาย
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ”
“โกหกให้น้อยหน่อยเถิด ตอนนี้เจ้าดูไม่ดีเลย” เขาถอนหายใจสั้นๆ และพูดต่อ “ดูเหมือนเรามาอยู่ที่นี่จะเป็นการรบกวนการพักผ่อนของเจ้า หากเจ้าอึดอัด เราจะออกไป”
“…”
“หากเจ้าไม่ต้องการ เราก็จะไม่มาอีก เพราะฉะนั้น…พักผ่อนให้เต็มที่นะ”
ที่สุดแล้วแพทริเซียก็ไม่พูดอะไร ลูซิโอจากไปราวกับว่าชินกับสถานการณ์เช่นนี้แล้ว เมื่อประตูปิดลงในห้องก็เหลือแค่แพทริเซียคนเดียว หญิงสาวอุทานเบาๆ ราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้
“อ๊ะ…”
เสื้อ…นางต้องคืนเสื้อ แพทริเซียลุกขึ้นเพื่อบอกสิ่งที่ไม่ได้บอกแต่ร่างกายที่หนักอึ้งทำให้การลุกขึ้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ยังไม่ทันได้ลุกไปไหนนางก็หอบหายใจเสียแล้ว
“แฮ่ก…บ้าจริง”
แพทริเซียได้แต่นั่งขยุ้มผ้าห่มด้วยสีหน้าฉุนเฉียว ในตอนนั้นเองมีร์ยาก็เข้ามา ครั้นเห็นสภาพทุลักทุเลของแพทริเซีย นางก็ตกใจรีบวิ่งเข้ามาหา
“พระเจ้าช่วย ฝ่าบาท!”
“อา…”
มีร์ยาพยุงแพทริเซียขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทุกข์
“เหตุใดไม่เรียกหาหม่อมฉันเล่า… ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันควรจัดข้ารับใช้ไว้ข้างกายด้วยแท้ๆ แต่เพราะเกรงว่าจะรบกวนการพักผ่อนของพระองค์ หม่อมฉันจึง…”
“ไม่เป็นไร ก่อนอื่นขอน้ำสักแก้วเถอะ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
ทันใดนั้นนางกำนัลระดับกลางคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับแก้วน้ำอุ่น แพทริเซียดื่มไปได้ครึ่งหนึ่งก็เอ่ยถามมีร์ยา
“จักรพรรดิเสด็จมาที่นี่ เจ้ารู้เรื่องนั้นหรือไม่”
“เอ่อ…”
ได้ยินดังนั้นสีหน้าของมีร์ยาก็แสดงความตกใจเล็กน้อย
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท หากทำให้พระองค์ขุ่นเคืองพระทัย…”
“…”
“องค์จักรพรรดิประทับอยู่นานทีเดียวเพคะ”
“นานแค่ไหน”
“ราวๆ สามชั่วโมงเพคะ”
“…”
มีน้ำอดน้ำทนยิ่ง แพทริเซียยิ้มเยาะ แต่มีร์ยากลับคิดว่ารอยยิ้มนั้นไม่ได้มีเพียงความเย็นชาเท่านั้น
“คอยดูแลเอาใจใส่อย่างสุดความสามารถเลยเพคะ”
“เจ้าพูดเช่นนี้ด้วยจุดประสงค์อันใด”
“หม่อมฉันเพียงแต่กราบทูลความจริงเท่านั้นเพคะ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”
มีร์ยาว่าพลางแสร้งทำเป็นสงวนท่าที แต่แพทริเซียรู้ดีกว่าใครว่าเบื้องหลังนั้นอีกฝ่ายพยายามจะแก้ไขความสัมพันธ์ของนางกับลูซิโอให้ดีขึ้น แพทริเซียถอนหายใจพลางกล่าว
“ฝ่าบาทคงลำบากมากทีเดียว”
ที่ต้องคอยดูแลคนที่หลับเป็นตาย ได้ยินดังนั้นมีร์ยาก็พูดเสริม
“แต่ดูเหมือนองค์จักรพรรดิจะไม่ค่อยสบายพระทัยเพคะ ทั้งหมอหลวงทั้งหม่อมฉันต่างก็ช่วยกันกราบทูลไปแล้วว่าไม่หนักหนาแท้ๆ”
“…”
เป็นแผลใจกระมัง แพทริเซียพึมพำในใจ เพราะผู้ชายคนนั้นเปราะบางกับเรื่องแบบนี้เป็นพิเศษ แพทริเซียถอนหายใจพลางถาม
“ฝ่าบาทเสด็จกลับไปแล้วหรือ”
“ฟังว่าเพิ่งเสด็จกลับถึงตำหนักกลางเมื่อครู่เพคะ”
“อย่างนั้นหรือ”
แพทริเซียตอบกลับอย่างเรียบเฉย มีร์ยาเห็นดังนั้นก็ถือโอกาสเปลี่ยนเรื่อง
“พระอาการเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“ไม่รู้สิ” แพทริเซียตอบอย่างไม่ใส่ใจ “คิดว่าไม่ดีนัก ไม่รู้พรุ่งนี้จะดีขึ้นหรือไม่”
“ทรงอย่าใจร้อนสิเพคะ ยิ่งรีบร้อนยิ่งหายช้านะเพคะ”
“อาจเป็นเช่นนั้น”
แพทริเซียออกคำสั่งกับมีร์ยาด้วยสีหน้าที่ดูป่วยอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าอยากนอนต่ออีกหน่อย ถ้าเป็นไปได้ อย่าปลุกจนกว่าจะถึงตอนเย็นนะ”
แพทริเซียลืมตาขึ้นมาอีกครั้งราวๆ สามทุ่ม นางคิดว่าตัวเองนอนไปนานมาก ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่นางไม่ได้นอนนานๆ โดยไม่มีใครมาปลุกเช่นนี้ แพทริเซียคิดดังนั้นพลางเรียกหามีร์ยา แม้เสียงเรียกจะเบาเพียงใด มีร์ยาก็รีบวิ่งมาในทันที
“ฝ่าบาท ยังไออยู่หรือไม่เพคะ”
“อืม…”
แพทริเซียส่งเสียงเบาๆ และขอน้ำจากมีร์ยา จากนั้นนางก็ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง ดูเหมือนอาการจะทุเลาลงแล้ว แพทริเซียจึงดูกระชุ่มกระชวยขึ้นเล็กน้อย มีร์ยาเห็นดังนั้นก็เอ่ยถาม
“ดีขึ้นแล้วหรือเพคะ”
“คิดว่าดีกว่าเมื่อครู่มากทีเดียว”
คำตอบรับในทางที่ดีทำให้สีหน้าของมีร์ยาดูสดใสขึ้น
“สองชั่วโมงก่อนตำหนักกลางเพิ่งติดต่อมาถามอาการของพระองค์พอดีเลยเพคะ”
“ขยันขันแข็งนัก”
“ให้ตอบกลับไปหรือไม่เพคะ”
“…แล้วแต่เจ้า”
แพทริเซียตอบอย่างไม่ใส่ใจและลุกขึ้นในทันใด มีร์ยาเห็นดังนั้นก็เอ่ยถามอย่างสงสัย
“พระวรกายยังไม่แข็งแรงเช่นนี้จะเสด็จไปที่ใดหรือเพคะ”
“เจ้าพูดถูก แต่ข้านอนนานเกินไปแล้ว ให้ผู้ป่วยพักผ่อนมากเกินไปก็ไม่ดีนะ”
ถึงกระนั้นน้ำเสียงของนางก็ยังฟังดูป่วยเล็กน้อย มีร์ยาเป็นกังวลอย่างมากแต่ดูเหมือนผู้เป็นเจ้านายจะตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว แพทริเซียจัดเสื้อคลุมให้เข้าที่เข้าทางพลางเอ่ย
“ข้าจะไปเดินเล่นสักสิบนาที ไม่คิดจะอยู่นานหรอก”
“เพคะ ฝ่าบาท เพียงเท่านั้น…น่าจะไม่เป็นไรเพคะ”
มีร์ยาตอบสั้นๆ และหยิบเสื้อคลุมของตัวเองแต่แพทริเซียก็พูดขึ้น
“ข้าไปคนเดียวได้ ไม่ต้องลำบาก”
“หากปล่อยพระองค์ไปคนเดียว หม่อมฉันอาจถูกพระจักรพรรดิตำหนิเอาได้ ดังนั้นไม่ได้เด็ดขาดเพคะ” มีร์ยาพูดเสริมด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ตั้งแต่พระองค์ถูกลอบทำร้ายเมื่อคราวก่อน พระจักรพรรดิทรงให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของพระองค์มากเพียงใด พระองค์ไม่รู้หรือ ทั้งอัศวินราชองครักษ์และนางกำนัลก็ต้องทำดุจเดียวกันเพคะ”
“วุ่นวายนัก”
แพทริเซียส่ายหน้าอย่างขยาด แต่คราวนี้มีร์ยาถึงกับยื่นคำขาด
“อย่างไรก็ไม่ได้เพคะ ฝ่าบาท หากไม่พอพระทัย พระองค์คงมีแต่ต้องล้มเลิกความคิดที่จะออกไปข้างนอกเท่านั้น”
“ตอนนี้ในวังไม่มีใครคิดจะทำร้ายข้าแล้วมิใช่หรือ”
แพทริเซียหัวเราะเยาะตัวเอง แต่มีร์ยามิได้รู้สึกขบขันไปด้วย
“เรื่องไม่คาดฝันย่อมเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เอาเป็นว่า…นี่เป็นพระบัญชาของฝ่าบาทเพคะ” มีร์ยากล่าว
“เข้าใจแล้ว พูดถึงขนาดนั้นข้าก็ต้องยอมสินะ”
แพทริเซียถอนหายใจพลางพยักหน้า เห็นดังนั้นสีหน้าของมีร์ยาก็พลันสดใสขึ้น นางหยิบเสื้อคลุมหนาๆ มาคลุมทับให้แพทริเซียอีกชั้น
“หากประชวรหนักกว่าเดิมคงย่ำแย่ที่สุดแล้วเพคะ”
“นั่นสินะ”
แพทริเซียเชื่อฟังคำของมีร์ยาเป็นอย่างดี นางออกจากตำหนักพร้อมกับองครักษ์จำนวนหนึ่งและนางกำนัลอีกห้าหกคน ด้านนอกเป็นเวลาค่ำแล้วอากาศจึงเย็นกว่าที่คิด แต่โชคดีที่นางสวมเสื้อคลุมมาหลายชั้นจึงไม่รู้สึกหนาว
“ไปตำหนักกลางกันเถอะ” นางพูด
คำพูดที่ไม่คาดคิดทำให้มีร์ยาถามกลับด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเล็กน้อย
“จะเสด็จไปจริงๆ หรือเพคะ ฝ่าบาท”
“ไยทำเหมือนข้าชวนไปที่ที่ไปไม่ได้”
“มิได้เพคะ เพียงแต่…พูดถึงองค์จักรพรรดิทีไรพระองค์ก็ทำสีพระพักตร์เข็ดขยาดถึงเพียงนั้น”
“ระวังคำพูดด้วย”
แน่นอนว่าที่มีร์ยาพูดเป็นเรื่องจริง มีร์ยาหาใช่คนพูดจาส่งเดชไร้ความสง่างาม ดูเหมือนนางจะคาดไม่ถึงจริงๆ แพทริเซียพึมพำในใจ
“ข้าต้องนำเสื้อคลุมไปคืนฝ่าบาท เอาแต่คิดว่าจะคืนแต่ก็ไม่ได้คืนสักที”
“…”
ได้ยินดังนั้นมีร์ยาก็ทำสีหน้าประหลาด เรื่องนั้น…ต้องทำตอนที่ประชวรเช่นนี้ด้วยหรือเพคะ? แต่มีร์ยาก็ได้แต่ถามในใจ และพูดออกไปเพียงว่า
“หม่อมฉันจะนำทางให้เพคะ”
บางทีแพทริเซียอาจจะกำลังสับสนระหว่างความตั้งใจในอดีตและใจจริงของตนในปัจจุบัน