Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 26 เทศกาลล่าสัตว์
-ฉึก!
“เข้าเป้าเพคะ ฝ่าบาท!”
ราฟาเอลาส่งเสียงดังอยู่ข้างๆ อย่างร่าเริง ส่วนแพทริเซียก็ได้แต่ยิ้มอย่างเขินอาย โชคดีที่ฝีมือการยิงธนูของนางยังไม่ตก หญิงสาวพึมพำว่าอย่างน้อยคงจับกระต่ายได้สักตัวพลางพยักหน้า
“ฝีมือยังไม่ตกแฮะ”
“แหมๆ แน่นอนเพคะ ฝ่าบาท ทรงถ่อมตัวเกินไปแล้ว”
ราฟาเอลาหัวเราะร่า คำชมนั้นทำเอาแพทริเซียหน้าร้อน ในตอนนั้นเองที่ราฟาเอลาเห็นเปโตรนิยาเดินยิ้มมาแต่ไกล
“นิลมาเพคะ”
ในมือของผู้มาใหม่มีพายที่เพิ่งอบเสร็จร้อนๆ พายชิ้นนั้นมีขนาดใหญ่มากจนแพทริเซียต้องเอ่ยถามอย่างตกตะลึง
“พายอะไรกันเนี่ย”
“พายวอลนัทที่เจ้าชอบอย่างไรเล่า”
เปโตรนิยาตอบเสียงเรียบ ก่อนจะหยิบพายขึ้นมาชิ้นหนึ่งและป้อนเข้าปากแพทริเซีย รสสัมผัสกรุบกรอบแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แพทริเซียยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนจะเช็ดมุมปาก
“อร่อยจัง รสมือหัวหน้าห้องเครื่องไม่เป็นสองรองใครเลย” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ใช่ไหมล่ะ ว่าแต่เอาเครื่องดื่มด้วยไหม”
“ขอสตรอว์เบอร์รีลาเต้ได้หรือไม่”
“ได้สิ ว่าแต่เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง พรุ่งนี้ก็วันงานเทศกาลแล้วมิใช่หรือ”
“เรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดการเปิดงานก็น่าจะเป็นได้ด้วยดีและปิดงานได้อย่างสมเกียรติ ข้ามั่นใจ”
“เจ้าพูดถึงขนาดนั้น ข้าก็ชักจะคาดหวังเสียแล้วสิ หวังว่าเจ้าจะสนุกกับงานนี้นะ เจ้าเองก็ไม่ได้ขี่ม้าและยิงธนูอย่างจริงๆ จังๆ มานาน ยิ่งอายุมากขึ้นก็จะยิ่งยากลำบากมากขึ้นแล้ว”
“ที่จริงข้าก็คาดหวังอยู่เล็กน้อยเช่นกัน ได้ยินว่าเขตล่าสัตว์กว้างมากทีเดียว”
“ดีแล้วล่ะ”
เปโตรนิยายิ้มบางๆ ขณะที่กำลังจะขอตัว นางก็นึกถึงเรื่องที่ยังไม่ได้พูดขึ้นมาได้
“อ้อ เมื่อครู่มีข่าวแจ้งมาจากโรงม้าว่าฝึกแซลลี่เสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้คงไม่กัดมือหรือก่อเรื่องอะไรแล้วล่ะ”
“เช่นนั้นหรือ ดีจัง ขอบใจนะ นิล เจ้าไปเถอะ”
“อืม ตั้งใจฝึกนะ”
เปโตรนิยาพยักหน้าก่อนจะเดินหายลับไปทางห้องเครื่องของตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียมองอีกฝ่ายจนลับตา ก่อนจะหันกลับมาจดจ่ออยู่กับการยิงธนู ขณะดึงสายธนูจนตึงด้วยสีหน้าจริงจัง นางก็นึกถึงลูซิโอขึ้นมา
‘เขาจะไปพูดอะไรกับโรสมอนด์นะ’
มือที่ดึงสายธนูหยุดชะงัก สายของมันยังคงตึงอยู่ ราฟาเอลาที่อยู่ข้างๆ มองแพทริเซียด้วยความประหลาดใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายซึ่งกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด นางจึงไม่พูดอะไร ปล่อยให้แพทริเซียได้ขบคิดต่อไป
แม้ว่าแพทริเซียจะไม่รู้อะไรเลยก็ตาม แต่นางก็พอจะรู้ว่าความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่มีความพิเศษ สำหรับสองคนนั้น ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันย่อมต้องสร้างสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจมองข้ามไปได้ขึ้นมาเป็นแน่
เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงไม่บิดเบี้ยวอย่างทันทีทันใดเพียงเพราะคำพูดของนาง ที่จริงนางก็ไม่ได้คาดหวังให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาห่างเหิน แต่…หากมันช่วยตัวนางได้ก็คงไม่แย่เท่าไร
“ฝ่าบาท”
ในตอนนั้นเองที่แพทริเซียได้ยินเสียงใครคนหนึ่งเรียกนางเบาๆ มือเรียวเผลอปล่อยสายธนู ลูกธนูจึงพุ่งดิ่งลงพื้นไปอย่างไร้เรี่ยวแรง มือของแพทริเซียตกลงข้างตัว นางยิ้มให้ราฟาเอลาเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร ในขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็มองมาด้วยความเป็นห่วง
“จู่ๆ มือไม้ก็อ่อนแรงน่ะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เดมราฟาเอลา”
“มิได้ประชวรใช่ไหมเพคะ พรุ่งนี้ก็วันงานแล้ว…จะไม่เป็นไรหรือเพคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอล่า ข้าแค่รู้สึกไม่มีแรงครู่เดียวเท่านั้น”
เมื่อเห็นแพทริเซียยิ้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ราฟาเอลาก็ค่อยวางใจ
“จะฝึกต่อไหมเพคะ นี่ก็สองชั่วโมงแล้ว กลับไปพักผ่อนน่าจะดีกว่าหรือไม่” ราฟาเอลาถาม
“ขออีกสามสิบนาทีนะ ยังมีงานเหลืออีกเยอะไหมคะ มีร์ยา”
“ไม่เพคะ ฝึกต่ออีกสองชั่วโมงก็ยังได้”
ได้ยินดังนั้น แพทริเซียก็ขึ้นธนูทันที ลูกธนูแหวกอากาศหวีดหวิว ก่อนจะปักเข้าที่จุดกึ่งกลางของเป้าพอดี
“เข้าเป้าอีกแล้วเพคะ”
แพทริเซียยิ้มด้วยความพึงใจ
คืนนั้นแพทริเซียได้ยินเสียงแปลกๆ
“อืม…”
เสียงรบกวนดังอยู่หลายนาที แพทริเซียนอนกระสับกระส่ายไปมาก่อนจะทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมานั่ง ปกตินางก็นอนไม่ค่อยจะหลับอยู่แล้ว มาเจอเสียงรบกวนเช่นนี้นางยิ่งลำบาก หญิงสาวซ่อนใบหน้าหงุดหงิดก่อนจะเรียกหามีร์ยา
“มีร์ยาคะ มีร์ยา”
“เพคะ ฝ่าบาท มีเรื่องอะไรหรือเพคะ”
“นั่นเสียงอะไรหรือคะ”
“เสียงอะไรหรือเพคะ”
มีร์ยาเข้ามาในห้องพร้อมท่าทีสงสัย ในห้องนี้ก็ไม่เห็นจะได้ยินเสียงอะไร แล้วฝ่าบาทพูดถึงอะไรกัน นางเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะถามแพทริเซีย
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ได้ยินอะไรเลยเพคะ”
“หูข้าค่อนข้างไวต่อเสียงน่ะค่ะ ลองเงียบ แล้วฟังดูสิคะ ไม่ได้ยินอะไรเลยหรือ”
“…”
มีร์ยาลองเงียบและฟังเสียงโดยรอบอย่างตั้งใจตามที่แพทริเซียบอก แต่หูของนางก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย สีหน้าของมีร์ยาเผยแววลำบากใจ
“ขอประทานอภัยเพคะ ฝ่าบาท แต่หม่อมฉันไม่ได้ยินอะไรจริงๆ” นางพูด
“อืม…”
แพทริเซียงึมงำออกมาด้วยความประหลาดใจ นางกำลังอึดอัดใจ เพราะตัวนางได้ยินเสียงแต่มีร์ยากลับไม่ได้ยิน แต่เสียงนั้นก็เบามากขนาดที่นางแทบจะไม่ได้ยินเช่นกัน ข้าคงมากเรื่องไปเอง แพทริเซียถอนหายใจในใจก่อนจะพูดกับมีร์ยา
“ขอโทษค่ะ มีร์ยา ข้าคงคิดมากไปเอง”
“อาจเป็นเพราะพักนี้บรรทมไม่ค่อยหลับหรือเปล่าเพคะ ฝ่าบาท พระองค์อาจจะทุ่มฝึกซ้อมเพื่อเข้าร่วมแข่งขันมากเกินไป”
แพทริเซียยิ้มแหย เพราะน้ำเสียงของมีร์ยาฟังเหมือนเห็นใจนางอย่างมาก
แพทริเซียส่ายหน้า “ไม่หรอกค่ะ เอาเป็นว่าขอโทษนะคะ ดูเหมือนข้าจะอ่อนไหวเกินไป”
“มิได้เพคะ ฝ่าบาท อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะเริ่มการแข่งขันแล้ว รีบเข้าบรรทมเถิดเพคะ เดี๋ยวจะอ่อนเพลียเกินไป”
“ค่ะ มีร์ยา กลับไปเถอะ”
“เพคะ ฝ่าบาท”
มีร์ยาโค้งอย่างอ่อนน้อมและออกจากห้องไป เมื่อเหลือแพทริเซียอยู่คนเดียว นางก็ถอนหายใจออกมาสั้นๆ ก่อนจะล้มตัวลงนอนด้วยความง่วงงุน
ใช่ ไม่แน่อาจเป็นเพราะฝืนตัวเองมากไปอย่างที่มีร์ยาพูดก็เป็นได้
อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะต้องยิงธนูบนหลังม้าแล้ว ถ้าไม่มีแรงขึ้นมาคงลำบาก แพทริเซียหลับตาลงเพื่อที่นางจะนอนหลับเร็วขึ้นแม้สักนาที หญิงสาวได้แต่หวังว่าจะได้นอนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนอาทิตย์จะขึ้น
ในที่สุดดวงตะวันของวันงานเทศกาลล่าสัตว์ก็โผล่พ้นขอบฟ้า
แพทริเซียสวมชุดล่าสัตว์ที่เตรียมไว้สำหรับวันนี้ นางรู้สึกแปลกใหม่เพราะปกติต้องสวมชุดเดรส แต่วันนี้เป็นชุดล่าสัตว์ แพทริเซียยิ้มอย่างเคอะเขิน ก่อนจะจับปลายผมที่ถูกมัดรวบเป็นหางม้า นางพอใจกับผมทรงนี้
“ฝ่าบาท เป็นอย่างไรบ้างเพคะ ช่างเสื้อของพระราชวังบอกว่าจัดทำชุดนี้ขึ้นเป็นพิเศษทีเดียว ชอบไหมเพคะ”
“ค่ะ ทั้งสวยแล้วก็ใส่สบายด้วย”
แพทริเซียพยักหน้าด้วยสีหน้าพึงพอใจ ราฟาเอลาตรวจสอบธนูที่แพทริเซียจะใช้ในสนามล่าสัตว์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงพึงใจ
“สมบูรณ์แบบมากเพคะ ฝ่าบาท ครานี้ผลจะออกมาเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับพระองค์แล้วนะเพคะ”
“กังวลจังค่ะ กลัวผลจะออกมาไม่ดี”
“ถ่อมตัวเกินไปแล้วเพคะ”
ราฟาเอลาหัวเราะร่วนก่อนจะยื่นคันธนูและกระบอกเก็บลูกธนูให้มีร์ยา แพทริเซียสะพายกระบอกเก็บลูกธนูและทำสีหน้าจริงจังก่อนจะมองภาพสะท้านของตัวเองในกระจกอีกครั้ง เป็นภาพลักษณ์ที่นานๆ จะได้เห็นสักที ทำให้แพทริเซียนึกสงสัยว่านั่นใคร ทั้งๆ ที่เป็นภาพสะท้อนของตัวเองแท้ๆ
“ฝ่าบาท ต้องเสด็จแล้วเพคะ”
แพทริเซียหลุดจากภวังค์เพราะเสียงนั้น อย่างไรก็ตามนี่คือตัวตนของนาง หญิงสาวยิ้มร่าก่อนจะเดินออกจากห้องไป
คนที่สามารถเข้าร่วมเทศกาลล่าสัตว์ได้ ได้แก่ ขุนนางในเมืองหลวง ขุนนางจากหัวเมือง และราชนิกุล ซึ่งในบรรดาผู้เข้าร่วมในวันนี้มีเพียงลูซิโอคนเดียวที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ แพทริเซียจับบังเหียนที่ใช้บังคับแซลลี่ ก่อนจะค่อยๆ บังคับให้มันออกเดินช้าๆ นางเห็นลูซิโอและเหล่าขุนนางอยู่ไกลๆ อา…ยังมีอีกคน
“เฮ้อ”
แพทริเซียถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นโรสมอนด์ ไม่ได้เข้าร่วมด้วยแท้ๆ ไม่รู้จะมาถึงที่นี่ทำไม แน่นอนว่าแพทริเซียไม่ได้สนใจว่าสองคนนั้นจะมาพลอดรักอะไรกัน นางแค่รู้สึกหงุดหงิดที่ต้องมาเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นก็เท่านั้น
ในที่ที่ขุนนางมารวมตัวกันเช่นนี้ แพทริเซียไม่สามารถแสดงท่าทีรังเกียจเช่นนั้นออกไปได้ นางจึงแสร้งยิ้ม ก่อนจะตรงไปยังจุดที่พวกเขารวมตัวกัน เมื่อพวกขุนนางเห็นแพทริเซีย พวกเขาก็พินอบพิเทารีบกล่าวแสดงความเคารพทันที
“พระจักรพรรดินี”
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอจันทราผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิจงทรงพระเจริญ”
โรสมอนด์หน้ามุ่ยเล็กน้อยให้กับการต้อนรับที่แตกต่างจากตอนที่นางปรากฏตัวอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกัน แพทริเซียทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้น นางนึกยิ้มในใจก่อนจะตอบรับคำทักทายอย่างอ่อนหวาน
“ยินดีที่ได้พบทุกท่านนะคะ เราเตรียมตัวเพื่อวันนี้อย่างหนัก หวังว่าทุกท่านจะพึงใจ”
“พระปรีชาสามารถของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่วันงานเลี้ยงรับรองคณะทูตแล้วพ่ะย่ะค่ะ พวกกระหม่อมไม่มีใครเป็นกังวลแม้แต่น้อย”
คำชมจากมาร์ควิสบริงสโตนซึ่งเป็นทั้งอัศวินและบิดาบังเกิดเกล้าของราฟาเอลาทำให้แพทริเซียยิ้มอย่างเขินอาย
“ถูกชมเช่นนี้ เราทำตัวไม่ถูกเลยค่ะ วันนี้เราคาดหวังผลงานจากท่านได้ใช่ไหมคะ”
“จะทรงคาดหวังอะไรจากคนแก่อย่างกระหม่อมเล่าพ่ะย่ะค่ะ บางทีบุตรีของกระหม่อมอาจทำให้ทรงพอพระทัยได้บ้าง”
“เดมราฟาเอลาเป็นนักรบมากฝีมือ แต่ยังไม่พอจะข้ามหน้าข้ามตาบิดาหรอกค่ะ ท่านลอร์ดถ่อมตัวเกินไปแล้วนะคะ”
บทสนทนาอบอุ่นหัวใจนี้ยังมีต่อไปอีกหลายประโยค หลังจากแลกเปลี่ยนบทสนทนากับเหล่าขุนนางไปได้ครู่หนึ่ง แพทริเซียก็หันไปคุยกับลูซิโอ เอ่ยปากถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสุภาพ
“แม้หม่อมฉันจะเตรียมตัวมาดีแล้ว แต่ก็เกรงว่าจะไม่ได้ตามที่พระองค์คาดหวังเพคะ”
“สำหรับเจ้า…อืม…เราไม่ต้องกล่าวอะไรเจ้าก็น่าจะทำได้ดี เราอ่านรายงานของเจ้าแล้ว ยอดเยี่ยมมาก”
“ขอบพระทัยเพคะ”
แพทริเซียตอบก่อนจะย้ายสายตาไปมองโรสมอนด์ ฝ่ายนั้นยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ ครั้นสบตากับแพทริเซีย นางถึงได้ทำความเคารพ
“ถวายบังคมฝ่าบาท”
“ไม่พบกันนานทีเดียวค่ะ บารอเนสเฟ็ลปส์ น่าเสียดายนะคะที่ท่านไม่ได้เข้าร่วมงานวันนี้ด้วย”
“ปกติหม่อมฉันก็ไม่ค่อยชอบงานลักษณะนี้อยู่แล้วเพคะ ความสามารถหรือก็ไม่มี”
“ช่างน่าเสียดาย”
ตามจริงแล้วแพทริเซียไม่ได้เสียดายอะไร แต่หากไม่พูดเช่นนี้ก็จะเสียมารยาท หลังจากพูดส่วนทางกับสิ่งที่ใจคิดออกไปแล้ว นางก็เปลี่ยนเรื่อง นางคิดว่าควรจะเริ่มออกล่าสัตว์ได้แล้ว
“น่าจะได้เวลาออกตัวแล้วนะเพคะ ฝ่าบาท ขึ้นม้าเถอะเพคะ”
“เดี๋ยวข้ากลับมา”
ลูซิโอบอกลาโรสมอนด์ก่อนจะขึ้นม้าไป โรสมอนด์มองส่งเขาด้วยสีหน้าประดุจนางฟ้า แพทริเซียเห็นดังนั้นก็อยากจะสำรอก แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกไป
ไม่ใช่ไม่เคยเห็น น่าจะคุ้นชินได้แล้ว ความสามารถในการปรับตัวของนางเข้าขั้นแย่จริงๆ แพทริเซียขึ้นขี่แซลลี่หลังจากที่ลูซิโอขึ้นม้าของเขาแล้ว หญิงสาวดึงบังเหียนให้ตึงและค่อยๆ บังคับให้แซลลี่ออกเดิน สนามล่าสัตว์ที่ใช้เป็นสถานที่จัดเทศกาลล่าสัตว์ครั้งนี้คือป่าที่อยู่ใกล้ๆ พระราชวังนั่นเอง
“ย่ะห์!”
และแล้วงานเทศกาลก็เริ่มขึ้น