Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 32 เหตุใดพระองค์จึงรับลูกศรแทนหม่อมฉัน
แพทริเซียรีบเงยหน้าขึ้นจากตักและหันไปทางต้นเสียง สีหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความหวังขณะจ้องมองลูซิโอที่นิ่วหน้าเล็กน้อย สีหน้าของเขาดูไม่ดี บนหน้าผากมีเหงื่อกาฬผุดขึ้นมาคล้ายกำลังฝันร้าย
แพทริเซียกัดริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะฉีกเสื้อที่ใส่อยู่ออกมาส่วนหนึ่งใช้เป็นผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่หน้าผากให้ลูซิโอ วิธีที่แน่นอนที่สุดที่จะไม่ฝันร้ายก็คือการตื่นจากความฝัน เพราะฉะนั้นท่านรีบตื่นขึ้นมาเถิด ไม่ว่าท่านจะฝันร้ายเรื่องใดก็ไม่น่าจะร้ายไปกว่าสถานการณ์ตอนนี้
“ฮือ… ไม่นะ…”
“…”
อาการของลูซิโอเลวร้ายว่าที่แพทริเซียคิด นั่นทำให้นางกลัวขึ้นมา นางไม่รู้ว่าทำไมผู้ชายคนนี้จึงเป็นเช่นนี้ สีหน้าของแพทริเซียมีแววตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด นางพยายามคิดว่าควรจะทำอย่างไรแต่นางก็คิดวิธีดีๆ ไม่ออกเลย
แพทริเซียขบคิดอยู่ครู่ใหญ่และวิธีที่นางนึกขึ้นได้ก็คือ วิธีที่มารดาของนางใช้เสมอเมื่อนางหรือเปโตรนิยาในวัยเด็กนอนฝันร้าย
นางดึงลูซิโอที่ยังครวญครางอย่างทรมานมานอนหนุนตัก แล้วลูบเรือนผมสีดำอ่อนนุ่มของเขา
แพทริเซียไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะต้องมาใช้วิธีนี้กับผู้ชายคนนี้แต่นางก็ไม่มีทางเลือก ครั้นจะบอกว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลเลยก็คงไม่ได้เพราะมารดาของนางเคยกล่อมให้นางหลับด้วยวิธีนี้เสมอ
แพทริเซียได้แต่หวังว่าการกระทำนี้จะทำให้เขาตื่นขึ้นมาเร็วขึ้นแม้สักนิด
“ชู่ว~ ฝ่าบาท ไม่เป็นไรเพคะ”
“อึก… ฮา…”
“ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท สูดหายใจลึกๆ เพคะ หายใจเข้า…ออก…”
อา นี่ข้ากำลังทำอะไรอยู่กันนะ แพทริเซียรู้สึกกระดากอายในใจ นางไม่ได้แสดงอาการออกมาและยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไปอย่างตั้งใจ
หญิงสาวลูบศีรษะของอีกฝ่ายต่อไปอย่างนุ่มนวล ปากก็พูดแต่คำหวาน นี่หากเปโตรนิยาหรือราฟาเอลามาเห็นเข้าคงตกใจหน้าตั้งเป็นแน่
“ชู่ว… ฝ่าบาท”
“มะ…ไม่…ได้โปรด…”
“…”
ชายคนนี้กำลังฝันถึงอะไรกันแน่ แพทริเซียนึกสงสัยขึ้นมา เขาต้องฝันถึงเรื่องอันใดถึงได้ดูทุรนทุรายเช่นนี้ นางไม่เคยสงสัยเรื่องส่วนตัวหรือความเป็นมาของผู้ชายคนนี้มาก่อน ทว่า ไม่รู้ทำไมคราวนี้นางจึงสงสัย ต้องฝันถึงเรื่องใด ผู้ฝันถึงได้ทรมาน ต้องฝันถึงเรื่องใด ผู้ฝันจึงมีสีหน้าที่น่าสงสารได้ถึงเพียงนี้
นางไม่เคยเห็นลูซิโอมีสีหน้าท่าทางเช่นนี้เลยสักครั้ง
“อา…”
ในตอนนั้นเอง แพทริเซียก็รู้สึกตัวว่าตนปล่อยให้อารมณ์ชักนำมากเกินไป นางส่ายหน้าอย่างแรง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนั้น ต้องมุ่งความสนใจไปที่การทำให้ลูซิโอฟื้นขึ้นมาเสียก่อน แพทริเซียลูบแก้มของลูซิโออย่างอ่อนโยนอีกครั้งด้วยสีหน้าที่เย็นชาขึ้นเล็กน้อย
“อา…!”
ลูซิโอร้องออกมาเบาๆ ก่อนจะลืมตาโพลง แพทริเซียสบตากับเจ้าของดวงตาสีนิลอย่างกะทันหัน สีหน้าของนางดูตกใจกว่าอีกฝ่าย ด้วยความตกใจนางจึงหลุดปากเรียกเขาอย่างไม่ตั้งใจ
“ฝ่าบาท…!”
“…จักรพรรดินี?”
ลูซิโอเรียกนางด้วยน้ำเสียงแหบพร่า แพทริเซียรู้สึกไม่ชอบใจเสียงนั้นอย่างไร้สาเหตุ นางกัดปากเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า เขามองนางอย่างสงสัย คล้ายจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเขาก็จำเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้จึงเอ่ยปากถาม
“เรา…ทำไม…ตอนนี้เราอยู่ที่ใด”
“ฝ่าบาทรับธนูอาบยาพิษแทนหม่อมฉัน ตอนนี้พระองค์ประทับอยู่ในถ้ำห่างจากสนามล่าสัตว์เพคะ ในเมื่อทรงฟื้นแล้ว พวกเราก็ควรกลับสถานที่จัดงานเสียที ทรงลุกขึ้นไหวหรือไม่เพคะ”
แพทริเซียอธิบายเหตุการณ์อย่างรวดเร็วและถามความเห็นของลูซิโอซึ่งอีกฝ่ายก็ได้แต่พยักหน้า นางค่อยๆ พยุงเขาขึ้นมาและถามอาการ
“พระวรกายเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“ไม่เป็นไร ยิ่งไปกว่านั้น…หากเราถูกศรอาบยาพิษจริง การแก้พิษคงทำได้ลำบาก เจ้าทำได้อย่างไรกัน”
“…”
แพทริเซียลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตอบออกไปตามความจริง
“หม่อมฉันดูดพิษออกมา แต่นั่นน่าจะยังไม่เพียงพอ หม่อมฉันจึงออกไปหาสมุนไพรและบังเอิญพบดอกสกัลเลอร์เข้า พระองค์ได้เสวยดอกสกัลเลอร์เข้าไปจึงคืนสติขึ้นมาได้เพคะ”
“สกัลเลอร์อย่างนั้นหรือ…”
เขามีสีหน้าตกตะลึง จากนั้นแพทริเซียก็พูดอย่างเร่งเร้า
“ฝ่าบาท เรื่องอื่นหม่อมฉันจะกราบทูลระหว่างทาง หากไม่กลับไปให้ทันเวลา ในวังจะต้องโกลาหลเป็นแน่ พระองค์ต้องรีบเสด็จกลับวังเพื่อรับการรักษาที่ถูกต้องนะเพคะ”
“ได้สิ”
แพทริเซียยื่นเสื้อของลูซิโอคืนให้เจ้าตัว เสื้อตัวนั้นเดิมทีแล้วเปียกโชก แต่ตอนนี้มันถูกตากอยู่ข้างกองไฟที่แพทริเซียจุดขึ้นมาอย่างยากลำบากจนเกือบจะแห้งสนิทแล้ว ส่วนแพทริเซียไม่มีอะไรให้สวมใส่คลุมร่างเพราะนางปล่อยเสื้อผ้าลอยน้ำไปหมดแล้ว เมื่อลูซิโอสังเกตเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เสื้อผ้าของเจ้าไปไหนเสียล่ะ”
“อ้อ…”
แพทริเซียขบคิดอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะอธิบายอย่างไร แต่แล้วนางก็รีบเปลี่ยนเรื่องด้วยคิดว่าหากมัวแต่อธิบายเรื่องนี้จะยิ่งเป็นการเสียเวลา
“เรื่องนั้นหม่อมฉันก็จะกราบทูลระหว่างทางเช่นกัน พระองค์สวมเสื้อนี่ก่อนเถิดเพคะ”
“เจ้าเอาของเราไปสวมเถอะ”
“ฝ่าบาท”
แพทริเซียไม่อยากต่อปากต่อคำด้วยเรื่องเช่นนี้ อีกฝ่ายเป็นคนป่วย ต่อให้เขาเป็นฝ่ายที่ถูกลอบสังหารและไม่มีเสื้อผ้าใส่ นางก็จะยกเสื้อของตัวเองให้เขาใส่อยู่ดี แพทริเซียอธิบายความตึงเครียดของสถานการณ์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“หม่อมฉันสบายดี แต่พระองค์บาดเจ็บนะเพคะ คนป่วยย่อมต้องได้รับการใส่ใจเรื่องการรักษาอุณหภูมิร่างกายมากกว่าคนไม่ป่วย”
“เราไม่เป็นไร”
พูดไม่รู้ความเสียจริง แพทริเซียแสดงออกทางสีหน้าว่าคำพูดของอีกฝ่ายช่างเหลวไหล พลางพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าครึ่งค่อนวันมานี้หม่อมฉันต้องลำบากเพียงใดกว่าพระองค์จะทรงฟื้นขึ้นมาได้ หากไม่ประสงค์จะทำให้ความพยายามของหม่อมฉันต้องสูญเปล่า โปรดทำตามความประสงค์ของหม่อมฉันด้วยเพคะ หม่อมฉันสบายดี”
“…”
สุดท้ายลูซิโอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ และทำตามที่แพทริเซียต้องการ เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว แพทริเซียก็คลายเชือกที่ผูกแซลลี่ไว้ ก่อนจะขึ้นขี่พร้อมกับลูซิโอ นางนั่งอยู่ด้านหลังของอีกฝ่ายเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน จากนั้นก็สั่งให้ม้าค่อยๆ ออกเดิน
“ย่ะห์!”
เจ้าม้าเริ่มเร่งความเร็วในการวิ่ง อีกไม่นานอาทิตย์จะตกดินแล้วและการหาทางกลับก็จะยิ่งยากขึ้น เพราะทั้งคู่หลงเข้าไปในป่าลึกตั้งแต่หัววันทำให้ตอนนี้แพทริเซียก็แทบจะหาทางกลับไม่เจอแล้ว หากฟ้ามืด ทั้งคู่ก็มีแต่ต้องหยุดเดินทางเท่านั้น
หากหยุดเดินทางแล้วพบกับพวกนักฆ่าที่กำลังตามล่าพวกเขาอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นอันจบสิ้น แพทริเซียกระชับบังเหียนในมือ
“ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนส่งนักฆ่ามาลอบสังหารหม่อมฉัน”
“…”
แพทริเซียเปิดบทสนทนาราวกับพูดเรื่องทั่วไป ลูซิโอได้ฟังดังนั้นก็ไม่พูดอะไร แพทริเซียคล้ายจะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่ายจึงเอ่ยถาม
“ฝ่าบาทไม่ตรัสอะไรเลยเช่นนี้ หรือทรงทราบถึงผู้อยู่เบื้องหลัง?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เราเพียงแต่…สงสัยคนผู้หนึ่งอยู่เท่านั้น น่าจะเป็นคนเดียวกับที่เจ้ากำลังสงสัยกระมัง”
“…”
การที่เขาตอบออกมาในทันทีนั้นไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อย ในทางกลับกัน มันกลับมีน้ำหนักอย่างมาก แพทริเซียกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะสารภาพ
“ตอนที่พระองค์หมดสติไป หม่อมฉันได้ถามนักฆ่าพวกนั้น”
“…”
“ว่าใครส่งพวกเขามา”
“พวกมันยอมบอกง่ายๆ หรือ?”
“ใช่แล้วเพคะ คงเพราะพวกมันตั้งใจจะสังหารหม่อมฉันอยู่แล้ว” แพทริเซียตอบเสียงเรียบก่อนจะเอ่ยปากถามลูซิโอ “ทรงคิดว่าเป็นผู้ใดเพคะ”
“คำตอบของเรามีความหมายอะไรอย่างนั้นหรือ”
“มีสิเพคะ หม่อมฉันคิดว่าควรกราบทูลให้พระองค์ทราบอย่างชัดเจน”
วิธีการพูดช่างราบเรียบต่างจากน้ำเสียงที่เจือด้วยโทสะอย่างเด่นชัด ลูซิโอพอจะรู้สึกได้ เขาเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาด้วยสีหน้าเศร้าโศก
“โรสมอนด์ แมรี ลา เฟ็ลปส์”
“…”
“ใช่หรือไม่”
“อา ให้ตายเถอะ” แพทริเซียพึมพำอย่างนึกสนุก “ในที่สุดพระองค์ก็ทรงทราบเสียทีว่าผู้หญิงคนนั้นทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะประทุษร้ายหม่อมฉัน”
“…”
“หม่อมฉันมิอาจรู้ได้ว่าบารอเนสเฟ็ลปส์มีความหมายกับพระองค์อย่างไร หม่อมฉันรู้เพียงว่านางเป็นคนสำคัญ และนั่นไม่ใช่เพียง…ความรักธรรมดาทั่วไป”
สายตาของทั้งคู่บอกเช่นนั้น ความสัมพันธ์นี้มีอะไรบางอย่างที่เกินกว่าจะเรียกได้ว่าเป็นเพียงความรักระหว่างหนุ่มสาวทั่วไป มันเป็นสายสัมพันธ์ที่…ผู้ที่ไม่รู้ว่าพวกเขาประสบกับอะไรมามิอาจเข้าไปแทรกกลางได้ แพทริเซียหลับตาที่เย็นชาลงและถามอีกฝ่าย
“คำพูดของหม่อมฉันเหมือนคำโป้ปดไหมเพคะ”
“มีเพียงความมั่นใจ แต่ไร้ซึ่งหลักฐานที่เป็นรูปธรรม ต่อให้เราเชื่อคำเจ้า แต่หากไม่มีหลักฐานก็ยากที่จะเอาผิดได้ ไม่ว่ากับผู้ใดก็ตาม”
“หม่อมฉันทราบเพคะ ฝ่าบาท ต่อให้เป็นเช่นนั้น แต่การที่พระองค์ทราบกับไม่ทราบนั้นแตกต่างกันอย่างมาก”
“…”
“หม่อมฉันไม่ทราบว่าพระองค์มองบารอเนสเฟ็ลปส์เป็นคนเช่นไร แต่หากมองว่านางเป็นแม่พระ พระองค์ก็ทรงคิดผิดแล้ว สตรีที่มีคุณธรรมย่อมไม่ทำร้ายผู้อื่น และไม่กระทำเรื่องต่ำช้าเพื่อแย่งของของผู้อื่น”
“…”
“พระองค์มีสิทธิ์ที่จะรักและหวงแหนนางไปได้ตลอด หม่อมฉันจะไม่ขัดขวางดังที่เคยให้สัญญาไว้ในคืนเข้าหอคืนแรก แต่ฝ่าบาทเพคะ ตอนนี้หม่อมฉันคงต้องกลับคำอย่างเลี่ยงมิได้ การรักษาสัญญาเป็นครั้งที่สองช่างยากเหลือเกิน แม้ว่าหม่อมฉันเคยได้กราบทูลไปว่า หากนางไม่มาข้องแวะกับหม่อมฉัน หม่อมฉันก็จะไม่ไปวุ่นวายกับนาง แต่หม่อมฉันไม่เคยบอกว่าจะยอมเป็นคนหัวอ่อนโง่เขลาปล่อยให้นางรังแก”
“…”
“หม่อมฉันจะสืบหาความจริงอย่างละเอียด หากมีหลักฐานมายืนยันว่านางกระทำผิดจริงแล้วล่ะก็ หลังจากนั้น…ไม่ต้องให้หม่อมฉันกล่าว พระองค์ก็คงจะทราบใช่ไหมเพคะ”
“อืม”
โทษประหาร
บารอเนสต่ำต้อยบังอาจคิดลอบสังหารจักรพรรดินีของจักรวรรดิ มิหนำซ้ำผู้ที่รับกรรมยังเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวรรดิ โทษนี้หนักหนานัก ประหารเจ็ดชั่วโคตรก็ยังไม่พอ แพทริเซียเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“หม่อมฉันขอทูลถามเรื่องหนึ่งได้หรือไม่เพคะ”
“พูดมาเถอะ”
“เหตุใดพระองค์จึงรับลูกศรแทนหม่อมฉัน”
“…สงสัยเรื่องนั้นหรือ”
“เพคะ ฝ่าบาท หม่อมฉันสงสัยอย่างมาก”
แพทริเซียพูดต่อไปอย่างไม่หวั่นไหว “พระองค์หาได้มีพระทัยให้หม่อมฉัน เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะทรงรับลูกศรแทน หม่อมฉันจึงสงสัยว่าเหตุใดจึงทรงทำเช่นนั้น…”
“เราขอตอบว่าเพื่อชำระบาปแล้วกัน”
“บาปหรือเพคะ” แพทริเซียถามอย่างไม่เข้าใจ
“เรื่องคราวก่อนเรามิอาจทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้ แต่เราก็อยากขอโทษเจ้าจึงรับลูกศรแทนเจ้า คำตอบเช่นนี้ น่าจะเป็นคำตอบที่ดีใช่หรือไม่” ลูซิโอตอบเสียงเรียบ
“…”
ไม่เลย นั่นมิอาจเป็นตอบที่ดีได้ แพทริเซียไม่เห็นแววตาของอีกฝ่าย นางจึงไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ แต่นางไม่คิดว่าเรื่องนั้นจะเป็นเหตุผลทั้งหมด แม้จะคิดเหตุผลอื่นไม่ออกก็ตาม แต่นางก็เชื่ออย่างนั้น
บางทีนั่นอาจเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลก็เป็นได้ เพราะแม้แต่ลูซิโอซึ่งเป็นคนพูดออกมาเองยังไม่รู้เลยว่าเหตุผลนั้นคืออะไรกันแน่
หลังจากนั้น แพทริเซียก็ขี่ม้าต่อไปเงียบๆ คนที่พูดขึ้นมาก่อนเป็นลูซิโอ
“เจ้าบอกว่าจะบอกเรามิใช่หรือ”
“อะไรหรือเพคะ”
“เรื่องเสื้อผ้าของเจ้า เมื่อครู่เจ้าบอกว่าจะบอกระหว่างทาง”
“หม่อมฉันคิดว่าพระองค์จะเดาได้จากเรื่องที่หม่อมฉันกราบทูลไปเมื่อครู่เสียอีก หม่อมฉันกอดพระองค์ไว้และทิ้งตัวลงจากหน้าผา แกล้งตายโดยการฉีกเสื้อผ้าและปล่อยให้ลอยน้ำไปเผื่อว่าพวกนั้นจะตามพวกเรามาเพคะ”
วิธีนั้นเหมือนจะได้ผลเพราะจนถึงตอนนี้แพทริเซียก็ไม่เห็นความเคลื่อนไหวที่เหมือนกับว่ามีใครกำลังไล่ตามอยู่เลย ครั้นแพทริเซียพูดจบ ลูซิโอก็หลับตาลงด้วยสีหน้าปวดใจ