Lady to Queen บัลลังก์แค้นจักรพรรดินี - บทที่ 35 ไม่ถามอะไรเลยหรือ
หลังจากสั่งขังโรสมอนด์ไว้ในคุกใต้ดินแล้ว แพทริเซียจึงได้กลับไปที่ตำหนักของตน ตอนนั้นก็เป็นเวลาค่ำแล้ว ความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดทั้งวันผนวกกับพิษที่ได้รับเมื่อตอนบ่ายทำให้แพทริเซียแทบจะเป็นลมล้มพับ แต่นางก็เค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดจนกลับมาถึงตำหนักของตัวเองจนได้
เมื่อกลับถึงตำหนักจักรพรรดินี แพทริเซียรู้สึกได้ว่าเหล่าข้ารับใช้กำลังเป็นห่วง แต่นางก็ไม่มีแรงเหลือพอที่จะตอบสนองต่อความห่วงใยเหล่านั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นเปโตรนิยาพี่สาวของนางเอง หรือมีร์ยาซึ่งเป็นหัวหน้านางกำนัลก็ตาม
“ริซซี่ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่”
“ฝ่าบาท ทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
แพทริเซียฝืนทำใจเย็นตอบรับคำพูดที่กล่าวกับนางด้วยน้ำเสียงที่เจือความห่วงใย ก่อนจะไหว้วานเสียงเรียบ
“มีร์ยา เตรียมน้ำให้ข้าที ขอเร็วที่สุดเลยนะ”
“อา…”
มีร์ยารู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของแพทริเซียก่อนใคร เจ้านายที่เคยพูดจาสุภาพแม้แต่กับนาง ตอนนี้กลับพูดอย่างห้วนๆ นางรับรู้ได้จากประสบการณ์การอยู่ในวังมาหลายปีว่านี่มีสาเหตุมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ นางจึงทำตามคำสั่งของแพทริเซียโดยไม่พูดอะไร
เปโตรนิยาที่สังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดอยู่ข้างๆ กันก็รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของน้องสาวได้เร็วไม่แพ้กัน นางจึงไม่พูดอะไรต่อ
นั่นเพราะเห็นอยู่ตำตาว่าอีกฝ่ายเหนื่อยล้า การจะชวนคุยตอนนี้คงดูไม่เหมาะสมนัก
เปโตรนิยาตัดสินใจว่า อย่างน้อยก็รอให้แพทริเซียมีสติที่มั่นคงกว่านี้ค่อยสนทนากันน่าจะดีกว่า นางเรียกหมอหลวงมาระหว่างที่แพทริเซียเข้าไปอาบน้ำ หมอหลวงเร่งรุดมาถึงตำหนักจักรพรรดินีอย่างรวดเร็ว เปโตรนิยาซึ่งมีข้อสงสัยมากมายจึงรีบสอบถามอีกฝ่ายโดยพลัน
“ได้ยินว่าท่านเป็นผู้ดูแลทั้งสองพระองค์ในการแข่งขันครั้งนี้”
“ใช่แล้วขอรับ เลดี้เปโตรนิยา”
“ที่นั่นเกิดอะไรขึ้นหรือคะ”
เปโตรนิยาอยู่แต่ในวังจึงไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยเหตุนั้นนางจึงได้แต่ทนอึดอัดใจ หมอหลวงลังเลอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกำลังเรียบเรียงคำพูด ก่อนจะเอ่ยปากเล่าสิ่งที่เขารู้ทั้งหมด หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือเรื่องที่ถูกเปิดเผยออกมาสู่ภายนอกทั้งหมด
แน่นอนว่าเพียงแค่คำพูดของหมอหลวงก็ทำให้เปโตรนิยาตกใจได้
“พระเจ้าช่วย”
ครั้นได้ฟังเรื่องทั้งหมด เปโตรนิยาก็ถอนหายใจยาว นางควรจะคาดการณ์ได้ตั้งแต่แรกว่าโรสมอนด์ไม่มีทางพลาดโอกาสนี้ ทว่า…! เปโตรนิยาได้แต่โทษความโง่เขลาของตนก่อนจะถามต่อ
“แล้วพระอาการของทั้งสองพระองค์เป็นอย่างไรบ้างคะ”
“พระจักรพรรดิได้รับการปฐมพยาบาลอย่างดี หลังจากเสด็จกลับพระราชฐานก็ทรงได้รับการตรวจรักษาอย่างละเอียดแล้ว หากไม่มีอะไรผิดพลาด พระองค์น่าจะทรงฟื้นในเร็ววัน ส่วนพระจักรพรรดินีตรัสว่าพระองค์สบายดี จึงยังไม่ได้รับการรักษาขอรับ”
“ไม่เพียงแต่พิษ แต่ความเครียดและความเหนื่อยล้าก็อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน ระหว่างทำการรักษา ขอให้ท่านคำนึงถึงข้อนั้นด้วยนะคะ ท่านลอร์ด”
“ข้าจะทำตามนั้นขอรับ เลดี้ ท่านไม่ต้องกังวล”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนากัน แพทริเซียก็เดินออกมาจากห้องอาบน้ำในชุดเดรสสีขาวบาง นางดูตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหมอหลวง แพทริเซียมองเปโตรนิยาคล้ายจะถามถึงสถานการณ์ตรงหน้า
“หม่อมฉันเรียกมาเองเพคะ ฝ่าบาท ฟังว่าพระองค์ยังไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี…” เปโตรนิยาตอบออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อ้อ…”
แพทริเซียพยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบรับ นางรวบผมที่ยังชื้นนิดๆ ไว้ด้านหลังก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะ
จากนั้นหมอหลวงก็เข้ามาตรวจร่างกาย ไม่นานเขาก็พูดขึ้น
“อย่างที่พระองค์ตรัสไว้พ่ะย่ะค่ะ พระอาการไม่ร้ายแรง แต่พระวรกายและพระราชหฤทัยอ่อนล้าด้วยเรื่องต่างๆ ที่ทรงประสบมาในวันนี้ เสวยน้ำชาอุ่นๆ สักแก้วและรีบเข้าที่บรรทมเร็วหน่อยดีไหมพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้น่าจะทรงยุ่งกับพระราชกิจไม่น้อย”
“เราขอบคุณสำหรับคำแนะนำ ท่านไปเถอะ”
สิ้นคำพูดของแพทริเซีย หมอหลวงก็ทำความเคารพและออกจากห้องไป เปโตรนิยาทำสีหน้าราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและกล่าวกับแพทริเซีย
“วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้ากลับก่อนนะริซซี่”
ครั้นได้ยินเปโตรนิยาพูดด้วยน้ำเสียงปกติ แพทริเซียก็ยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง อาจเป็นเพราะว่าตัวนางได้เปลี่ยนไปแล้ว นางจึงหวังว่าอย่างน้อยเปโตรนิยาจะไม่เปลี่ยนไป แพทริเซียถามอีกฝ่ายอย่างสงสัย
“ไม่ถามอะไรเลยหรือ”
“ไม่ได้ยินที่หมอหลวงกล่าวหรือ เรื่องอื่นไว้คุยกันพรุ่งนี้ดีกว่านะ ริซซี่”
เปโตรนิยาจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผากของน้องสาวก่อนจะพูดต่อ “อย่าให้ใครมารบกวนการพักผ่อนของเจ้า อย่างน้อยก็ในคืนนี้ นอกเสียแต่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นพระจักรพรรดิ เรื่องอื่นไว้คุยกันพรุ่งนี้นะ เข้าใจไหม”
“ข้าก็หวังให้เป็นเช่นนั้น”
น้ำเสียงที่อ่อนล้านั้นฟังแล้วช่างน่าสงสาร เปโตรนิยากลืนก้อนเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก ก่อนจะฝากฝังแพทริเซียไว้กับมีร์ยาและออกจากตำหนักไป
อย่างไรตอนนี้ก็ดึกแล้ว หากนางหักห้ามความสงสัยใคร่รู้เอาไว้ได้ จะฟังตอนนี้หรือพรุ่งนี้เช้าก็ไม่ต่างกัน ถึงอย่างไรแพทริเซียก็ไม่มีทางเล่าเรื่องทั้งหมดอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นในตอนนี้ฟังแค่เรื่องราวจากบิดาก็น่าจะเพียงพอ
เปโตรนิยาครุ่นคิดว่าจะถามอะไรจากมาร์ควิสโกรเชสเตอร์ แต่นางก็ไม่คาดหวังว่าคำตอบนั้นจะช่วยให้นางเข้าใจสถานการณ์ได้ดีมากขึ้นเท่าไรนัก
อีกด้านหนึ่งแพทริเซียเช็ดผมที่ยังหมาดให้แห้งสนิทก่อนจะย้ายร่างไปที่เตียง อย่างที่เปโตรนิยากล่าว วันนี้นางพบเจออะไรมามากจริงๆ เพราะฉะนั้นนางจึงเหนื่อยเกินกว่าจะคิดเรื่องอื่น
หญิงสาวตัดสินใจโยนภาระในการคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ให้ตัวนางในวันพรุ่งนี้ ทั้งมีร์ยา ราฟาเอลา และเปโตรนิยาก็ยังไม่ได้ถามอะไร เพราะฉะนั้นนางค่อยให้คำตอบในวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่สาย
แพทริเซียถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้าก่อนจะผล็อยหลับไป ทั้งที่นางมักจะทรมานด้วยอาการนอนไม่หลับ แต่วันนี้ดูเหมือนนางจะหลับได้โดยง่าย และคืนนี้ก็เป็นคืนที่นางมิอาจรับมือได้ หากไม่ได้นอน
“ฝ่าบาท ได้เวลาตื่นบรรทมแล้วเพคะ”
วันใหม่ของแพทริเซียเริ่มต้นด้วยประโยคนี้จากมีร์ยา นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น ก่อนจะกะพริบตาสองสามครั้งคล้ายกำลังเรียบเรียงสิ่งที่ต้องทำ ในที่สุดนางก็ค่อยๆ ลุกจากที่นอน นี่คือจุดเริ่มต้นของวันที่อาจกลายเป็นนรก แพทริเซียนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากเนิบๆ
“…มหาเสนาบดีทั้งสามจะมาถึงเมื่อใด”
นี่เป็นคำถามแรกของแพทริเซีย และมีร์ยาก็ตอบอย่างรวดเร็ว
“ทั้งสามท่านกำลังเดินทางมาที่พระราชวัง คาดว่าจะมาถึงในไม่ช้าเพคะ”
จักรวรรดิที่อยู่รายล้อมจักรวรรดิมาวินอสล้วนแต่มีตำแหน่งที่ปรึกษาของกษัตริย์เพียงตำแหน่งเดียว แต่ในกรณีของจักรวรรดิมาวินอสกลับมีอัครมหาเสนาบดีที่คอยให้คำปรึกษาจักรพรรดิถึงสามตำแหน่ง
ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการคานอำนาจมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้อำนาจในทางมิชอบ
ตอนที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับระบบนี้เป็นครั้งแรก แพทริเซียคิดว่านี่เป็นระบบที่ดีมาก
เมื่อลองคิดดูให้ดี หากอีกฝ่ายมิใช่นักบุญหรือมนุษย์หิน อำนาจเบ็ดเสร็จย่อมมาพร้อมกับการทุจริตเป็นแน่
เหล่าข้ารับใช้ช่วยแพทริเซียล้างหน้าล้างตาและแต่งตัวจนเสร็จ การที่จักรพรรดินีได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มิใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนัก แต่ก็มีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุนั้น เหล่าข้ารับใช้จึงปฏิบัติตัวตามที่ตำราบันทึกไว้
แพทริเซียสวมชุดเดรสสีโทนมืดที่ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและเป็นทางการมากกว่าชุดเดรสสีสว่างที่สวมในยามปกติ ทั้งยังสวมมงกุฎประดับด้วยเพชรสีชมพูอันเป็นสัญลักษณ์แทนตัวของจักรพรรดินี ตัวมงกุฎเป็นสีทองออกคล้ำ เปล่งประกายรัศมีของอำนาจอยู่บนศีรษะของนาง
จากนั้นแพทริเซียก็ตรงไปที่ห้องรับรอง ร่างบางนั่งลงที่หัวโต๊ะไม่ทันไรเสียงของข้ารับใช้ก็ดังแว่วมา
“ฝ่าบาท มหาเสนาบดีทั้งสามมาถึงแล้วเพคะ”
สามมหาเสนาบดี คือ ประมุขของสามตระกูลใหญ่ในหมู่ขุนนาง อันได้แก่ ประมุขตระกูลดยุกวาเซียร์ ประมุขตระกูลดยุกเอเฟรนี และประมุขตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ด
ตระกูลดยุกวาเซียร์และตระกูลดยุกวีเธอร์ฟอร์ดได้รับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีหรือที่ปรึกษาของจักรพรรดิตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งจักรวรรดิในฐานะผู้ที่มีส่วนช่วยในการสถาปนาจักรวรรดิ ส่วนตระกูลดยุกเอเฟรนีเป็นตระกูลที่มารับช่วงต่อจากตระกูลดยุกออสวินซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้ที่มีคุณงามความดีในการสถาปนาจักรวรรดิ ทั้งยังเป็นตระกูลดยุกลำดับที่หนึ่งก่อนที่จะวางมือจากตำแหน่งขุนนางไป
แม้มิได้เป็นผู้ร่วมสถาปนาจักรวรรดิ แต่ตระกูลดยุกเอเฟรนีก็เป็นตระกูลมหาอำนาจ และหากพูดถึงความร่ำรวย ตระกูลดยุกเอเฟรนีก็มั่งคั่งที่สุดในบรรดาตระกูลอัครมหาเสนาบดีทั้งสาม
“เชิญเข้ามา”
เมื่อแพทริเซียอนุญาต ประตูก็ถูกเปิดเข้ามาตามด้วยร่างของบุรุษสามนายเดินเข้ามาด้านใน ผู้ที่อาวุโสที่สุดคือดยุกวาเซียร์และผู้ที่อ่อนวัยที่สุดคือดยุกเอเฟรนี
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้จักรวรรดิจงมีแต่ความรุ่งเรือง”
“ถวายบังคมฝ่าบาท ขอให้ราชสกุลมีแต่ความรุ่งเรือง”
“เชิญทุกท่าน ลำบากพวกท่านแต่เช้าทีเดียว”
แพทริเซียชมเชยสั้นๆ ก่อนจะต้อนรับทุกคนด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะในห้องรับรอง แพทริเซียเริ่มบทสนทนาด้วยการอธิบายสถานการณ์คร่าวๆ
“ตอนนี้ฝ่าบาทยังคงไม่ได้พระสติ เราจึงเข้ามารับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อทำงานแทน เราเองเคยแต่ดูแลงานของฝ่ายใน ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับงานของราชสำนัก หวังว่าพวกท่านจะให้ความช่วยเหลือ”
“พวกกระหม่อมจะถวายความช่วยเหลืออย่างเต็มที่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย”
ดยุกอีกสองคนพูดตามดยุกวาเซียร์ แพทริเซียยิ้มให้พวกเขาครั้งหนึ่งก่อนจะเข้าเรื่องสำคัญ
“ที่จริงเราต้องหารือเรื่องต่างๆ โดยละเอียดในที่ประชุมขุนนางที่จะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งชั่วโมงให้หลัง แต่สำหรับเรื่องที่ไม่เร่งด่วน เราจะทำแค่ฟังรายงานเท่านั้น จะไม่มีการอภิปรายเพิ่มเติม เพราะตัวเราเป็นเพียงตัวแทนของพระจักรพรรดิ หาใช่ตัวพระองค์เองไม่”
“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท พระองค์อาจทราบอยู่แล้วว่ามีน้อยครั้งที่ผู้สำเร็จราชการฯ จะใช้อำนาจตัดสินใจประเด็นที่ไม่เร่งด่วน เรื่องนั้นพระองค์มิต้องทรงเป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ”
“พระองค์ทรงต้องดูแลงานของฝ่ายในไปด้วย อาจทำให้ต้องแบกรับภาระงานมากเกินไป หากเป็นไปได้ แม้แต่งานของฝ่ายในเองก็ทรงเลือกจัดการงานที่เร่งด่วนไปตามลำดับจนกว่าพระจักรพรรดิจะทรงฟื้นก็น่าจะช่วยได้มากพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้… มีคำแนะนำเพิ่มเติมหรือไม่”
สิ้นคำถามของแพทริเซีย ดยุกเอเฟรนีก็มีสีหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดก่อนจะพูดออกมาช้าๆ
“ฝ่าบาท”
“เชิญกล่าว”
“…ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ ในส่วนของรายละเอียดควรไปคุยกันในที่ประชุมน่าจะดีกว่า”
ประหลาดคนเสียจริง แพทริเซียบ่นในใจก่อนจะถามคำถามต่อไปโดยไว
“หากเราได้อ่านบันทึกการทำงานในช่วงที่ผ่านมาคงจะดีไม่น้อย อย่างที่พวกท่านทราบ เราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับงานของราชสำนักเลย”
“เรื่องนั้นมิต้องทรงเป็นกังวลพ่ะย่ะค่ะ เสนาบดีของแต่ละกรมได้ตระเตรียมเอกสารไว้แล้วและจะส่งไปที่ตำหนักจักรพรรดินีในภายหลัง”
แพทริเซียพยักหน้าอย่างพึงใจให้กับน้ำเสียงน่าฟังของดยุกวีเธอร์ฟอร์ด เช่นนั้นก็คงหมดเรื่องพูดแล้ว ดยุกวาเซียร์ยื่นมัดเอกสารบางๆ ให้แพทริเซีย
“นี่คือเรื่องที่จะหารือกันในที่ประชุมวันนี้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท หากพระองค์อ่านดูก็จะช่วยให้เข้าใจเรื่องต่างๆ ได้มากขึ้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอบคุณ”
แพทริเซียตอบรับสั้นๆ และรับสิ่งนั้นมา นางอ่านดูคร่าวๆ พบว่าเป็นเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาราษฎรที่ประสบภัยแล้งในภาคตะวันตกเฉียงเหนือ จากนั้นดยุกวีนางฟอร์ดก็ถามขึ้น
“ทรงมีข้อสงสัยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ตอนนี้ยัง เรื่องสำคัญอื่นๆ ประเดี๋ยวค่อยคุยในที่ประชุมก็แล้วกัน”
“พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นพวกกระหม่อมทูลลา”
ทั้งสามคำนับให้แพทริเซียอย่างนอบน้อม แพทริเซียใช้นิ้วสองสามนิ้ววัดความหนาของเอกสารที่สามมหาเสนาบดีทิ้งไว้ให้ ดูแล้วไม่น่าอ่านเอกสารพวกนี้ได้ทันในหนึ่งชั่วโมง แต่หากนางพยายามให้เกิดขีดจำกัดสักนิดก็น่าจะพออ่านได้
ขณะที่แพทริเซียพลิกกระดาษแผ่นแรก ราฟาเอลาก็เดินเข้ามาหาอย่างระมัดระวัง นางเรียกแพทริเซียด้วยน้ำเสียงที่ต่างออกไป ไม่เจือเสียงหัวเราะเหมือนอย่างเคย
“เอ่อ… ฝ่าบาทเพคะ”